ค่ำวันเสาร์ ไปเดินเที่ยวที่คลองถม ถือโอกาสแวะเยี่ยมคุณฮอง
คุณฮองใจดี ให้แก้วแม่โขง บางเจี๊ยบ มาใบนึง ถูกใจมากอีตรงบางเจี๊ยบนี่แหละ
สมัย 40-50 ปีก่อน วิสกี้โซดาไม่นิยมใส่น้ำแข็ง โซดาจึงต้องเย็นเจี๊ยบ
รินเหล้าลงแก้ว หนาบางตามรสนิยม รินโซดาลงผสม รีบยกซดตอนฟองยังฟู่อยู่ปากแก้ว
ให้ฟองที่กระเด็นอยู่ริมขอบแก้ว ถูกหายใจเข้าจมูกจนรู้สึกซาบซ่า ชื่นหัวใจควายป่าดีนัก
หากไม่เย็นค่อยเติมน้ำแข็งบด ไม่นิยมใส่น้ำแข็งก่อนรินเหล้าเหมือนปัจจุบัน
สมัยนั้นไม่มีน้ำแข็งหลอด ใช้น้ำแข็งก้อนขนาด 1 มือ มาย่อยให้เล็กพอลงแก้ว
โดยการทุบด้วยด้วยสากไม้ทรงกระบอก เส้นผ่าศูนย์กลางราว 4-5 นิ้ว ยาวราว 16 นิ้ว รวมด้าม
(บางเจ้าทำเป็นสี่เหลี่ยม เพื่อที่จะได้ไล่ทุบเจ้าก้อนที่หลบไปอยู่มุมได้ แต่ด้ามจับต้องกลม)
ด้ามจับเล็กลงพอจับถนัดด้วยมือ (ราว 2") ลังไม้สี่เหลี่ยมรองรับน้ำแข็งขนาดราว 12 x 20 x 10 นิ้ว
ตำสากลงบนก้อนน้ำแข็งจนก้อนพอใส่แก้วได้สบายๆ หรือไม่ก็ทุบจนละเอียดเลย แล้วแต่วัตถุประสงค์
ผสมเหล้าจะทุบก้อนหยาบ เพื่อไม่ให้น้ำแข็งละลายเร็วเกินไป เพราะเหล้าที่ผสมโซดาจะรสเฝื่อน
แต่หากใช้ ใส่โอเลี้ยง กาแฟเย็น ขาเย็นหรือดำเย็น หรือน้ำหวาน จะทุบละเอียด เพื่อให้เย็นเร็ว
คิดถึงลังไม้กับสากทุบร้ำแข็งจริงๆ ไม่เห็นอีกเลย ส่วนใหญ่คงกลายเป็นฟืนไปหมดแล้ว เสียดายชะมัด
กะว่าจะบอกลักษณะแก้วบรรทัดเดียว ดันนอกเรื่องซะยาว สาเหตุเพราะเรื่องบางเจี๊ยบนี่แหละ
สมัยนั้น นักดื่มจะเคร่งครัดนักกับกฏ 3 ข้อ ของการดื่มวิสกี่ผสมโซดา
หนึ่ง โซดาต้องเย็นเจี๊ยบ (น้ำแข็งไม่จำเป็น แต่มีสำรองก็ดี กรณีบางแก้วยุงลงไปไข่จนกลายเป็นลูกน้ำ
สอง แก้วต้องบางเจี๊ยบ หรืออย่างน้อยต้อง ไม่ใช่ ตูดจีบหรือแก้วชง

อยากนั่งไทม์แมชีนย้อนกลับไปกวาดจังเล้ย
สาม กับแกล้มไม่ต้อง เป็นของไม่ดี สิ้นเปลืองใช่ที่ ถ้ามีก็เอา


