ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ มี.ค. 27, 2010 12:57 am

7Mar2010 ไปเยี่ยมเควินกับแอน

สองทุ่มกว่าแล้ว วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2010 @ (surely) flat


เมื่อศุกร์เสาร์ที่ผ่านมาเราได้หยุดสองวันติดกัน เราเลยชวนเทรฟไปหาเพื่อนสนิทเก่าแก่ของเทรฟที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ พูดง่ายๆว่ารู้จักกันตั้งแต่เด็กจนแก่ (อิอิ) จริงๆ เราควรจะไปหาเขาตั้งแต่คริสตมาส เพราะเขาส่งจดหมายเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้ตอนปีใหม่ด้วย แต่เราดันเป็นหวัดงอมแงมก็เลยไม่ได้ไป แถมวุ่นวายเรื่องนู่นเรื่องนี้ แล้วกว่าจะเข้าที่เข้าทางเรื่องงานอีก ..เมื่อประจวบเหมาะมีวันหยุดที่พอจะไปค้างคืนได้เลยต้องรีบฉกฉวย..ก็แหม่..ขับรถไปตั้งสี่ชั่วโมงจะให้แค่ไปกลับก็คงจะโหดไปหน่อย


เราสองคนจัดกระเป๋าเตรียมไว้ตั้งแต่วันพฤหัสฯ เพราะวันศุกร์เทรฟยังต้องไปออฟฟิศก่อนครึ่งวัน เราอยู่บ้านก็จัดการงานบ้านให้เรียบร้อย พอเทรฟมาถึงกินข้าวกลางวันกันแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง เทรฟให้เราช่วยขับรถ (เป็นการฝึกขับไปในตัว) เราขับรถขึ้นมอเตอร์เวย์มาสองสามหนแล้ว แต่หนนี้ขับไกลที่สุดที่เคยขับ แต่ก็ขับได้แค่ครึ่งชั่วโมง เป็นระยะทางประมาณ 30 กว่าไมล์ (ไม่รู้คิดเป็นกี่กิโลเมตร) พอเรารู้สึกว่าปวดตาก็ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเสี่ยง


ขับรถบนมอเตอร์เวย์ที่นี่ไม่ค่อยน่าวิตกเท่าเมืองไทย เพราะทุกคนดูจะเคารพกฎกติกา(ที่บ้านเราไม่ทำ)กันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการจำกัดความเร็ว รถส่วนใหญ่ทิ้งระยะกันค่อนข้างห่าง ซึ่งก็เป็นไปตามระยะที่เขาแนะนำ (และทุกประเทศก็แนะนำแบบเดียวกัน แต่ขึ้นกับว่าจะทำไหม อิอิ) เราแอบแซวกับเทรฟว่านี่ถ้าเป็นเมืองไทยนะ ขับรถทิ้งระยะขนาดนี้ต้องโดนแซวว่า จะเว้นไว้เตะบอลเหรอน้อง?? (ฮา) แต่ก็นั่นนะ เรายังมีแอบผวาว่าจะโดนโบกแบบไร้สาระแบบที่ตำรวจจราจรไทยทำอยู่หลายหน กว่าจะปรับตัวปรับใจได้ว่าที่นี่เขาไม่ทำกัน ทุกคนรักษาความเร็วอยู่ที่ขั้นต่ำ 60-70 ไมล์ต่อชั่วโมง (รู้สึกจะประมาณ 120-140 กม./ชม. ถ้าเข้าใจไม่ผิด) ซึ่งถ้าเป็นความเร็วระดับนี้จริง ในเมืองไทยต้องได้มีตำรวจมายืนโบกกลางถนนให้เราหยุดโดยที่เราไม่รู้ว่าตรูทำไรผิดฟะ?? ..ยังจำได้ว่า..เคยโดนโบกเพราะขับเลนขวา..เราเป็นงงถามพ่อว่า ถ้าขับเลนขวาไม่ได้แล้วมีไว้ทำไม? ก็จะแซงถึงต้องวิ่งขวาไม่ใช่เหรอ..เหวอไปเลยครับท่าน..


อ่ะ โม้เรื่องอังกฤษต่อดีกว่า..


เราไปถึงบ้านเควินกับแอนราวหกโมงกว่า ช้ากว่าที่ตั้งใจประมาณสิบห้านาที เพราะต้องชะลอความเร็วหลายช่วงเนื่องจากมีการทำถนน อ้อ ช่วงถนนที่มีการทำถนนเขาจะกำหนดระดับความเร็วที่ 50 ไมล์/ชม. แล้วก็มีกล้องจับความเร็วด้วยแต่เป็นแบบค่าเฉลี่ย เทรฟอธิบายว่า กล้องจะจับความเร็วเมื่อเราเริ่มต้นเข้าโซนนี้ แล้วไปถ่ายอีกทีตอนหมดโซน หาค่าเฉลี่ยความเร็ว ซึ่งถ้าเกินก็โดนปรับไป เพราะงี้เราถึงเห็นรถขับเคลื่อนกันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่พอพ้นเขตจำกัดความเร็ว ทุกคนเร่งกันเอาเป็นเอาตายเหมือนออกจากจุดสตาร์ท ฮี่ฮี่ ตลกดี


ไปถึงแอนยังไม่เลิกงานเราเลยเจอเควินกับเด็กๆ อันได้แก่ ชาล็อตลูกสาวคนกลางวัยสิบแปด ไมเคิลหนุ่มน้อยคนสุดท้องวัยสิบสอง และราเชลสาววัยยี่สิบสองลูกสาวคนโตที่พึ่งกลับเข้ามาหลังจากเรามาถึงไม่นาน เรานั่งคุยกับเควินไปพลางๆ จนกระทั่งแอนเลิกงานกลับมาประมาณทุ่มกว่า เย็นนี้เราทุกคนลงความเห็นกันว่า โทรสั่งอาหารอินเดียมากินกันดีกว่า (อาหารที่ซื้อมากินที่บ้านใช้ศัพท์ที่รู้กันว่า เทค อเวย์-Take away) เราเลยได้ลองกินแกงอินเดียเป็นเรื่องเป็นราวก็วันนี้เอง..แกงอินเดียค่อนข้างเข้มข้นก็เลยออกแนวตื้อๆ เล็กน้อยหลังจากกินไปได้ไม่เยอะ


ค่ำนั้นหลังมื้อเย็นเป็นว่า catch-up พูดง่ายๆ ก็คือนั่งเมาท์ถามสาระทุกข์สุขดิบนั่นเอง ทั้งเทรฟ เควิน และแอนดื่่มไวน์กันสนุกสนาน เราเลี่ยงไม่ดื่มตลอด เพราะถ้าเราเริ่มจิบอัลกอฮอล์เรากะเริ่มงัวเงียแล้วคุยไม่รู้เรื่อง เลยขอจิบชาหรือน้ำเปล่าแล้วนั่งเมาท์ดีกว่า


น่าแปลกที่ว่าทั้งเควินและแอนเราพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แต่เราคุยกันถูกคอเหมือนรู้จักมานาน นั่งเมาท์กันติดพันกว่าจะรู้สึกตัวว่าถึงเวลานอนแล้วก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่า


เช้าวันเสาร์เรามีโปรแกรมพาน้องหมา-แซนเชอร์ (Sancher) ไปเดินเล่น ซึ่งเป็นการเดินเล่นที่ไกล นานและหนาวมาก ทั้งคู่เตือนให้เราห่มพันกันเป็นอย่างดี เพราะที่ๆจะไปเดินเป็นทางเดินเล่นริมแม่น้ำ ..ลองนึกถึงเราเดินเล่นริมแม่น้ำบ้านเรา ลมมันจะพัดเย็นชื่นใจใช่ไหม..ที่นี่ก็เหมือนกัน ลมพัดเย็น..แต่หนาวจับใจ ทั้งเควินและแอนพันตัวเองจนเราหวาดๆ ว่าเสื้อโค้ทตัวเดียวที่เราเอามาจะเอาอยู่ไหม เพราะสองคนเล่นใส่แจ๊คเก็ตเล่นสกี ผ้าพันคอ ผ้ายืดที่ใช้พันปิดหูและใต้คาง หมวก และถุงมือ ในขณะที่เรามีแค่เสื้อกันหนาวตัวบางกับเสื้อโค้ท หมวก และถุงมือ ส่วนเทรฟมีแค่โค้ทกับถุงมือ


ลมริมแม่น้ำแรงและเย็นเล่นเอาหน้าชาไปเลย แต่อ่ะนะ..ก็รับสภาพไป..น้องหมาเราลั้นลาวิ่งเก็บบอลเอาเป็นเอาตายแบบชนิดไม่มีเหนื่อย ..แต่คนโยนทั้งสี่แขนล้ากันไปหมดแล้ว อิอิ


เดินกันร่วมสองชั่วโมงก่อนไปนั่งพักหลบลมหนาวในผับระหว่างทางขากลับบ้าน พักอบอุ่นร่างกายด้วยชา กาแฟ และเบียร์สำหรับสองหนุ่ม (เหลือ)น้อย


เรากลับเข้าบ้านกันตอนบ่ายโมงกว่า ท้องเริ่มหิว แอนกับเควินเสิร์ฟแกงที่เหลือเมื่อคืนเป็นข้าวกลางวัน หลังจากที่เสริฟอาหารเช้าชุดใหญ่เมื่อเช้าด้วยเบคอน ไข่ดาว แบรคพุ้ดดิ้ง (Black Pudding-อาหารประจำชาติสก็อตแลนด์) เบคบีน (Baked bean- ถั่วในซอสมะเขือเทศ) มะเขือเทศ ขนมปัง และแจม อ้อ ต้องไม่ลืมน้ำชาด้วย


หลังจากกินข้าวข้าวกลางวันกันแล้ว ก็ได้เวลากลับบ้านเพราะบ่ายสองโมงเข้าไปแล้ว ใช้เวลาอีกสี่ชั่วโมงขับกลับบ้าน ถึงบ้านก็ได้เวลาข้าวเย็นพอดี..เราสองคนลาเควินกับแอนด้วยความประทับใจและขอบคุณสำหรับการต้อนรับในครั้งนี้..ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรู้สึกคุ้นเคยกับสองคนนี้ได้เร็วขนาดนี้..เพราะจริงๆ แอบกังวลมาก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน


ขากลับเราช่วยเทรฟขับรถกลับหน่อยนึงก็ราวๆ สามสิบกว่าไมล์อีกเหมือนเดิม ก่อนจะขอเปลี่ยนเพราะตาเริ่มล้า (มือใหม่อ่ะค่ะ ความอดทนยังน้อย)


กลับถึงบ้าน เราสองคนต่างอ่อนล้าจากการเดินทาง อาจจะทั้งเพราะขับรถและเดินท่ามกลางลมหนาวกว่าสองชั่วโมงเมื่อเช้าด้วยมั้ง พอถึงบ้านก็เพลียเดี้ยงไปตามๆ กัน เราเองต้องรีบนอนเพราะต้องทำงานตอนเช้า..คืนนี้ก็เช่นกัน..ได้เวลานอนแล้วเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตีสี่ ไปเริ่มงานตอนตีห้าเช่นเคย..ไปนะ
?
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ มี.ค. 27, 2010 1:02 am

9Mar2010 วันนี้หยุดงาน

เที่ยงสิบหกนาที วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2010 @ flat


วันนี้ Ed ขอสลับเวลาทำงานกับวันเสาร์ วันนี้เราก็เลยหยุดอีกทั้งๆ ที่พึ่งกลับไปทำงานได้วันเดียว แต่ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปดิ ต้องทำงานยาวทั้งอาทิตย์เลย อืม..คิดถูกไหมเนี่ยที่ยอมสลับกะกับเขา..เอานะ คนเราก็ต้องช่วยเหลือกันบ้างเวลาที่เขามีปัญหา


ฉะนั้นเช้านี้ก็เลยนอนหลับสบายไม่ต้องกังวลเรื่องตื่นไม่ทันไปทำงาน ได้นอนซะอิ่มเลย..เฮ้อออ ดีจริงๆ


ตื่นขึ้นมาแบบสดชื่นแถมมีหวานใจนอนข้างๆ (โดยที่เขาไม่ต้องรีบตื่นพร้อมเรา) ช่างดีจริงๆ.. นึกย้อนไปถึงช่วงคบกันใหม่ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะเป็นจริง วันที่ได้เข้านอนพร้อมกัน ตื่นนอนพร้อมกัน แต่ก่อนเราสองคนมีโอกาสเจอกันอาทิตย์ละครั้งก็ถือว่าเยอะมากแล้ว เพราะตั้งแต่เทรฟย้ายกลับมาทำงานที่บริสตอล เรากลับเมืองไทยไปช่วงนึง พอกลับมาใหม่เราก็อยู่ไกลกันสุดกู่ เทรฟจะหาโอกาสแวะมาหาเราทุกครั้งที่เขามีประชุมในพื้นที่ใกล้เคียง บางทีก็ไม่ใกล้เลย อาศัยว่าแวะพักครึ่งทางเพื่อจะได้นัดเจอกัน กินข้าวกัน แล้วเทรฟก็ขับรถต่อไปประชุม บางครั้งขับรถมาสองชั่วโมงเพียงเพื่อได้มาเจอหน้ากันซักสิบนาทีแล้วก็ไป..ช่วงนั้นจากกันทีไรเราน้ำตาไหลพรากทุกที..เทรฟได้แต่ปลอบว่าไว้จะหาเวลามาเจอกันอีก (เราแอบเห็นเทรฟก็น้ำตาคลอเหมือนกัน ฮี่ฮี่)


จนมาถึงวันที่ต้องกลับเมืองไทยแบบที่ไม่รู้จะได้กลับมาอังกฤษอีกไหม เราสองคนก็เลยยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่.. แต่เทรฟสัญญาว่าจะพาเรากลับมา.. ณ วันนั้น ฟังคำสัญญาแล้วก็ยังคิดในใจว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรหนอ..แต่แล้วในที่สุด เทรฟก็ทำตามสัญญา เทรฟพาเรากลับมา พาเรากลับบ้าน..มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน..เหมือนฝันไปจริงๆ :)


ก่อนหน้านี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย อุปสรรคสารพัดเกินกว่าจะคิดว่าจะฝ่าฟันให้ผ่านพ้นมาได้ กำลังใจที่มีให้กันและกันผ่านการสื่อสารทางไกล ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ข้อความ อีเมล์หรือ video conference ต่างล้วนมีหน้าที่สำคัญที่ช่วยให้สายสัมพันธ์ของเราแข็งแรงขึ้นผ่านช่วงระยะเวลาที่อยู่ไกลกัน เทรฟต้องจัดการเอกสารมากมาย เสียเงินทองไปไม่น้อย เพื่อให้ได้สิทธิตามกฎหมายที่จะพาเรากลับมาอังกฤษ เราเองก็เครียดไม่น้อยกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันที่ไม่ค่อยใช่วิถีทางที่ตัวเองต้องการ จากที่เป็นสาวทำงานผู้วุ่นวายหาเวลาว่างไม่ได้ กลายมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงหลานอยู่บ้าน ทำงานบ้านสารพัดพร้อมกับเวลาว่างที่มากเกินไป (แต่ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะถูกมัดด้วยตารางการทำงานที่เป็นเวลาตายตัวตามเวลาเริ่มและเลิกเรียนของเด็กๆ) เราเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ กับวิถีชีวิตที่ตัวเองไม่ต้องการ พร้อมกับความอึดอัดที่ต้องอยู่แบบกินกงสีแทนการหาเงินใช้เองเช่นปกติ หลายคนอาจชอบชีวิตแบบนี้ แต่เราบอกได้คำเดียวว่าเรา "ไม่" เราชอบวิถีชีวิตอิสระ ที่เราเลือก เราทำ และตัดสินใจด้วยตัวเอง ..เราปลอบใจตัวเองตลอดเวลาที่อยู่บ้านว่า เราอยู่เพื่อทดแทนคุณพ่อกับแม่ ช่วยแบ่งเบาภาระทุกอย่างที่ทำได้ แม้มันจะไม่ได้แลกมาด้วยเงินเดือนเช่นการทำงานให้คนอื่น แต่ก็แลกด้วยการผ่อนภาระของคนที่เรารักมากที่สุดซึ่งก็คือ พ่อกับแม่ .. เพราะงี้ตารางชีวิตเราจึงวนเวียนตั้งแต่ตีห้าครึ่งไปจนสองทุ่มครึ่ง จะต่างไปก็เวลาที่มีเด็กทำงานบ้านมาช่วย.. โชคดีที่บางช่วงบางตอนได้ออกไปทำงานสอนนอกบ้านบ้าง มีเงินมาให้ตัวเองรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระ ก็เลยช่วยลดความเครียดได้เป็นครั้งคราว


มาวันนี้เรากลับเข้าสู่ภาวะปกติที่เราต้องการและคุ้นเคย นั่นคือการจัดแจงชีวิตด้วยตัวเราเอง ปราศจากความคาดหวังและการชี้แนะ (ที่หวังดีเกินเหตุ)ของคนรอบข้าง เราเริ่มต้นแผนการในอนาคตร่วมกับเทรฟ ทุกขั้นทุกตอนเราคุย เราปรึกษากันตลอด เพราะเราทำทั้งหมดนั่นเองคนเดียวไม่ได้ แน่นอนสาเหตุหลักก็มาจากเรื่องสถานภาพทางการเงิน เทรฟมีรายรับที่มั่นคงและมากกว่าที่เราจะหาได้มากมายนัก แต่กระนั้นรายจ่ายก็เพิ่มเป็นเงาตามตัว ระดับภาษีรายได้ 40% ของที่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เงินที่มีอยู่ต้องใช้กันอย่างประหยัดและรอบคอบ โชคดีเราเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย อาจชอบกินชอบเที่ยวไปตามเรื่อง แต่เราไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน แค่นี้ชีวิตก็ถือว่าอยู่ในระดับดีกว่ามาตรฐาน (ของการใช้เงิน) ของคนทั่วไปที่นี่แล้ว..จนบางทีเราแอบคิดว่า..เราออกจะแปลกแยกมากเกินไปหรือเปล่า (ฮา)


จากเดิมที่เราคิดว่าเทรฟเองหาเงินได้ไม่น้อย แต่เมื่อได้คุยกันในรายละเอียดแล้ว เราถึงรู้ว่าค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพที่นี่สูงจนน่ากลัว ไม่ว่าจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส (ซึ่งเมืองไทยไม่มี เพราะไม่ต้องต้มน้ำไว้กิน ไว้ใช้ตลอดเวลาเหมือนที่นี่) ค่าภาษีท้องถิ่น (ที่คำนวณกันรายหัวและขึ้นกับขนาดที่อยู่อาศัย..อันนี้เมืองไทยก็ไม่ใช่ปัญหา) ยังไม่รวมถึงค่าอาหาร ค่าน้ำมันที่แพงหูฉี่ เรากางบัญชีทางการเงินคุยกัน แล้วเทรฟก็ลงมติว่า ให้เราคุมเรื่องเงิน จากเดิมที่เราค่อนข้างมั่นใจว่าเราดูแลเงินในกระเป๋าตัวเองได้ดี มาถึงตอนนี้เราเริ่มประหม่า เราใช้เวลาปรับตัวกับค่าใช้จ่ายที่ถ่าโถมเข้ามาในแต่ละเดือน ค่อยๆ ปรับตัว ปรับใจ แล้วก็ตั้งหลักใหม่ เพราะแต่เดิมเคยแต่เช่าห้องอยู่ ค่าเช่าห้องก็รวมทุกอย่าง เพราะงี้ถึงคุมตัวเลขค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า ..แต่ถึงยังไงก็ต้องบอกว่า ใช้ชีวิตสองคนนะวันนี้ก็ยังคงมีความสุขและอึดอัดน้อยกว่าอยู่คนเดียว เพราะเทรฟเองไม่ต้องการให้เราเขียมจนเครียด เทรฟยืนยันว่า การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในระหว่างทางที่เดินไปยังเป้าหมายยังสำคัญเสมอ เพราะงี้เราสองคนจึงมีกิจกรรมสันทนาการกันเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเล่นกีฬา เต้นรำ เที่ยวผับ ไปต่างจังหวัด หรือไปดื่ม ไปกินข้าวนอกบ้าน ฯลฯ เราทำทุกอย่างเช่นทุกบ้าน ทุกครอบครัวทำเพียงแต่เราควบคุมไม่ให้มันมากหรือถี่เกินไป เรายังคงยึดนโยบายจดรายละเอียดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่จ่ายออกไป เพราะหลายครั้งคนเราเพลิดเพลินกับสิ่งเล็กน้อยแล้วก็คอยปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไอ้เล็กๆ น้อยๆ แต่ถี่เกินไปนี่แหละที่เป็นจุดรั่วไหลอย่างดี


ประกอบกับ ณ วันนี้เราพอหาเงินเข้ามาได้บ้าง ความเครียดทางการเงินก็ทุเลาลงไปเยอะ เราสองคนไม่ได้ลำบากขนาดไม่มีจะกิน หรือเป็นหนี้เป็นสิน แต่ถ้าหากจะสานต่อแผนการในอนาคตการเก็บหอมรอมริบที่เริ่มต้น ณ ตั้งแต่วันนี้ก็จำเป็นอย่างยิ่ง


อืม..นะ..ระยะทางยังอีกยาวไกล ไว้มาคอยดูกันว่าเราจะทำความฝันของเราให้เป็นจริงได้มากแค่ไหน


ว่าแต่..แล้วตัวคุณเองล่ะ ยังจำได้ไหมว่าความฝันหรือความหวังที่เคยตั้งใจไว้ มันยังอยู่ไหม หรือ ณ วันนี้มันอยู่ตรงจุดไหนแล้ว ได้เริ่มต้นทำอะไรกับมันหรือยัง หรือปล่อยให้มันเป็นเพียงความฝัน (กลางวัน) ลอยอยู่กลางอากาศต่อไป.. ทำไมไม่เริ่มต้นเอาจริงเอาจังกับมันใหม่ล่ะ เพราะเราเชื่อเสมอว่าถ้าเรามุ่งมั่นกับมันมากพอ มันต้องเป็นจริงได้อย่างแน่นอน


รักษาความฝันไว้.....
(มีบางคนบอกไว้อย่างนั้น :)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ มี.ค. 27, 2010 1:06 am

12Mar2010 อีกหนึ่งวันทำงาน..อีกวันทำงาน..วันทำงานอีกหนึ่งวัน..ภาษาไทยมันใช้คำไหนหว่า???

สิบเอ็ดโมงสี่สิบนาที วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2010 @ flat


ช่วงนี้ต้องไปเข้างานช่วงบ่ายเป็นอาทิตย์ โดนสลับเวลาทำงานให้วุ่นไปหมด ก็เพราะเจ้า Ed นี่แหละ (ชื่อนี้สะกดเป็นภาษาไทย "เอ็ด" พออ่านแล้วมันจะงงๆ เลยเขียนทับศัพท์ดีกว่า เหอๆ) ช่วงนี้มันกำลังปั่นวิทยานิพนธ์ก็ต้องเห็นใจกันหน่อย เพราะงี้อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ (ยาวไปถึงอังคารหน้า) เราเลยไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นกะสามีสุดที่รักเลย..แต่อย่ากระนั้นเลย เพื่อไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงเราก็ต้องหมั่นดูแลกันอยู่ดี เพราะงี้เราเลยเตรียมอาหารเย็นไว้ให้เทรฟตั้งแต่เช้าก่อนเราออกไปทำงาน ทำเสร็จก็ประมาณสิบเอ็ดโมง เราก็กินซะส่วนหนึ่งเป็นข้าวเที่ยงเรา ประหยัดและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีกว่ากินแซนวิชที่ที่ทำงาน แฮ่..


เช้านี้ก็เช่นกัน หลังจากนอนตัวเมื่อย ตื่นมาเหมือนโดนพวกเสื้อแดงเหยียบ..เอ๊ย ไม่ใช่ เหมือนโดนใครเหยียบ ..ก็ในฝัน ดันฝันว่าทำงานสาหัสสากัญ ตื่นมาดันเมื่อยจริงเหมือนไม่ได้หยุดพัก ทำเอาเทรฟงงไปเลย เพราะเขาทักทายยามเช้า แต่เราดันไม่พูดไม่จาหันไปหลับต่อซะงั้น (ก็แหม..คนอารมณ์มันอินว่ายังไม่ได้นอน แฮ่) หลังจากตื่นมาแล้วตระหนักว่าจริงๆ นอนไปแล้ว อย่ามาทำขี้เกียจ งัวเงีย เสียนิสัย เราก็เลยลุกขึ้นมาส่งที่รักไปทำงาน แล้วก็จัดแจงภารกิจปกติ มีเรื่องเอกสารอีกนิดหน่อยที่ต้องจัดการ (เทรฟเตือนมาสองทีแล้ว แฮ่) ถือโอกาสออนไลน์เมาท์แตกนิ๊ด นึง ก่อนนึกขึ้นได้ว่า ต้องไปเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามี


จริงๆ เรื่องอาหารเย็นเทรฟไม่เคยซีเรียส เพราะก็ทำกินเองมาตลอด แต่เรารู้สึกว่าแหม..เขาทำงานหนักมาทั้งวันเนอะ แถมเราก็ไม่อยู่บ้าน หรือถ้าเราอยู่เราก็อยากทำอยู่ดี ดูแลเขาไว้ให้ดีๆ เขาจะได้อยากอยู่บ้าน (กะเรา) ไม่อยากไปอยู่ที่อื่น หรืออยากไปอยู่กะคนอื่น ฮี่ฮี่ ของแบบนี้ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ จริงมะ ..เมื่อวานตอนกินกลางวันด้วยกันเสร็จ ..อ้อ เมื่อวานเทรฟทำงานที่บ้าน เราเลยทำก๋วยเตี๋ยวไก่ต้มยำให้กิน (ต้มยำจริงๆ แบบใส่ตะไคร้ใบมะกรูด แต่ขี้เกียจหุงข้าว เลยเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่แทน) กินเสร็จเทรฟอาสาขับรถไปส่งที่ทำงานพร้อมรับกลับ (ไม่ปล่อยให้เดินกลับ แฮ่..) ระหว่างทางเราถามเทรฟว่า วันพรุ่งนี้เย็นจะกินอะไร..เทรฟหันว่าโวยวาย..โอ๊ยย นี่มันพึ่งเที่ยงสิบห้าเอง พึ่งกินกลางวัน ปากยังไม่หายเผ็ด ถามถึงข้าวเย็น (ของวันพรุ่งนี้อีกต่างหาก) แล้ว ผมยังไม่คิดอ่ะ เอาไว้ก่อนแล้วกัน..เทรฟโวยวายทีเล่นทีจริงกะเราตลอด เพราะเรามันเว่อร์คิดเมนูข้ามวันตลอด ก็แหม..ของมันต้องเอาออกจากตู้แช่แข็งก่อนล่วงหน้ายี่สิบสี่ชั่วโมงนิ..ก็ต้องวางแผนกันล่วงหน้านิ๊ด..นึง ฮี่ฮี่


เรื่องเทรฟขับรถไปส่งที่ทำงาน เทรฟอาสาตลอดถ้าเขาอยู่บ้าน หรือถ้าเราทำงานเสาร์อาทิตย์ เราก็เกรงใจเขาเนอะ กลับมาแล้วต้องมาเฝ้านาฬิกาขับรถไปรับเราอีก..เราเกรงใจเขา พอเขาได้ยินเราว่าอย่างนี้ เขาก็ว่า..ที่ตอนนั้นที่อยู่ฟรานโบโร่ใครก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าอะไรเลยที่มีคนขับรถไปรับไปส่งที่ทำงาน...ก็แหมๆๆ ตอนนั้นมันเดินกลับบ้านเองไม่ได้นี่คะ..เทรฟแอบแซวท้าวความไปถึงตอนรู้จักกันใหม่..ที่เทรฟอาสาขับรถไปส่งเราที่บ้านหลังเลิกงาน แถมตอนนั้นเลิกงานตั้งห้าทุ่ม ฮี่ฮี่


อ่ะเข้าเรื่องวันนี้ต่อ..เมนูวันนี้คือสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อ เราเอาเนื้อก้อนๆ ที่ซื้อมา (มันลดราคา..อีกแล้วครับท่าน) มาปั่น (แทนสับเพราะไม่มีปังตอ) แล้วก็จัดแจงทำซอสหม้อใหญ่..กินได้สี่ห้าคนทีเดียว..นี่ขนาดอยู่กันแค่สองคนนะเนี่ย..(มะเป็นไร เหลือก็แช่แข็งไว้กินวันหลัง) เตรียมทิ้งไว้ให้เทรฟ ซอสอันนี้จริงๆ เทรฟก็ทำเป็นแล้วจริงๆ ก็เป็นคนสอนเราทำด้วย แต่เราว่าถ้ามันเคี่ยวทิ้งไว้นานๆ มันจะยิ่งอร่อย ก็เลยลงมือทำเองซะเลย แล้วก็จัดการกินซะหน่อย จากเดิมที่ว่าจะทำก๋วยเตี๋ยวผัดขี้เมาเนื้อ..คิดไปคิดมาจะทำสองอย่างไปไมเนี่ย ก็กินเหมือนๆกันเนี่ยแหละ แต่คนละมื้อ..อืม ซอสสปาเก็ตตี้เรารสชาติออกมาใช้ได้ทีเดียว กินข้าวอิ่มก็นั่งผึ่งพุงดูทีวีแป๊บนึง นึกได้ว่ายังพอมีเวลา..ก็เลยโฉบมาเขียนอีเมล์รายงานตัวซะหน่อย ..ว่าแล้วก็ได้เวลาไปทำงานแล้ว


ไปดีกว่านะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ มี.ค. 29, 2010 11:59 pm

18Mar2010 เก็บตก

ทุ่มครึ่งแล้ว วันพฤหัสฯที่ 18 มีนาคม 2010 @ flat

แหะ แหะ หายไปเสียนาน ตารางงานแน่นยาวเหยียดหนึ่งอาทิตย์เต็ม พึ่งได้หยุดเมื่อวาน เลยหาเวลาว่างเขียนอีเมล์แบบมีสติสมบูรณ์ลำบากเต็มที่ วันนี้ถือโอกาสเก็บตกแล้วกันนะ

--
วันเสาร์ที่ผ่านมา (13มีนาคม) เราต้องเข้างานตอนเที่ยงครึ่ง เพราะงี้ช่วงเช้าเราสองคนเลยรีบรุดออกจากบ้านไปจัดการสารพัดเรื่องก่อนที่เราจะหมดเวลา

ประเด็นสำคัญคือเทรฟต้องไปจัดการเรื่องเงินๆทองๆ ที่ธนาคาร เตรียมตัววางเงินดาวน์บ้านในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า เราก็เลยถือโอกาสคว้าเอกสารทางการเงินมานั่งอ่านเล่นด้วยซะเลย ออกจากแบงค์ก็ไปซื้อของเข้าบ้านตามปกติ เราสองคนซื้อกับข้าวล็อตใหญ่กันวันเสาร์เพราะร้านเนื้อกับร้านขายผัก (ที่ไม่ใช่ในห้าง) ปิดวันอาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาเทรฟก็ยุ่งเกินไป เราซื้อผักผลไม้กันตามปกติ แล้วก็บึ่งกลับบ้านมากินข้าวกลางวันก่อนที่เราจะออกไปทำงาน ช่วงนี้เราลงมติกันว่าเทรฟไม่ต้องขับรถไปส่งเราที่ทำงานเพราะเราจะได้ถือโอกาสออกกำลังกายไปในตัว แล้วก็ประหยัดน้ำมัน และเทรฟก็ไม่ต้องกังวลคอยนั่งมองนาฬิกาหรือรับโทรศัพท์เราว่าเมื่อไหร่จะให้ไปรับ

นั่งกินข้าวเสร็จก็นั่งผึ่งพุง..เอ๊ย..นั่งรอให้มันย่อย..กันเล็กน้อยก่อนออกไปทำงาน เทรฟกาง TV guide-หนังสือพิมพ์ที่มีรายละเอียดรายการทีวีรายอาทิตย์ ..ไม่เข้าใจเลย..นั่งอ่านเข้าไปได้ไง ไม่เห็นมันจะมีอะไรมีสาระให้อ่านเล๊ยยย.. อ้าว..เฮ้ย..แอบเมาท์สามี.. เรานั่งอ่านเอกสารที่คว้ามาจากธนาคารข้างๆ เทรฟ อ่านไปก็เรียกเทรฟถามนู่นถามนี่ไปเลย..ก็แหม..ศัพท์แสงทางการเงินภาคภาษาอังกฤษมันละเอียดอ่อนนี่เนอะ ก็ต้องเข้าใจกันให้ถ่องแท้..
"เทรฟ compounded interest คืออะไรอ่ะ"
"ก็ interest ที่มัน compounded ไง"
"ก็แล้วมันเป็นยังไงล่ะ?" แหม อธิบายแบบกำปั้นทุบดินเนอะ..คุยกันไปคุยกันมาก็ได้ความว่ามันคือการคำนวณดอกเบี้ยแบบทบต้นนั่นเอง..
"นี่ นี่ เทรฟ โปร่งกำลังดูรายละเอียดหารูปแบบเงินเก็บแบบระยะยาวให้เทรฟอยู่อ่ะ..โปร่งว่าเปิดบัญชี ISAs เนี่ยเข้าท่ากับเทรฟสุด เพราะปีนี้เทรฟจะฝากได้เยอะ แถมไม่เสียภาษีด้วย ฯลฯ " เราพ่นยาวเป็นชุด
"แบบ Cash ISA มันเป็นไง" เทรฟถามต่อ
"ก็เป็น ISA ที่มีเงินฝาก แต่มันมีแบบที่มีทั้งเงินฝากกับหุ้นด้วย ฯลฯ" แล้วเราก็ว่าเป็นชุด..(ISA อ่าน ไอ-ซ่า เป็นบัญชีเงินฝากชนิดปลอดภาษีที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นให้คนฝากเงินมากขึ้น ดอกเบี้ยที่ได้จากบัญชีประเภทนี้ไม่ต้องเสียภาษีรายได้ แต่แต่ละคนจะมีบัญชีประเภทนี้ได้ไม่เกินคนละสามบัญชี และแต่ละบัญชีก็สามารถฝากได้ไม่เกินเพดานสูงสุดตามที่รัฐบาลกำหนด)
"เทรฟฝากเงินแบบ ISA นะ ส่วนโปร่งจะไปเปิดบัญชีเงินฝากประจำระยะยาว ฯลฯ" เราว่าต่อเรื่องแผนทางการเงินหลังจากที่เราคุยกันจนได้ข้อสรุป
"โอเค? เรียบร้อยแล้วนะ..ผมไป "เล่น" ได้แล้วนะ" ว่าแล้วเทรฟก็หันไปอ่านทีวีไกด์ต่อ เราจดโน้ตเรื่องแผนทางการเงินอีกนิดหน่อย แล้วก็เตรียมตัวไปทำงาน
..เราหันไปมองเทรฟแล้วก็ขำเราสองคน เราดูเหมือนจะอ่านอะไรซีเรียสเกี่ยวกับแผนทางการเงินอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เวลาว่างเทรฟจะนั่งอ่านทีวีไกด์อย่างเพลิดเพลิน อาจจะดูเหมือนเทรฟไร้สาระ แต่ไม่ใช่เลย เพราะงานประจำของเทรฟคือการวางแผนเรื่องระบบเรดาห์เกี่ยวกับอากาศยานและเรือรบ ในขณะที่งานประจำเราก็แค่ทำแซนวิช..เพราะงี้สิ่งที่เราสองคนทำเวลาว่างจึงแตกต่างจากงานประจำอย่างสุดขั้ว.. แต่ที่น่าดีใจก็คือเราสองคนคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะไร้สาระหรือเรื่องหนักๆ สารพัด..อืม..เยี่ยมจริงๆ

---
วันนี้เรามาทำงานในร้าน (The Shop-ร้านขายพวกขนม ของขบเคี้ยว นิตยสารของสถานีรถไฟ ประมาณร้านสะดวกซื้อน่ะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามยูนิตที่บริษัทเราได้สิทธิในการให้บริการในสถานี อีกสองอันเป็นร้านแซนวิช-หน้าที่หลักเรา และร้านขายกาแฟที่ชั้นล่างของสถานี) มีลูกค้าผู้หญิงคนนึงเดินตรงดิ่งเข้ามาในร้าน สายตาไม่วอกแวก (ปกติคนเข้ามามักจะสบตาเรานิดนึง) ตรงไปยังเคาน์เตอร์ช็อคโกแล็ตบาร์ เธอคว้าช็อกโกแล็ตมาแท่งนึง แล้วก็ก้มลงเลือกดูคุ้กกี้ที่มีวางอยู่ด้วยกันสองสามแบบ แล้วก็ตัดสินใจไม่เอา เธอเดินกลับมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินที่เรายืนอยู่ เธอวางแท่งช็อคโกแล็ตลง เราคว้าไปสแกนบาร์โค้ด แล้วก็บอกราคาตามปกติ เธอเปิดกระเป๋าเงิน ช่องใส่เศษตังค์เพื่อหาเหรียญมาจ่ายเงินค่าช็อคโกแล็ต-65 เพ็น เธอคว้าเหรีญห้าสิบเพ็นวางลงก่อน แล้วก็ตามด้วยเหรียญสิบเพ็น เรามองตามเหลืออีกห้าเพ็น เธอหยิบเหรียญในช่องเหรียญมาได้สองสามเหรียญ หนึ่งในนั้นคือเหรียญห้าเพ็น ซึ่งเราคาดว่าเธอคงจะหยิบเหรียญนั้นวางเพื่อจ่ายเงิน..แต่เปล่าเธอปล่อยเหรียญนั้นลงในช่องใส่เหรียญ แล้วคว้าเหรียญล็อตใหม่ ครั้งนี้ได้เหรียญสองเพ็นบ้าง หนึ่งเพ็นบ้าง ระหว่างที่หยิบเหรียญเธอเอียงหัวเหมือนกำลังฟังเสียงที่อาจจะเล็ดลอดออกมาจากกระเป๋าเงิน เรารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังคงมองลูกค้า รอดูว่าเธอจะทำยังไงต่อไป บางทีเธออาจจะพยายามจ่ายด้วยเหรียญเพ็นนีให้มากที่สุดก็ได้ กระเป๋าตังค์จะได้เบาขึ้นหน่อย เธอหยิบเหรียญแล้วปล่อย หยิบ-ปล่อย อยู่สองสามครั้ง..จนในที่สุดเราก็ร้องออกมาว่า..
'Oh! It's amazing! You feel it!' -โห..สุดยอด คุณใช้ความรู้สึกวัดใช่ไหม??
เธอพยักหน้า
เรายิ้มกว้างในความน่าทึ่งของเธอ ..ใช่แล้ว..เธอตาบอด เธอใช้นิ้วสัมผัสผิวสัมผัสของเหรียญเพื่อดูว่าเหรียญอะไรเป็นเหรียญอะไร..น่าทึ่งไหมล่ะ
(ที่เราทึ่งกว่านั้นคือเธอรู้ได้ยังไงว่าช็อคโกแล็ตบาร์อันไหนเป็นอันไหน..แต่ก็นะถ้ากินประจำก็อาจเดาได้จากผิวสัมผัส..แต่ไอ้คุ้กกี้นี่ดิ แต่ละบริษัทแต่ละยี่ห้อมันก็มีสูตรของมัน บางอย่างรสชาติเดียวกันแต่รูปร่าง ผิวสัมผัสมันต่างกัน แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าอันไหนเป็นอันไหน..เราทึ่งสุดๆ ..เพราะอย่างที่เราเล่ามาตั้งแต่ต้น เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอตาบอดจนเธอจ่ายเงิน..ถ้าเป็นคนตาบอดทั่วๆไปที่เราเห็นในเมืองไทยเราจะบอกได้จากจังหวะการเดิน การใส่แว่นดำ หรือแม้แต่ไม้เท้า จริงมะ)

..สังคมในอังกฤษที่นี่ทำให้เรารู้สึกชื่นชมคนพิการที่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป เขาเดินทาง ทำงาน ซื้อของ พบปะผู้คน ฯลฯ มันทำให้เรารู้สึกว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่ความพิการหรอกที่ทำให้เราขีดเส้นแบ่งความแตกต่าง แต่เป็นความรู้สึกของคนในสังคมต่างหากที่ขีดคั่นและแบ่งแยกคนที่แตกต่างออกไป..เรานึกสงสารและเห็นใจคนพิการในเมืองไทยจำนวนมากที่ถูกปฏิบัติอย่าง "คนพิการทางชีวิต" พวกเขาถูกกัก ถูกเก็บ หรือกระทั่งถูกแบ่งแยกออกจากสังคมปกติ ทำให้พวกเขาขาดโอกาสที่จะมีชีวิตเป็นของเขาเอง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพวกเขาก็แค่ไม่มี "อวัยวะ" บางส่วนเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไม่มี "ชีวิต"
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ มี.ค. 29, 2010 11:59 pm

24Mar2010 วันพุธ..

วันพุธที่ 24 มีนาคม 2010 11.10 น. @ flat

วันนี้วันพุธที่ 24 มีนาคม วันที่ทั้งประเทศเปลี่ยนระบบส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์จากอะนาล็อกเป็นดิจิตอลพร้อมกันทั่วประเทศ..ทำไมถึงรู้..
จริงๆ ต้องบอกว่าทำไมถึงนึกขึ้นได้ เพราะเปิดโทรทัศน์แล้วดูไม่ได้..เลยนึกได้ว่า อ้าว มันเป็นวันนี้แล้วนี่หว่า

เรื่องการประชาสัมพันธ์ถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ของที่นี่เป็นเรื่องนึงที่เรานึกชม เพราะเราเจอหลายเหตุการณ์ที่เรารู้สึกว่าเขาทำได้ดีมาก ตั้งแต่ปีแรกๆ ที่มาอยู่ก็มีเรื่องระบบ Chip & Pin คือการเปลี่ยนระบบการใช้บัตรเครดิตจากการรูดบัตรเป็นระบบการใช้รหัส คือบัตรเครดิตทุกใบ(ที่จะเข้ากับระบบของที่นี่) ต้องมีชิป ตอนนั้นจำได้ว่า ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็จะเห็นป้ายประชาสัมพันธ์เรื่องนี้จนคิดว่ายากมากที่ใครใช้บัตรเครดิตแล้วจะไม่รู้เรื่องนี้

มาเรื่องทีวีระบบดิจิตอลนี่ ต้องเรียกว่าทุกช่องทางการสื่อสารเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ใบปลิว แผ่นพับ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ ทุกอย่างรอบตัวพูดถึงแต่เรื่องนี้ชนิดที่ว่า ถ้าใครไม่รู้ก็คงแปลว่าคุณคงไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้หรอก (หมายความว่าก็แปลว่าคุณคงไม่มีทีวีดู หรือไม่ดูทีวีแน่ๆ อิอิ) นึกถึงเมืองไทยเรา เรื่องอะไรสำคัญๆ กว่าจะรู้ถ้าไม่เสาะแสวงหาหรือเพียรพยายามด้วยตัวเองก็คงไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรื่องตกข่าวของคนไทยเลยเป็นเรื่องปกติ บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารัฐบาลหรือราชการเขาคิดยังไงหรือเขาไม่เข้าใจหรือว่าคนที่เขาจะสื่อสารด้วยน่ะ เขาจะรู้ข่าวคราวจากช่องทางไหนกันบ้าง เห็นบางทีเห็นประชาสัมพันธ์เหมือนแค่ให้รู้กันเองเฉพาะในหน่วยงาน ทำยังกับว่าประชาชนคนไทยจะเดินเข้าไปถามว่า..เอ๊ะ..พรุ่งนี้เรามีจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่าจ๊ะ..เฮ้อ..

อ้าว โม้ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้เวลาไปทำงานอีกแล้ว

ไปก่อนนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พฤหัสฯ. เม.ย. 01, 2010 9:15 pm

#& #& อ่านหมดแล้ว ขอใหม่โดยด่วนครับ ช่วยบอก เจ้โปร่งด้วย ครับ เขียนเก่งจริง ๆ #& $&
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » อังคาร เม.ย. 06, 2010 3:16 pm

Kun Nhu เขียน:#& #& อ่านหมดแล้ว ขอใหม่โดยด่วนครับ ช่วยบอก เจ้โปร่งด้วย ครับ เขียนเก่งจริง ๆ $&

ก๊อก ๆๆ ก๊อก ๆ ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
พี่เล็ก ครับ เพลินเลี้ยงน้อง FANTA อยู่หรือเปล่า ครับ #^ #& !$
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 06, 2010 9:14 pm

ก็ติดเด็กจริงๆนั่นแหล่ะ ติดเด็กนะไม่ใช่ติดเหล็ก $&

ทวงมาสองโพสต์แระ เอาจัดไป !#

30Mar2010 สมดุลชีวิต

บ่ายโมงครึ่ง วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2010 @ flat


ห่างหายไปนานเลยกับไดอารี่ครั้งนี้..ไปนั่งปรับตัวปรับใจและปรับอารมณ์ซะพักใหญ่


ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเราหงุดหงิดเหลือแสนชนิดที่อธิบายกับตัวเองยังไม่ถูก ครั้งแรกคิดว่าเป็นเพราะช่วงนึงทำงานติดต่อกันนานเจ็ดวัน แม้งานจะไม่หนัก แต่ชั่วโมงการทำงานที่ยาวและเวลานอนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เล่นเอาเราเพลียไปเลย แต่หลังจากได้พักอาการหงุดหงิดที่ว่าก็ยังไม่ดีขึ้น อาทิตย์ถัดมาเริ่มเป็นหนัก พาลอยากเปลี่ยนงานขึ้นมาซะงั้น (เราไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน) เราพยายามหาสาเหตุของความรู้สึกของตัวเอง (ถ้าหากว่ามีประจำเดือนก็คงโทษว่าเป็นเพราะเหตุนี้ไปแล้ว..แต่เผอิญไม่ใช่) เพราะไม่ชอบกับการติดอยู่ในภาวะหงุดหงิดเรื้อรัง ชีวิตไร้ความสุขอย่างนี้ เราเริ่มบ่นให้เทรฟฟังว่า เราคิดว่าสาเหตุใหญ่น่าจะมาจากงานที่ทำอยู่ ประกอบกับช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาภายในร้านมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง มีผู้จัดการชั่วคราวมาทำงานร่วมด้วย เธอเข้ามาจัดนู่น แก้นี่ให้มันเข้าที่เข้าทาง ซึ่งจริงๆ มันก็ดีหรอก เพียงแต่พอความเคยชินถูกกระทบกระเทือนภาวะความไม่มั่นคงทางความรู้สึกย่อมเกิดขึ้นกับหลายคน เราไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่พอใจเมื่อเราถูกมองว่าทำผิดในเมื่อไม่เคยมีใครบอกเราว่าไอ้ที่ถูกคืออะไร ..เรื่องที่หงุดหงิดใจที่สุดก็คือเรื่องรองเท้าทำงาน เราพยายามอ่านในคู่มือ ถามคนในร้านหรือสังเกตคนรอบๆตัวว่าเขาใส่่อะไรถึงจะไม่ขัดระเบียบ เราเริ่มต้นจากรองเท้าทำงานคู่เก่า แต่ใส่ๆไปกลายเป็นว่ามันเป็นตัวการของอาการปวดหลังอย่างรุนแรงของเรา ฉะนั้นก็ถึงเวลาต้องโยนทิ้ง ซื้อคู่ใหม่มาแทน..เราไปซื้อรองเท้าด้วยทางเลือกที่ว่าใส่สบายที่สุดเพราะต้องยืนทำงานยาวแปดชั่วโมงรวดทุกวัน ใจก็ลังเลว่าควรจะซื้อรองเท้ากีฬาที่เป็นแบบสีดำเรียบๆ แต่ใส่สบายดีไหม เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะให้ใส่รองเท้ากีฬาไปทำงานได้ไหม (ตอนทำสตาร์บัคส์ใส่ได้ตราบเท่าที่มันเป็นวัสดุที่ขัดเงาได้) แต่ก็นึกขึ้นมาว่าทุกคนในที่ทำงานเขาก็ใส่ผ้าใบกัน อันนี้เป็นหนังน่าจะดีกว่า เราจึงตัดสินใจว่าตัวเลือกนี้เหมาะกับงานสุด เพราะวัสดุไม่ซึมน้ำ ทำความสะอาดง่าย และใส่สบาย เราเลือกชนิดที่มีลายน้อยที่สุดเพราะคิดว่ามันไม่ควรสะดุดตา (หาแบบดำเรียบๆไม่ได้)


ปรากฏว่าพอใส่ไปทำงานได้ไม่ถึงอาทิตย์ (กำลังมีความสุขกับรองเท้าคู่ใหม่ที่ใส่สบาย และพื้นไม่ลื่น) แคลร์-ผู้จัดการชั่วคราวก็มาบอกว่าให้เราเปลี่ยนรองเท้า เพราะเขาไม่อนุญาตให้ใช้รองเท้ากีฬา..เราโวยวายทันทีว่า..อ้าว ไม่เห็นมีใครบอกเลย ไม่งั้นก็ไม่ซื้อมาตั้งแต่แรก แล้วนี่พึ่งซื้อมาด้วยนะ..เราเซ็งไปเลย.. เราบอกแคลร์ว่าเราซื้อคู่นี้เพราะเราเห็นใครต่อใครก็ใส่รองเท้ากีฬา (แถมบางคนลายพร้อยกว่าเราอีกแต่เขาเอาปลายขากางเกงคลุมไว้) แคลร์บอกว่าคนอื่นก็ต้องเปลี่ยน..เราไม่ได้อยากเถียงเพื่อเอาชนะ แต่อยากรู้ว่ามีอะไรอีกไหมที่เราควรจะต้องทำให้มันถูกต้อง ไม่ใช่มาคอยบอกให้เปลี่ยนทีหลังอีก เสียเงิน เสียเวลา และเสียความรู้สึก..


นอกจากเรื่องนี้ที่เราเจอจังๆ แคลร์ยังคงป่วนความรู้สึกคนในร้านอีกหลายเรื่อง ชนิดที่ไม่อยากจำมาบรรยายให้ฟัง เพราะเล่นเอาบรรยากาศในร้านเครียดกันไปเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ความผิดเธอเลยซักนิดเพราะเธอทำตามหน้าที่ของเธอ คนที่ควรถูกตำหนิมากที่สุดก็คือผู้จัดการร้านคนปัจจุบันหรือเชนนั่นเอง เพราะเชนปล่อยปละละเลยไม่สนใจทำทุกอย่างให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ปล่อยไปตามสบาย จนต่อเมื่อใกล้ถึงเวลาทีมออร์ดิท (Audit) จะเข้ามาตรวจคุณภาพและมาตรฐานการจัดการร้าน ก็ค่อยมากวดทุกคนให้เข้าที่เข้าทาง พอออร์ดิทไปก็ปล่อยทุกอย่างเป็นอย่างเดิม..เฮ้อ..


เรื่องนี้ทีแรกไม่ค่อยกระทบเราเท่าไหร่ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะมารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกก็เมื่อมีคนนอก (ผู้จัดการจากสาขาอื่น) เข้ามาบอก ซึ่งทำเอาเราเซ็งมากๆ เพราะเหมือนต้องทำงานแบบระวังหลังว่าจะมีใครมาเห็นไหมนะว่าฉันกำลังทำผิดอยู่..ก็แล้วทำไมไม่ทำมันให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ต้นละว้าาา..


เรื่องมาตรฐานการให้บริการหรือความใส่ใจในการทำงานเป็นอีกเรื่องที่เราแอบหงุดหงิดคนในร้านชนิดไม่รู้จะจัดการยังไงดี..ร้านสมควรเปิดหกโมงเช้า (ตรง) แต่ถ้าพนักงานยังไม่พร้อม ร้านก็ยังไม่เปิด ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเราก็เข้าใจได้ แต่นี่เธอไม่พร้อมเพราะเธอมาถึงแล้ว มัวแต่เมาท์ เลยทำงานช้า แถมบางวันยังบอกว่า เดี๋ยวก่อนขอจิบชาให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเปิดร้าน..แหมๆๆ ฟังแล้วอยากซัดให้ตกเก้าอี้ ฮึ่มๆๆ


มาตรฐานเครื่องดื่มเป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้มากๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ก็เพราะความผิดเชนอีกนั่นแหละที่ไม่ส่งพนักงานไปอบรม เขาก็ทำๆกันไปตามมีตามเกิดหรือตามที่จะมีใครมาบอก พนักงานคนนึงในร้านทำเครื่องดื่มได้ห่วยชนิดที่ว่ามีลูกค้ามาขอคืนเงินแทนการขอให้ทำเครื่องดื่มให้ใหม่ พอไม่กี่วันต่อมาก็มีลูกค้าอีกรายที่ยอมอุตส่าห์ต่อแถวมาคืนเครื่องดื่มเพื่อบอกให้รู้ว่ารสชาติกาแฟมันห่วยสิ้นดี..เฮ้อ..เห็นแล้วเซ็งในอารมณ์..


ยังไม่หมด..นั่นเป็นเรื่องที่เราจัดการไม่ได้ ..เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าอำนาจหน้าที่ของซุปเปอร์ไวเซอร์ในร้านนี้ต่างจากพนักงานธรรมดาตรงไหน และก็ดูเหมือนว่าทุกคนในร้านรู้สึกเหมือนกันว่ามันไม่ต่างนอกจาก ซุปฯมีหน้าที่ถือกุญแจเซฟ (ซึ่งเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก...เรารู้ว่านี่ผิดคอนเซ็ปอย่างร้ายแรง..แต่ก็นะ..ในเมื่อยังไม่รู้ว่าไอ้ที่ถูกคืออะไร ก็ทำเท่าที่รู้ไปก่อนแล้วกัน)
เมื่อหลายวันเราเข้างานกะบ่ายแล้วก็ได้รับการบอกเล่าว่า แซนวิชสำหรับร้านกาแฟรีทัซซ่า (Ritazza) ซึ่งเป็นอีกยูนิตนึงที่อยู่ชั้นล่างของสถานียังไม่ได้เตรียม ให้เราช่วยทำด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหา ปัญหามันมาอยู่ที่วันนั้นบะเก็ตก็เกิดขายดี เราต้องทำทั้งบะเก็ตและแซนวิชให้วุ่น ลูอิส (Louise) พนักงานที่ร้านรีทัซซ่าต้องการพักช่วงเวลาบ่ายสามโมง แต่เรายังทำอะไรไม่เสร็จเลย ลูอิสโทรมาทวงเบรคว่านี่บ่ายสามแล้วนะ เธอจะไปพักได้หรือยัง เราบอกว่าไปก็ได้ แต่เธอต้องมาทำแซนวิชเอาเองตกลงไหม เพราะเรากำลังทำบะเก็ตอยู่ แซนวิชเลยยังไม่เสร็จ ลูอิสบอกไม่เอา ไม่ทำแซนวิช.. งั้นก็รอไปก่อนนะ จะรีบทำให้เสร็จ แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ..ปกติเราพยายามจะให้ทุกคนไปพักก่อนห้าโมงเย็นอยู่แล้ว เพราะหลังห้าโมงเย็นเราจะได้มีเวลาจัดการงานในร้านตัวเอง ไม่ต้องวิ่งไปทำงานตรงนู้นตรงนี้แทนคนอื่นเพราะเขาไปพักกัน แต่วันนี้ร้านยุ่งกว่าทุกที ของหลายอย่างก็ยังไม่ได้เตรียม เราต้องจัดการให้เสร็จก่อน เพราะเราเชื่อว่ายังไงทำของขายก็สำคัญกว่าส่งพนักงานไปพัก..


ปรากฏว่ากว่าจะเสร็จทุกอย่างก็ปาไปสี่โมงกว่า เราเก็บของแล้วก็เดินออกไปจะไปทำงานแทนลูอิส เธอจะได้ไปพัก...เสียงโทรศัพท์ดังไล่หลัง เราคิดว่าคงเป็นลูอิส เราบอกลอร่่า-พนักงานที่ทำงานกับเรากะนั้นว่า ถ้าเป็นลูอิสบอกไปว่าเรากำลังลงไป กลายเป็นว่าคนในสายคือเชน..ลอร่ารีบแจ้นมาบอกเราที่หน้าประตูว่า รีบให้ลูอิสพักเร็ว เพราะเชนโกรธใหญ่เลย..ลอร่าพูดแค่นั้น เราไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเชนจะโกรธเรื่องอะไร เราได้แต่เดาว่าลูอิสคงรอนานเกินทน (ในความรู้สึกของคนไม่ได้ทำอะไร เพราะร้านข้างล่างไม่ค่อยมีลูกค้า ชั่วโมงนึงสองสามคนก็เยอะแล้ว) ก็เลยเกิดอาการฟุ้งซ่านโทรไปฟ้องเชนว่าเราไม่ยอมให้เธอไปพัก..ส่วนเชนเป็นพวกขี้ยั๊ว พอใครทำอะไรไม่ถูกใจก็ด่าเปิง ก็คงเกิดอาการรำคาญเลยโทรมาเฉ่งเรา..เราไม่ได้สืบสาวราวเรื่องว่าแท้ที่จริงเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่เห็นประโยชน์อะไร อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็งานยังไม่เสร็จจะไปพักได้ไง ให้มาทำเองก็ไม่ทำ ก็ต้องรอไป ก็แค่นั้นเอง..พอลงไปเจอหน้าลูอิส ก็เดาได้ไม่อยากว่าคงโกรธได้ที่ทีเดียว เพราะหน้าหงิกเป็นตูด เราไม่ได้คิดอะไรเพราะอย่างที่บอก ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ..จริงอยู่ว่ามันก็ต้องกระทบความรู้สึกกันบ้างว่า..ไรวะกูทำงานมือเป็นระวิง แล้วต้องมาคอยเอาใจพวกที่จะจ้องเอาแต่พักท่าเดียว เราไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าอะไรควรไม่ควรทำตอนไหนหรือไง.. คิดในใจว่า ถ้ามันเป็นเรื่องในวันรุ่งขึ้นก็จะถามกลับไปเหมือนกันว่าระหว่างส่งพนักงานไปพักกับทำงานให้เสร็จอันไหนมันควรจะสำคัญกว่ากัน..แต่โชคดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูอิสก็ดูงี่เง่าน้อยลงนิดนึง..แต่ก็ยังคอยจิกเราเรื่องขอพักตอนบ่ายสามไม่เลิก (ไม่อยากจะบอกว่าฉันรู้หรอกว่าทำไมเธอต้องไปพักเวลานั้นเป๊ะๆ..เฮ้อ..)


เรื่องหงุดหงิดสารพัดที่เกิดขึ้นทำให้เราพาลคิดเอาว่า คงเป็นเพราะเรื่องพวกนี้มั้งที่ทำเอาเราไม่สบอารมณ์..แต่พอคิดไปคิดมาอีกที มันก็เกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าว ไม่น่าจะติดค้างนานขนาดนี้..เราเลยนั่งวิเคราะห์ดังๆ ให้เทรฟฟังว่า เรารู้สึกว่าการทำงานงานที่นี่เป็นประเภทคนทำผิดไม่ได้รับการลงโทษ คนทำดีก็หมดกำลังใจ เพราะทำงานดีไป ทำงานหนักไปก็ไม่มีใครเห็น อยากทำก็ทำไป คนไม่ทำอะไรก็ไม่เห็นโดนอะไร ในที่สุดคนที่ทำงานดีก็จะเริ่มทำดีน้อยลง เริ่มเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ หรือหากใครทำให้ร้านได้คะแนนประเมินจากลูกค้าต่ำก็จะโดนส่งไปอบรม ซึ่งเราว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะการประเมินจากลูกค้า (Mystery customer) จะทำโดยการเข้ามาซื้อของตามปกติ ถามนู่นนี่นิดหน่อยแล้วก็ประเมินการให้บริการ ซึ่งโอเค..ถ้าพนักงานบริการไม่ดี แล้วได้คะแนนน้อยมันก็สมควร แต่ปัญหาคือไอ้คอร์สฝึกอบรมที่ว่าน่ะ มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะมันไม่ได้แก้ทัศนคติให้การบริการลูกค้าให้ดีขึ้น มันก็แค่เหมือนส่งพนักงานไปกักบริเวณให้เผชิญกับความน่าเบื่อในห้องอบรมเท่านั้นเอง มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไปแล้วกลับมามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากพนักงานมานั่งด่าให้กันฟังว่าน่าเบื่อแค่ไหน แถมทีมบริหาร (ทั้งผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการ) ก็ดันมองเรื่องการอบรมที่ว่าเป็นมาตรการการลงโทษซะงั้น (ด้วยการเขียนว่า..ถ้าใครทำให้ร้านได้คะแนนประเมินต่ำจะถูกส่งไปอบรม ..เอาเข้าไป..เฮ้อ)


เรามองซ้ายมองขวาเห็นสภาพในร้านแล้วก็หมดอารมณ์ อยากทำอะไรให้มันดีขึ้นก็กลัวจะเจอพวกเก๋าย้อนกลับเข้าให้ว่า ฉันก็ทำของฉันอย่างนี้มาเป็นชาติไม่เห็นมีใครว่าอะไร หล่อนเป็นใครมาถือว่าตัวเองดีกว่า คอยแก้โน่นบอกนี่..จะพาลซวยเข้าไปใหญ่..เราก็เลย..ไม่ทำอะไรนอกจากงานตรงหน้า แล้วก็คอยเอาใจพนักงานทั้งหลายส่งพวกคุณๆ ไปเบรคตามเวลาที่ต้องการ อย่าได้ขัดอกขัดใจให้แค้นเคืองขึ้นมาทีเดียว..เฮ้อ..(อีกรอบ)


แถมงานก็ไม่มีอะไรให้เรียนรู้ สมองไม่ได้พัฒนาอะไรเลย เรารู้สึกยิ่งเราทำงานนานวันเข้า เรายิ่งเริ่มติดนิสัยแย่ๆ จากคนรอบข้าง ประเภทที่ว่าทำงานแบบขอไปที ทำๆให้มันเสร็จๆไป อะไรจะเกิดก็ช่างมันฉันไม่สน ฯลฯ อะไรที่เราควรได้เรียนรู้ก็ไม่เหมือนไม่มีการรับรู้ เพราะผู้จัดการไม่เคยบรรจุมันไว้ในแผน ยิ่งทำงานเรายิ่งรู้โง่ลงทุกวันๆๆ แถมยังได้คำหยาบ คำสบถจากคนรอบข้าง (โดยเฉพาะผู้จัดการนั่นแหละตัวดี) ติดหูกลับมาบ้าน จนเผลอพูดออกมาจนเทรฟตกใจอีกต่างหาก..


นั่งวิเคราะห์อารมณ์และสถานการณ์ตัวเองมาล็อตใหญ่..แต่ไหงไม่รู้สึกว่าปัญหาถูกปลดล็อก..วันนี้วันหยุดเรา ซึ่งแสนจะดีใจแม้ไม่รู้ว่าจะหยุดไปทำอะไร เพราะเทรฟก็ไม่อยู่บ้าน นอนก็ไม่ได้อดนอนขนาดต้องนอนกักตุนหรือชดเชยขนาดนั้น มาคิดเอาเองว่า ถ้าเซ็งงานปัจจุบันนักงั้นหางานใหม่ทำกันดีกว่า..พอเริ่มต้นหาก็รู้สึกดีใจที่ว่า..มันช่วยเตือนให้นึกถึงเมื่อครั้งยังไม่มีงานทำงานทำว่า มันเครียดและเหนื่อยใจขนาดไหน..มาวันนี้มีงานทำ(ที่แสนสบาย)แบบนี้ก็ดีแล้ว..ว่าแล้วก็ช่วยสมรรถภาพในการทนดีขึ้น..ก็เลยค่อยหายหงุดหงิดไปได้หน่อย


จากนั้นเราก็ไปเอกเขนกดูทีวี ดูรายการประจำบ้าง ดูละครน้ำเน่าบ้าง อยากทำอะไรที่มันควรจะทำในวันหยุดแบบที่คนอื่นเขาทำกัน ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องรีบทำให้มันเสร็จตามเวลาไปเสียทุกอย่าง อาบน้ำสายหน่อยก็ได้ กินข้าวสายหน่อยก็ได้ แล้วเราก็หันไปทำนู่นนิดนี่หน่อย ก่อนไปลงมือทำเกี๊ยวหมูกุ้งที่ตั้งใจจะทำใส่ตู้แช่เก็บไว้เป็นอาหารฉุกเฉิน ทำไปชิมไปกว่าจะได้ที่ ใช้เวลาไปตั้งสองชั่วโมง..ตกใจไม่น่าเชื่อ ไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้..เทรฟโทรมาหาตอนพักเที่ยง คุยกันนิดหน่อยพร้อมกันนัดแนะว่าเย็นนี้จะกินอะไร ก่อนจะวางไป..


น่าแปลกที่ว่ากับการที่ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่เรากลับรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด แล้วเราก็ได้คำตอบกับตัวเองว่าสิ่งที่เราทำหายไปก็คือ "สมดุลของชีวิต"
ช่วงเวลาที่ผ่านมาตารางเปลี่ยนไปมา เราทำงานกะบ่ายเสียส่วนใหญ่ เลิกงานสามทุ่ม ซึ่งก็หมายความว่าเราไม่มีโอกาสกินข้าวเย็นกับเทรฟเลย กลับมาถึงก็เหนื่อยหมดแรง อาบน้ำ แล้วสลบไปเลย เช้าเทรฟตื่นไปทำงานเรายังงัวเงียอยู่ในที่นอน ก็เลยไม่ได้คุยกันอีก ส่วนเวลามื้อเย็นที่เราจะได้นั่งคุยกัน ทำกับข้าวด้วยกัน นั่งดูทีวีรายการบ้าๆ บอๆ ด้วยกัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องพูดถึง, จากเดิมที่ได้เรียนเต้นรำ ตีสควอช ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ค่อยๆ ลดลง ..


เราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้หายไป... เราไม่เถียงว่าเราต้องทำงานเพื่อให้ได้เงินมา แต่หากการไปทำงานนั้นนอกเหนือจากต้องแลกด้วยเวลาทำงานแล้ว ยังต้องแลกด้วยคุณภาพชีวิตและชีวิตครอบครัวแล้วละก็ เราว่ามันเริ่มไม่คุ้มแล้วล่ะ...เพราะนั่นมันหมายถึงเรากำลังทำงานเพื่อเงินอย่างเดียวใช่ไหมล่ะ..แล้วส่วนอื่นของชีวิตเราล่ะ..คนที่เรารัก ครอบครัว เวลาพักผ่อน สุขภาพ และด้านมุมอื่นๆ ของชีวิต.. มันก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันไม่ใช่เหรอ..เพราะเราก็พูด ก็อ้างกันอยู่ตลอดเวลาว่า เราทำ "งาน" เพื่อครอบครัว เพื่อคนที่เรารัก ก็แล้วถ้า "งาน" ที่ว่ามันกำลังทำลายครอบครัว ทำลายคนที่เรารัก หรือแม้แต่ตัวเราเองล่ะ..เคยคิดกันบ้างไหมว่า.."เงิน" ที่ได้มามันคุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 06, 2010 9:19 pm

1Apr2010 ฮันนีมูนรอบ 0.1?

สิบเอ็ดโมงครึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2010 @ flat


ใกล้เวลาไปทำงานแล้ว..วันนี้วันพฤหัสฯ พรุ่งนี้ก็ได้หยุดแล้วเย้!!! ศุกร์เสาร์นี้มีโปรแกรมจะไปฮันนีมูนรอบ 0.2 เลยนึกได้ว่ายังไม่ได้อัพเดทให้ฟังว่าฮันนีมูนรอบ 0.1 เป็นไง


เอ่อ..คือว่ารายการการฮันนีมูนของเราสองคนมันยาวเหยียด ก็เลยมีเลขรอบเป็นแบบจุดทศนิยม ส่วนฮันนีมูนแบบเลขรอบที่เป็นจำนวนเต็มยังไม่สบโอกาสทั้งเวลาและกำลังทรัพย์เลยต้องอาศัยการฮันนีมูนแบบเผื่อเรียกไปก่อน อิอิ เรียกว่าเป็นเวอร์ชั่นระยะสั้น


เหตุที่รายการฮันนีมูนมันยาวเหยียดก็เพราะว่าเราวางแผนที่จะกลับไปเยือนสถานที่ต่างๆ ที่เราสองคนเคยไปด้วยกันตั้งแต่สมัยคบกันใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกร้านอาหาร ไม่ก็ที่พักที่เคยไปมาด้วยกันในช่วงสองปีแรกที่เราคบกัน


สถานที่แรกที่ได้กลับไปเยือนเป็นสถานที่เกิดเหตุที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเมืองที่เราเจอกันคือ ฟรานโบโร่ (Farnborough จริงๆ ออกเสียงแบบ ฟราน-เบอะ-เร่อะ จะใกล้เคียงกว่า) จริงๆว่ากันให้เจาะจงลงไปอีกก็ต้องบอกว่าเจอกันในร้านอาหารไทยที่เราเคยทำงานอยู่..แต่เนื่องจากมันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้าย น่าสยดสยองเกินกว่าจะกลับไปเยือน เราก็เลยเลือกแค่ไปเฉียดๆ ชนิดว่าไปกินข้าวที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนข้างๆแทน (เพราะขนมปังกระเทียมอร่อยมากกกก..มันทำมาจากแป้งพิซซ่าไม่ใช่ขนมปังฝรั่งเศสแบบร้านอื่นๆ อืม..คิดแล้วยังอยากกินอยู่เลย งั่มๆๆ)


ความรู้สึกแรกตอนที่เทรฟชวนกลับไปที่ฟรานโบโร่อีกครั้ง เราแอบหวั่นใจอยู่เล็กน้อย เพราะสี่เดือนที่อยู่ที่เมืองนั้นเหมือนตกนรก เราเกลียดและกลัวการเจอหน้าเจ้าของร้านไทยใจยักษ์นั่นมาก ขนาดที่ว่าตอนลาออกมาแล้ว เมื่อไหร่ที่นั่งรถผ่านร้าน เราเป็นต้องแอบหลบทุกทีไป (ทำยังพวกลักลอกหนีเข้าเมือง..เฮ้อ)..คือร้านมันเป็นกระจกรอบน่ะ ถ้ามองออกมาก็เห็นหมดไง..


แต่อ่ะนะ ในเมื่อมันเป็นสถานที่สำคัญและน่าจดจำ เราก็เลยกลับไปกันอีกครั้งเมื่อศุกร์เสาร์ที่แล้ว..น่าแปลกที่ว่าเรารู้สึกดีอย่างประหลาด ดีกว่าที่ตัวเองคิดไว้มากๆ เราแวะไปพักโรงแรมที่เทรฟเคยพักสมัยตอนมาทำงานอยู่ที่เมืองใกล้เคียง..คือว่าลักษณะงานของเทรฟช่วงก่อนย้ายไปย้ายมาตามแต่ว่าโปรเจคงานทำร่วมกับบริษัทไหน ช่วงนั้นเทรฟทำงานที่ออฟฟิศที่ฟริมลี่ (Frimly) เมืองใกล้เคียง เทรฟก็เลยหาโรงแรงในรัศมีใกล้เคียง ย้ายไปเรื่อยแล้วแต่ว่าโรงแรมไหนว่าง ศุกร์เสาร์อาทิตย์ถึงกลับบ้านที ช่วงที่มาพักที่ฟรานโบโร่ก็ไปอาศัยกินอาหารไทยที่ร้านที่เราทำงานอาทิตย์ละครั้ง (เทรฟชอบอาหารไทย อาหารเอเชียมาก..เอ่อ..มาถึงวันนี้คงไม่ต้องบอกแล้วเนอะว่าชอบแค่ไหน แหะ แหะ) ถ้าย้อนอดีตกลับไปต้องบอกว่าน่าแปลกมากที่เราไม่เคยเจอเทรฟที่ร้านเลย ก็เพราะว่าทุกครั้งที่เทรฟมากินจะเป็นวันหยุดเราทุกทีไป จนเมื่อวันนึงเราโดนสลับวันหยุดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยมีเหตุให้เจอกัน..แต่การเจอกันครั้งนั้นไม่ได้เกิดอะไรขึ้น หมายถึงว่าเราไม่ได้คุยกันซักคำ นอกเหนือจากการไปรับออร์เดอร์และคิดตังค์...แต่มันมีเรื่องราวมากกว่านั้น..ถ้าอยากรู้ต้องช่วยกันเมล์โหวตเข้ามา แล้วจะเล่าให้ฟัง อิอิ..เพราะเมล์วันนี้จะเล่าเรื่องฮันนีมูน ไม่ได้จะเล่าเรื่องประวัติความรัก..อิอิ แอบเกริ่นไว้ให้อยากรู้..เพราะจริงๆ จะบอกว่าเรื่องราวความรักเราพิลึกพิลั่นชนิดตัวเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย..เอิ๊ก


อ่ะ กลับเข้าเรื่อง


เรากลับไปพักที่แอร์พอร์ต ลอจ์ด (Airport Lodge) โรงแรมขนาดเล็ก (มาก เพราะมีทั้งหมดแค่แปดห้องเอง) ที่เทรฟพักอยู่ยาวนานหลายเดือน แล้วก็ไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็กๆ อย่างที่บอก ก่อนกลับบ้านก็แวะไปทักทายพี่แอ๋วกับจอห์น-เจ้าของบ้านที่เราเคยเช่าอยู่ ซึ่งถือเป็นผู้มีพระคุณกับเราที่ช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากตัดสินใจลาออกจากงานที่ร้านไทย


กิจกรรมที่ทำสำหรับการกลับไปเยือนไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย แต่ความรู้สึกที่ได้เป็นความรู้สึกใหม่ที่มีค่าเกินบรรยาย จากเดิมที่เราอยู่เมืองนั้นด้วยความหดหู่และหวาดกลัวเจ้าของร้านไทยที่เหมือนครอบงำและควบคุมชีวิตการกินการอยู่ของเราไปเสียหมด..จริงๆ ไม่ใช่อะไรหรอกก็เราต้องทำงานกับเขาเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย เพราะครั้งนั้นที่เรามาอังกฤษเรามีเงินติดตัวมาสี่หมื่นบาท ไม่นับค่าเรียนที่พ่อช่วยออกให้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว นอกนั้นเราหากินหาอยู่ด้วยตัวเราเองทั้งหมด (ณ วันนั้นค่าเงินยังเป็น 70บาทต่อปอนด์อยู่นะ) ไม่มีการส่งเงินมาจากเมืองไทยซักสลึง ค่าครองชีพที่นี่เป็นเรื่องหฤโหด คุณอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน ประกอบกับเรามาถึงช่วงหน้าหนาว จะขยับขยายหรือทำอะไรก็ลำบากไปหมด เลยต้องทนให้เขาสับโขก กดขี่ค่าแรง ด่าเช้าด่าเย็นกระทบกระเทียบจนแทบจะกระอักเลือดตาย..ที่เล่ามาเนี่ย ไม่ได้เกินจริงเลยนะ..เพราะคนที่ได้มีโอกาสอ่านไดอารี่ในช่วงนั้นจะรู้ว่าชีวิตเราลำเค็ญมากๆ


เอาล่ะ เอาเป็นว่าการไปเยือนครั้งใหม่ตื่นเต้น สดใสซาบซ่ากว่าเดิมมากนัก เรามีความสุขมากๆ โดยเฉพาะเมื่อได้เดินไปรอบๆ เมืองในเส้นทางที่คุ้นเคยกับคนที่เรารัก ที่เมื่อครั้งนั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะมีวันนี้..


อ้าว..เทรฟมารับไปส่งที่ทำงานแล้วจ๊ะ ไว้กลับมาเล่าต่อวันหลังว่าวันศุกร์เสาร์นี้ฮันนีมูนรอบ 0.2 ของเราจะเป็นยังไง ไปนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 06, 2010 9:30 pm

5Apr2010 Honeymoon 0.2?

9.12 am Mon 5 April 2010 (Bank Holiday) @ flat


ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแรงโหวตที่ส่งกันเข้ามาอย่างคับคั่งนะค้าา (ใครวะ??..ฮึ่มๆๆ) เราจะรีบดำเนินการนำเสนอเรื่องเล่าวันวาน..แหม่..ฟังดูแก่ไปเลย..โดยเร็้ว (แบบว่าขอ build อารมณ์ย้อนอดีตนิ๊ดนึง) วันนี้มาเล่าเรื่องฮันนีมูนภาค 0.2 ก่อน


เช้าวันศุกร์ (ที่ผ่านมา) เราตื่นมากินข้าวเช้ากันนิดหน่อยแล้วก็แต่งองค์ทรงเครื่องออกไปวิ่ง เรามองหน้าเทรฟ..เทรฟ..ฝนมันตกน้าา..เทรฟทำหน้าตาย ไม่ตกนี่ เราเปิดหน้าต่างยื่นมือออกไปพิสูจน์ เนี่ยๆๆๆ ฝนมันตกปรอยๆอยู่..เทรฟทำหน้าดุใส่แล้วบอกว่า ถ้าไม่ออกไปวิ่งเราก็จะขาดซ้อมนะ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวันจริงแล้วเดี๋ยวไม่พร้อม..เราแกล้งทำหน้าง้ำใส่..ไปก็ได้..แต่เทรฟต้องสัญญาก่อนนะว่า ถ้าฝนมันตก (หนักกว่านี้) เราต้องกลับบ้านนะ..เทรฟตอบหน้าตาเฉยว่า..ผมสัญญาได้แต่ว่า ถ้าฝนมันตกหนักกว่านี้ เราจะเปียก! แล้วก็ออกวิ่งไปไม่สนใจดินฟ้าอากาศ ฮือๆๆๆ


แล้วฝนมันก็ตกหนักกว่าเดิมจริงๆ ด้วย เราวิ่งไปเปียกไป หนาวไป โฮๆๆ หยุดวิ่งก็ไม่ได้เพราะไม่งั้นก็ยิ่งเปียก ตังค์ก็ไม่มีนั่งรถเมล์กลับบ้านต้องวิ่งกลับอย่างเดียว โชคดีนะเนี่ยที่ใส่เสื้อแจ๊คเก็ต พันผ้าพันคอ แล้วก็หมวกมาด้วย (ตกลงว่ามันมาวิ่งหรือไรเนี่ย?) แต่ไม่มีถุงมือ หลังมือเราแดงเพราะปะทะกับน้ำฝนเย็นๆ ส่วนฝ่ามือก็ซีดเพราะความหนาว เราหายใจลำบากมากขึ้นเพราะมันทั้งน้ำทั้งอากาศหนาว แว่นก็เปียก แต่อดทนวิ่งต่อไปเพราะอยากกลับบ้านแล้ว..แงๆๆๆ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จระยะทาง 6 กิโลเมตรกับระยะเวลา 40 กว่านาที เฮ้อ..เสร็จไปอีกหนึ่งวัน..


มานั่งคิดว่า..นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย..เสียเงินแล้วยังต้องมานั่งทรมานตัวเองซ้อมวิ่งอีก..
เรากับเทรฟลงทะเบียนลงวิ่ง Mini Half-marathon (โปรดสังเกตว่าเป็นมินิของฮาร์ฟอีกที) ระยะทางสิบกิโลเมตร เพื่อการกุศล เราสองคนต้องจ่ายค่าลงทะเบียนคนละ ?25 (ราว 1400 บาท) แล้วก็ต้องไปวิ่งให้ครบสิบกิโล ไม่งั้นไม่ได้เสื้อ (เทรฟขู่ไว้) ..ซ้อมๆ ไปก็แอบงงๆ ว่าเป็นการทำบุญที่ทุ่มเทกันมากทีเดียว เป้าหมายในอนาคตของเราสองคนน่าจะเป็นได้ร่วมวิ่งมาราธอนซักครั้ง (จ๊ากกก) ..แหะ แหะ ล้อเล่น..เทรฟว่ามันหาเวลาซ้อมลำบาก เพราะแค่สิบกิโลเนี่ยก็ยังว่างซ้อมแค่อาทิตย์ละวันเท่านั้นเอง..ตัวเราเองไม่ค่อยชอบวิ่งเท่าไหร่ แต่พอมาเริ่มวิ่งกับเทรฟ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องเป็นราวและไกลที่สุดเท่าที่เคยวิ่งออกกำลังกายมา ก็ปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ได้น่าชื่นใจมาก รูปร่างเราดูดีขึ้น (จากเดิมที่บริหารอย่างหนักหน่วงก็ไม่ได้ผลลัพธ์แบบนี้เท่าไหร่) ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เราก็เลยติดใจ แหะ แหะ...กลายเป็นคนหาเวลาชวนเทรฟไปวิ่งบ่อยขึ้น..เมื่อวานก็ไปวิ่งมาอีกรอบ หนนี้เป้าหมายคือเจ็ดกิโล เราใช้เวลาไปทั้งหมด 53 นาที (เล่นเอาเกือบตาย) เบิร์นไปแค่ 500 กว่ากิโลแคลฯ (ว้า..เท่ากับช็อกโกแล็ตแท่งเดียวเองเหรอเนี่ย)


อ่ะ หมดจากเรื่องซ้อมวิ่ง เราก็จัดกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทาง..หนนี้ยังคงไปบ้านใกล้เรือนเคียงกับเมืองที่ไปมาคราวก่อน แต่พักคนละที่ เราแวะไปแซนเฮิร์ท (Sandhurst) ย่านเล็กๆ ใกล้แคมเบอร์ลี่ (Camberley) เมืองใกล้เคียงที่เราแวะไปช็อปปิ้งมานิ๊ดนึง เราไปพักที่ผับชื่อ Wellington Arms ผับนี้มีบริการ Bed & Breakfast (หรือที่เรียกสั้นๆว่า B&B) แต่เป็นบีแอนด์บีที่คุณภาพดีทีเดียว เทรฟแวะมาพักที่นี่ค่อนข้างบ่อยทั้งด้วยที่ตั้ง บริการและคุณภาพ เป้าหมายของฮันนีมูนครั้งนี้นอกจากพักที่นี่แล้ว (ค่าห้องไม่ถูกนะค้า คืนละ ?65 หรือราว 3,600 บาท) ก็ต้องไปกินข้าวที่ร้านอาหารไทยที่ฟลีท (Fleet) อีกเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน หนนี้พิเศษหน่อยเพราะเทรฟนัดเพื่อนเก่าแก่เบ็ตตี้กับจิม สองสามีภรรยามากินข้าวด้วยกัน เพราะบ้านเขาสองคนอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้มาก ทีแรกเบ็ตตี้แอบเสนอไปกินที่อื่น แต่เทรฟบอกไม่ไป ต้องไปร้านเมนูไทยเพราะมีเป้าหมายไประลึกความหลัง


ไปถึงร้านเมนูไทย เราดีใจที่ร้านนี้กิจการก้าวหน้าเพราะเขาบริการดี อาหารก็ใช้ได้ มารู้ทีหลังว่าเขามีชื่อเสียงพอสมควรในย่านนี้ ..แต่พอไปกินหนนี้ต้องบอกว่า..ให้ไปกินอีกทีคงยากหน่อย เพราะตั้งแต่เราทำกับข้าวกินเอง เราก็เต็มที่มากเรื่องรสชาติ ฉะนั้นอาหารไทยในร้านไทยก็ต้องชิดซ้ายไปเลย..ก็แหม่ เขาทำให้ฝรั่งกินเนอะจะมาถึงเครื่องเท่าทำกินเองได้ไง


กินข้าวไป เมาท์กับเพื่อนไป บรรยากาศหนุกหนานไปอีกแบบ ไม่ได้โรแมนติกกันสองคนอย่างที่เคย..แต่ไม่เป็นไร เพราะเพื่อนสองคนนี้ต้องถือว่าเทรฟสนิทมากทีเดียว เราก็ถือโอกาสสนิทกะเขาไปด้วย อิอิ


กินข้าวเสร็จก็กลับมานอน แล้วเช้าก็ตีรถกลับบ้าน..ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่เป็นการไปเยือนที่รู้สึกดีมากๆ เหมือนกับไปเยี่ยมสถานที่ที่คุ้นเคย ออกจากบีแอนด์บีมาเราอาสาขับกลับ (เที่ยวก่อนเราขับยาวถึงบ้านเลย..ยังงงตัวเองไม่หาย ทำได้ไงเนี่ย) เราบอกเทรฟว่าวันนี้ไม่ว่ายังไงเราต้องหากาแฟเย็นกินให้ได้ ไม่งั้นจะบ่นไม่เลิก เทรฟก็พยักเพยิดประมาณว่า..ตามสบายครับแม่คุณ


ในที่สุดเราก็แวะที่จุดพักรถไปตามล่าหากาแฟปั่น ผลปรากฏว่ารสชาติไม่ได้เรื่องสุดๆ เราเซ็งมาก..ซื้อมาแล้วกินไม่ได้เลย จะทิ้งก็เกรงใจเทรฟ เพราะเทรฟเขาเป็นคนประหยัด แต่พอได้คำอนุมัติว่า..ถ้ามันไม่อร่อยก็อย่ากินเลย..เท่านั้นแหละ เราไม่แต่มันเลย..แล้วก็ยังคงบ่นต่อไปว่า วันนี้ไม่ว่ายังไงต้องไปหาสตาร์บัคส์กินให้ได้..ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ เหอๆๆ


แผนวันนี้มีว่าเรากลับถึงบ้านราวเที่ยงๆ หาอะไรกินกันแล้วก็ออกไปช็อปปิ้ง (อีกแล้วครับท่าน) แต่หนนี้เป็นการช็อปปิ้งแบบมีแผนการ เพราะเป้าหมายคือไปซื้อหม้อหุงข้าวกับกล่องอัดรายการทีวี (TV Recorder) ไอ้หม้อหุงข้าวเนี่ยไม่มีอะไรมาก ก็แค่มันลดราคา จากเดิมที่ว่าจะไม่ซื้อเพราะไม่งั้นอิฉันจะหุงข้าวกินทั้งวัน ก็เปลี่ยนใจมาซื้อเพราะมันลดราคาจากเกือบยี่สิบปอนด์เหลือแค่สิบปอนด์ ถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว (เพราะทำรีเสริชเรื่องราคากันมาเป็นอย่างดี) ฉะนั้นไม่ซื้อไม่ได้แล้ว อีกอย่างเทรฟก็วุ่นวายปรับเปลี่ยนวิธีหุงข้าวสวยมาหลายตลบ (เธอหุงได้ตามแบบวิธีของฝรั่ง คือต้มข้าวใส่เกลือด้วย พอสุกกรองน้ำทิ้งด้วยการเทข้าวใส่กระชอนแล้วราดน้ำร้อนซ้ำอีกที ออกมาหน้าตารสชาติแปลก แต่ดิฉันบ่นไม่ได้เพราะหุงกินเองไม่เป็น จนต่อมาเปลี่ยนมาหุงแบบเช็ดน้ำก็ต้องปรับอีกหลายรอบเพราะข้าวสารที่ซื้อมามันสารพัดมาตรฐาน..เฮ้อ) อ้อ ส่วนข้าวเหนียว เทรฟกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว นึ่งข้าวเหนียวอร่อยเหลือเชื่อ (ดิฉันทำไม่เป็นอีกเช่นเคย) ได้หม้อข้าวแล้ว เป้าหมายต่อไปคือเครื่องอัดรายการทีวี อันนี้ต้องอธิบายเยอะ


เรื่องมันมีว่า ด้วยดิฉันทำงานไม่เป็นเวลาปกติสากลเช่นสามัญชนทั่วไป ทำให้พลาดรายการที่อยากดู แล้วต้องมาทนนั่งดูรายการติงต๊องสารพัดที่ไม่อยากดูฆ่าเวลา เวลาผ่านไปพักนึงเกิดอาการสุดจะทน..เราเลยโวยวายว่า เทรฟ..เราซื้อเครื่องอัดทีวีเหอะนะ เราจะได้ได้ดูไอ้ที่เราอยากดูอ่ะ เทรฟเห็นว่ามีประโยชน์และสมเหตุสมผลเลยอนุมัติให้ซื้อได้ ..TV Recorder ก็คล้ายเครื่องอัดวีดีโอ แต่ด้วยยุคนี้เป็นระบบดิจิตอล เครื่องที่ว่าก็เลยมาเป็น Set-up box และเครื่องอัดในตัวเดียวกัน เซ็ทอัพบ็อกที่ว่าเนี่ยก็คือกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์นั่นเอง อย่างที่เล่าให้ฟังในอีเมล์ก่อนๆ ว่าตอนนี้ทุกคนทั่วประเทศต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอลหมดแล้ว เพราะงั้นก็ต้องเปลี่ยนกล่องรับสัญญาณนั่นเอง ทีวีบ้านเราเป็นระบบดิจิตอลนานแล้ว แต่เป็นกล่องแบบรุ่นประหยัดเงินคืออัดรายการไม่ได้ การเปลี่ยนอุปกรณ์ครั้งนี้จริงๆ ก็มีหลายทางเลือก คือจะซื้อทีวีใหม่ที่มีกล่องรับสัญญาณและตัวอัดในตัวก็ได้ ตัวอัดก็มีแบบเป็นระบบที่มีหน่วยความจำแบบในตัวหรือแบบเสียบ USB ก็ได้ หรือจะเอาแบบอัดแล้วบันทึกลงดีวีดีด้วยก็ได้ ..สารพัดแบบจะเลือก..เราพิจารณากันแล้วเราต้องการแค่ตัวอัด ไม่ต้องการดีวีดี ไม่ว่าจะอัดลงดีวีดีหรือดูดีวีดี เพราะเราสองคนไม่บ้าดูดีวีดีขนาดนั้น


พอตกลงใจได้แล้วต่อไปก็มาดูเรื่องราคา เรากับเทรฟขับรถตระเวนสี่้ห้างรวด (ไม่นับที่เก็บข้อมูลจากเน็ตและหนังสือพิมพ์) ในที่สุดก็มาได้ถูกสุดที่เทสโก้ราคาประมาณ ?90 ทอนสามเพ็น ..เอ่อ..ราคามันไต่ไปตั้งแต่อันนี้จนไปถึงหลายร้อยปอนด์เลยค่ะ ซื้อเสร็จก็เอากลับมาติดตั้งที่บ้านด้วยความตื่นเต้น..อ้อ วันนี้นอกจากซื้อเครื่องอัดแล้ว เราก็ได้เป็ดสดมาด้วยหนึ่งตัว ส่วนเมนูเป็ดคืออะไร จะเล่าให้ฟังต่อไป อิอิ


อ้อ ยังไม่ได้อธิบายถึงคุณสมบัติของเครื่องอัดที่ว่านี่เลย..เครื่องที่ว่านี่ก็ทำหน้าที่อัดรายการทีวีสารพัดที่เราชอบ โดยมันจะมีรายละเอียดรายการทีวีให้เลือกว่าจะเอาแบบ 8 วันหรือ 14 วันล่วงหน้า จากนั้นก็เลือกอัดเอาได้เลยว่า ช่องไหนเวลาไหน (เอ่อ ทีวีระบบดิจิตอลเนี่ย ไม่ได้มาแค่ช่อง 3, 5, 7, 9, 11 แบบเมืองไทยนะคะ มันมาเป็นร้อยช่องค่ะ) ที่เจ๋งกว่านั้นคือ ถ้าเราจะเลือกอัดรายการที่มันจะออกอากาศมากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เช่นละครทีวี มันก็สามารถเซ็ทให้อัดอัตโนมัติได้เลย (ละครที่นี่มันนึกจะมาวันไหนมันก็มา ไม่ค่อยแน่นอน บางอาทิตย์ก็ จันทร์ พฤหัส ศุกร์ บางอาทิตย์ก็มีวันอาทิตย์แถมมาด้วย บางทีก็มีแค่สองวัน เอาแน่เอานอนไม่ได้ ที่ประหลาดคือมันแบ่งเป็นสองส่วนคือ ครึ่งแรกฉายครึ่งชั่วโมง พักไปฉายรายการอื่น แล้วค่อยมาดูต่ออีกครึ่งชั่วโมงหลัง อะไรไม่รู้วุ่นไปหมด..ไม่สนใจคนดูเล๊ยยว่าจะรู้ได้ไง แต่พอมีเครื่องอัดแล้ว..ไม่มีปัญหา..มันจะถามเลยว่า จะอัดทุกตอนไหมคะ? (แหะ แหะ อันนี้ดัดจริตเอง..เครื่องมันไม่มีเพศ) เราก็ "เยส" แล้วมันก็จะตามอัดให้เองโดยอัตโนมัติ เครื่องยังสามารถแนะนำต่อไปว่า หากคุณชอบรายการประเภทนี้จะอัดทุกรายการที่เป็นประเภทเดียวกันของช่องนี้ไหมคะ (เช่น ชอบละครก็อาจจะอัดละครทุกเรื่องที่ช่องนั้นมีฉายอะไรทำนองนี้) ซึ่งเราไม่เอาเพราะไม่ได้ติดละครขนาดนั้น แต่มันดีสำหรับรายการประเภทสารคดี, รายการ Comedy (ไม่อยากแปลว่ารายการตลกเลย เพราะตลกที่นี่ปัญญาชนกว่าเมืองไทยเยอะ) พออัดแล้วก็แน่นอนว่าเราจะดูเมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ ที่นี้แม้ว่ามันจะฉลาดแต่ก็ไม่ฉลาดขนาดตัดโฆษณาออกด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เราก็ใช้ระบบ fast forward ดิ ได้จนถึงเร็วแบบ x64 เลยทีเดียว ไม่อยากดูอะไรตอนไหนก็ข้ามไป อ้อ ระบบทีวีแบบดิจิตอลที่ว่าเนี่ย มันตลกตรงเราสามารถกด Pause รายการสดได้ด้วย แหม่..เสียดาย fast forward รายการสดไม่ได้ อิอิ ไม่งั้นคงได้ข้ามช่วงโฆษณากันสนุกไปเลย อิอิ


ตอนนี้ชีวิตเราเลยมีแต่รายการที่อยากดู ข่าวสารบ้านเมืองลืมเปิดดูกันไปเลย แหะ แหะ


อ่ะ ระหว่างที่เทรฟสนุกสนานกับการติดตั้งเครื่องอัดทีวี เราก็สนุกสนานกับการรังสรรค์สองเมนูหลักจากเป็ดตัวอ้วน ฮ่าฮ่า
เมนูวันนี้คือเป็ดอบ (จริงๆ ก็คล้ายๆ เป็ดย่างบ้านเราอ่ะ) กับเป็ดพะโล้ ชีวิตนี้เกิดมาเคยแต่ซื้อกิน วันนี้จะลองทำกินเองซักตั้ง ฮ่าฮ่า
เริ่มจากชำแหละเป็ดเอาแต่เนื้อส่วนอกมาอบ (อันนี้ทำตามเมนูในทีวีเปี๊ยบ เขาใช้แต่อก เราก็เอาแต่อก มะเป็นไรส่วนอื่นเอาไปต้มพะโล้ ฮี่ฮี่) ได้อกเป็ดแล้วก็หมักตามสูตรที่ได้มา ส่วนบนเตาก็เคี่ยวน้ำพะโลไป ตื่นเต้นมากๆๆ เพราะไม่รู้ออกมาแล้วจะหน้าตาเป็นไง จะกินได้ไหม


ผลปรากฏว่า ข้าวหน้าเป็ดของเราวันนี้ รสชาติใช้ได้ทีเดียว สีสันอาจไม่แดงส้มสวยเพราะเราไม่ใส่สี แต่เทรฟบอกว่าเป็ดรสชาติดีแล้วก็นุ่มกำลังดี..ปลื้มไปเลยเรา
ส่วนเป็ดพะโลก็เนื้อนุ่มยุ่ยกินง่ายมากๆ เราเอามาผัดกระเพราะเป็ดของโปรด..อืม อาาหย่อยยย.. นี่ยังมีเหลืออยู่เลย ไว้จะทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดเป็นรายการต่อไป ฮ่าฮ่า คิดแล้วดีใจจริงๆ ก็แหม..ซื้อเป็ดทั้งตัวมาทำราคาแค่เจ็ดปอนด์กว่า ได้กับข้าวตั้งหลายมื้อ ลองไปร้านอาหารจีน (ต้องร้านใหญ่ๆด้วย) ราคาข้าวหน้าเป็ดก็จานตั้งเจ็ดปอนด์กว่า มีเป็ดไม่กี่ชิ้นเอง แถมไม่มีเป็ดพะโล้ให้กินด้วย มีแต่เป็ดย่าง ประหยัดซะขนาดนี้ดิฉันเลยดีใจสุด อิอิ


ดิฉันตื่นเต้นเรื่องเป็ด สามีตื่นเต้นเรื่องทีวี สองคนตื่นเต้นเหมือนกัน แต่ตื่นเต้นกันคนละเรื่อง ก็เลยคุยกันแบบงงๆ เพราะต่างคนต่างจดจ่อแต่เรื่องของตัวเอง (ฮา)


เลยกลายเป็นวันหยุดที่ผ่านมาแทนที่จะตื่นเต้นเรื่องฮันนีมูน เราสองคนก็มาตื่นเต้นกันเรื่องเป็ดกับเครื่องอัดทีวีกันแทน ฮี่ฮี่


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » อังคาร เม.ย. 06, 2010 10:52 pm

ตอนนี้ดุเดือดจริง ๆ ครับ ครบรสจริง ๆ ๆ ขอบคุณ มากครับ !& !&
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 9:55 pm

ก๊อก ๆ P' เล็ก ครับ เว้นนานแล้ว ครับ #^ #^ #^
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lineup07 » จันทร์ เม.ย. 26, 2010 3:54 pm

Kun Nhu เขียน:ก๊อก ๆ P' เล็ก ครับ เว้นนานแล้ว ครับ #^ #^ #^

เขียนต่อเลยครับ..........ถ้าจะติดตามมานาน
ชื่อ บัญชี เจษพงศ์ วิจิตรเดชาชัย
ธนาคาร กสิกรไทย สาขาย่อยพระราม 2 เลขบัญชี 743-2-63270-3
ภาพประจำตัวสมาชิก
lineup07
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 1951
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 4:25 pm
ที่อยู่: ที่ไหนดำเราอยู่หมด

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » จันทร์ เม.ย. 26, 2010 9:51 pm

ก๊อก ๆ ก๊อก ๆๆๆ ก๊อก ๆ ก๊อก ๆๆๆ ครับ #^ #^ #^ #)
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 27, 2010 11:38 pm

มาแล้วๆๆๆๆ #^

10Apr2010 เป็นหวัดงอมแงม?

ตีสี่สี่สิบเอ็ดนาที วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 @ flat


ตื่นมาแต่มืดเพื่อมาโทรหาพ่อกับแม่โดยเฉพาะ เพราะถ้าโทรมาสายกว่านี้แม่มักจะยุ่ง แต่ปรากฏว่าวันนี้แม่ออกไปหน้างานกับพ่อ ก็ดีไปเลยได้มีโอกาสคุยกับพี่นิดบ้าง ได้แต่ส่งอีเมล์หาเล่าแต่เรื่องตัวเอง ไม่ค่อยได้รู้ความคืบหน้าของพี่สาวตัวเอง วันนี้เลยได้คุยซะเยอะเลย คุยกับพี่นิดแล้วก็โทรเข้ามือถือพ่ออีกทีเผื่อว่าจะได้คุยกับแม่ด้วย ก็ดีไปคุยโทรศัพท์หนนี้เลยได้รู้(แน่ๆ)ว่าทุกคนสบายดี ไม่ได้มีปัญหา (เสื้อแดง) มากวนใจเพราะทุกคนเริ่มชินกับสถานการณ์บ้านเมือง ก็อยู่กันไปแบบนี้ ..เอ่อ ดีเหมือนกันแฮะ


สองสามวันนี้เราเป็นหวัดงอมแงม เริ่มมาตั้งแต่สองวันก่อน ทีแรกก็แค่ไอ จากนั้นก็เจ็บคออย่างแสนสาหัสแล้วก็ไอไม่หยุดเลย โชคดีที่ว่าพอเริ่มเป็นได้สองวันก็ได้จังหวะหยุดงานพอดี ก็หวังว่าได้พักสองวันจะดีขึ้น ไม่ต้องทำงานไปไอไป ไม่ดีเลยทำงานกับอาหารแบบนี้แล้วมาไอดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย (ลูกค้าบางคนเริ่มทำหน้าแปลกๆ เวลาเห็นเราไอตอนเสริฟเขา ก็นะ..ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร เขาก็กลัวกันไว้ก่อน)


วันก่อนนั่งบ่นเล่นๆ กับเทรฟว่า สงสัยเราได้คิดหางานใหม่จริงๆ จังๆแล้ว เพราะเบื่องานเหลือใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการทำงานที่มัน "ง่ายเกินไป" ไม่ได้ใช้สมองหรือความสามารถอะไรจะกลายมาเป็นปัญหาในการทำงานไปได้ พอบ่นได้ไม่เท่าไหร่ก็มีเรื่องตื่นเต้นเข้ามาเลย เริ่มจากทางสตาร์บัคส์อีเมล์มาหาบอกว่ามีตำแหน่งว่าง สนใจมาทำงานด้วยกันไหมจ๊ะ เราเห็นแล้วรีบตอบกลับว่า สนใจจ๊ะ .. อ่ะนะ ก็ทำที่นั่นมันเคยมีอะไรให้ทำให้เรียนรู้เยอะแยะ ถ้าอะไรๆ ยังเป็นเหมือนเดิม เราคงวุ่นหัวโต ..เรื่องงานนี่ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าหลังสัมภาษณ์งานแล้ว..เราจะได้เปลี่ยนงานใหม่ไหม อิอิ แล้วจะเก็บมาเล่าให้ฟังนะ


ส่วนเรื่องตื่นเต้นอีกเรื่องที่ประจวบเหมาะกันพอดีก็คือเรื่องซื้อบ้าน หลังจากที่เฝ้ารอมานานหลายอาทิตย์ ในที่สุดทนายก็โทรมาบอกว่าสัญญาซื้อขายบ้านเสร็จเรียบร้อย เตรียมพร้อมโอนได้ จริงๆ ถ้าอธิบายให้ถูกขั้นตอนต้องบอกว่า เขาโทรมาบอกว่า พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย..คือ..อย่างที่เคยเล่าไปบ้าง..การซื้อบ้านที่นี่หลังจากที่ตกลงราคาขายกันได้แล้ว จัดการเรื่องขอกู้กับทางแบงค์เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ไม่เกี่ยวกับเอเจนท์ขายบ้านและธนาคารก็คือรายละเอียดทางเอกสารทั้งหมดซึ่งต้องมีทนายเป็นคนจัดการทั้งสิ้น ทั้งทนายฝ่ายผู้ขายและฝ่ายผู้ซื้อ เรียกว่าซื้อบ้านที่นี่คนซื้อคนขายไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันเอง ยกเว้นเจ้าของบ้านบอกขายเองโดยตรง ทนายฝั่งนู้นทำอะไรบ้างเราไม่รู้ (ไว้มีโอกาสขายบ้านแล้วจะมาเล่าใหัฟัง) ส่วนทนายฝั่งเราหรือฝั่งผู้ซื้อก็จัดการเรื่องรายละเอียดของตัวบ้านไป (ถามว่าเลือกทนายยังไง..เราไม่ได้เลือกเอง เอเจนท์แนะนำ ส่วนจะมีค่าต๋งแบ่งกันเองไหม อันนี้ก็ไม่รู้ เพราะจริงๆ ทนายที่ทำเรื่องซื้อขายบ้านโดยตรงในแต่ละย่านก็มีไม่เยอะ ฉะนั้นเขาแนะนำใครมาก็เอาไปเถอะ จะได้ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาเอง เขาจัดการเรื่องนี้มาเยอะ คงไม่แนะนำคนซี้ซั้วมาให้เกิดปัญหากวนใจ เพราะถ้าการซื้อขายไม่เรียบร้อยเอเจนท์ก็อดได้ตังค์อยู่ดี)


ที่บอกว่ารายละเอียดของบ้านนี่ต้องบอกว่าละเอียดจริงๆ เพราะส่งรายงานมาเป็นปึก เทรฟแอบกัดว่ารายงานขยะอ่ะดิ ไม่เห็นต้องทำอะไรก็แค่เข้าคอมฯแล้วปรินท์ออกมา แล้วมาเก็บเงินเรา เรื่องนี้เทรฟไม่ปลื้มแต่เราตื่นเต้นน่าดู ก็แหม เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องมาตรฐานของเขาเทรฟเขาก็ชิน ไอ้เราไม่เคยพบเคยเห็น ระบบบ้านเราเมืองเรามันไม่มีมาก่อนนี่เนอะก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา ไอ้รายงานที่ว่าหนาขนาดที่จนป่านนี้เรายังอ่านไม่จบมันหนาประมาณ 30-40 หน้า มีประมาณสิบกว่าหัวข้อ ลงรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งของตัวบ้านว่าอยู่พิกัดที่เท่าไหร่ มีลักษณะพื้นที่เป็นยังไง มีโอกาสเกิดน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน มีปัญหาเรื่องสารเคมีปนเปื้อนจากขยะ จากสงคราม (ในอดีต) หรือระดับแร่ใยหินที่มักเกิดจากอิฐที่ใช้ปลูกบ้านเกิดการกร่อนตามเวลาอยู่ในระดับที่สูงจนเป็นอันตรายหรือไม่ พื้นที่บ้านในระดับรัศมีเท่านั้นเท่านี้มีใครทำการปรับปรุงดัดแปลงบ้านอย่างไรบ้าง ที่ดินมีใครเป็นเจ้าของเดิมและผ่านการซื้อขายมาอย่างไรบ้างเพราะต้องดูว่าเราจะทำงานซื้อขายได้ถูกต้อง (ไม่มีใครมาตามฟ้อง ตามยึดที่หลัง) หรือมีภาระผูกพันติดที่ดินอะไรบ้างหรือเปล่า พื้นที่เป็นเขตเหมืองแร่เก่าหรือไม่ เพราะถ้าใช่ก็ต้องดูระดับความอันตรายของสารเคมีหรือสภาพความมั่นคงของที่ดินและบ้านอีกที ลักษณะบ้านปลูกสร้างแบบไหน เป็นบ้านคอนกรีตหรืออิฐถือปูน สร้างในยุคไหนสมัยไหน (เรื่องนี้สำคัญเพราะถ้าเป็นบ้านคอนกรีตแบงค์มักไม่ค่อยปล่อยกู้ เพราะถือว่าไม่แข็งแรงเท่าบ้านที่ปลูกแบบอิฐถือปูน บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าตั้งแต่สมัย 1970s เลยไม่มีปัญหาเรื่องนี้ บ้านที่นี่ถ้าเป็นบ้านเก่าที่นี่สร้างแข็งแรงดีกว่าบ้านสมัยใหม่) ฯลฯ


เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ละเอียดจริงๆ ซึ่งร้อยละร้อยทนายก็ไม่ได้ไปลงมือทำเองทั้งหมดหรอก ที่มันน่าตื่นเต้นสำหรับเราก็คือคนทำฐานข้อมูลพวกนี้ทั้งหมดต่างหาก เพราะจริงๆ อย่างที่เทรฟว่าข้อมูลพวกนี้มันมีไว้ให้พร้อมรอปรินท์ออกมาอยู่แล้ว..เราทึ่งที่เขามีการจัดทำระบบฐานข้อมูลได้ใหญ่ขนาดนี้ เรียกว่ามีประวัติการซื้อขายบ้านตั้งแต่เริ่มสร้าง เห็นแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมประเทศเขาถึงได้ไปไกลกว่าบ้านเรามากมายนัก ก็เขาคิดเรื่องพวกนี้ได้ก่อนเรามาเป็นร้อยปีอ่ะนะ


นอกจากข้อมูลฝั่งทนายเองแล้ว ทางเราเองก็ยังมีรายงานในส่วนของเราเอง ซึ่งเราเป็นคนขอให้เทรฟจ้างคนมาทำเพิ่มต่างหาก ซึ่งก็คือรายงานการสำรวจตัวบ้านอย่างละเอียดนิดนึง (คือยังไม่ถึงขั้นละเอียดที่สุด) คือจริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องทำเพราะเราจ่ายเงินให้ทางเอเจนท์เขาทำไปรอบนึงแล้วเรียกว่าเป็นรายงานขั้นพื้นฐาน..อืม..เอาใหม่เล่าให้ละเอียดอีกทีก็ได้..คือเวลาเราจะขอกู้แบงค์เขาต้องมั่นใจว่าสภาพบ้านมันดี มันคุ้มกับเงินที่จะให้กู้ (ประมาณว่าถ้ายึดบ้านมา แล้วเอาไปขายต่อยังได้ราคาคุ้มกันว่างั้นเถอะ) ซึ่งการทำรายงานสำรวจสภาพบ้านตัวนี้ทำเพื่อ "ผลประโยชน์ของแบงค์เป็นหลัก" แต่เราเป็นคนจ่ายเงินค่าคนสำรวจ (อ่ะนะ จะขอกู้เงินเขา เขาบังคับให้ทำอะไร จ่ายอะไรก็ต้องทำ..เฮ้อ) แถมไอ้รายงานตัวนี้ที่ว่าเราก็ไม่มีโอกาสเห็น ถ้าบ้านสภาพดีผลก็คือแบงค์ปล่อยกู้ ถ้าบ้านไม่ดีเราก็ไม่ได้เงินกู้เท่านั้นเอง ที่นี้เราก็เลยขอให้ทางเอเจนท์เขาทำรายงานให้มันละเอียดไปอีกขั้นคือให้มีรายงานรายละเอียดสภาพบ้านส่งกลับมาหาเราในฐานะลูกค้าด้วย ซึ่งแน่นอนก็ต้องจ่ายแพงขึ้น..ผลคือ รายงานที่ได้จะเต็มไปด้วยคำว่า "น่าจะ.." "อาจจะ.." แหม่..เห็นแล้วน่าอัดมันจะจริงๆ เขียนอะไรกำกวมแบบนี้ เราเขียนเองก็ได้ไม่ต้องผู้เชี่ยวชาญไปดูหรอก ก็เอ็งเล่นว่า "อาจจะ" เกิดปัญหานู่นนี่นั่นได้สารพัด แต่รวมๆ บ้านก็อยู่ในสภาพดี ถ้าจะให้ดีควรส่งผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นด้านนี้มาดูอีกที (ดูมัน!)..ไอ้เราก็ประสาทเสีย กลัวเรื่องโครงสร้างบ้านจะไม่ดีเป็นหลัก เพราะดูรายการสร้างบ้านมาเยอะปัญหาเรื่องนี้ถ้ามาเจอทีหลังต้องใช้เงินหลายในการซ่อมแซม เราก็เลยขอให้เทรฟจ้างผู้รับเหมามาดูเรื่องโครงสร้างเป็นการเฉพาะต่างหาก ไม่เกี่ยวกับรายงานที่ต้องส่งแบงค์ แต่เพื่อความสบายใจของเราเอง เราร่ายเหตุผลอยู่ยาวทีเดียวกว่าเทรฟจะยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อจัดการเรื่องนี้ ผลก็คือมีรายงานกลับมาว่า ไอ้ปัญหาสารพัดที่รายงานของท่านผู้เชี่ยวชาญท่านว่า "อาจจะ" ทั้งหลาย ผลคือไม่มีอะไรต้องกังวล มีเพียงเรื่องขี้ประติ๋วคือ ปลวก (หา! เมืองหนาวมันก็มีปลวกเหรอวะ??) เขาว่าไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่มีร่องรอยเล็กน้อยแนะนำให้ฉีดปลวก เทรฟกับเราเห็นด้วยพร้อมกันทันทีว่า ต้องจัดการให้เรียบร้อยทันที


เพราะงี้รายการการจัดการกับตัวบ้านแบบชนิดที่จะต้องทำทั้งบ้าน หรือที่จะสร้างความสกปรกเลอะเทอะก็ต้องจัดการตั้งแต่ก่อนย้ายของเข้าไป เราวางแผนกับเทรฟว่า งั้นเราก็ให้เขาฉีดปลวกให้เสร็จก่อน ติดตั้งเครื่องตรวจควัน ซักพรมทั้งหลังแล้วค่อยย้ายเข้านะ


ขั้นตอนแรก เทรฟเห็นด้วยตามเหตุผลที่เล่ามาแล้ว
ขั้นตอนที่สอง ติดตั้งเครื่องตรวจควัน เป็นไปตามกฎหมายเรื่องความปลอดภัยของที่นี่ (บ้านนี้เป็นบ้านเก่าเลยยังไม่มีระบบตัวนี้)
ขั้นตอนที่สาม ซักพรมทั้งบ้าน อันนี้เราขอเอง เพราะบ้านปูพรมทั้งหลังจริงๆ (อ้อ ยกเว้นห้องครัว) เล่นเอาเทรฟอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเราบอกว่าในห้องน้ำก็ปูพรม..ก็แหม..พรมกับน้ำ กับความชื้ันมันควรอยู่คู่กันที่ไหน ..บ้านคนแก่อ่ะนะ เขาก็อยากเดินไปเดินมาในบ้านอุ่นๆ เป็นของธรรมดา.. การที่มีบ้านปูพรมตามทัศนะของที่นี่ไม่ได้หมายถึงความหรูหราเสมอไป (ก็พรมมันก็มีหลายแบบ หลายราคานะคะ แตกต่างกันตามหน้าที่การใช้งานด้วย) แต่สำหรับเรามันหมายถึงภาระในการดูแลที่มากขึ้นมากกว่า ..กลายเป็นว่าเรื่องแรกที่มานั่งคุยกันคือ เราจะใส่รองเท้าเข้าบ้านหรือถอดรองเท้า..ไม่ต้องขำ เรื่องนี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ต้องถกเถียงของคนมีบ้านสมัยนี้ไปแล้ว (บ้านเรามันถอดรองเท้าแหงๆ) อย่าลืม วัฒนธรรมเขาใส่รองเท้าเข้าบ้านเป็นเรื่องปกติธรรมดา แม้ว่าบ้านบางหลังจะปูพรมก็ตาม อย่างที่แฟลตนี่ก็ปูพรมแต่ไม่ใช่พรมแบบหน้านุ่มเวลามันเลอะเทอะก็ดูไม่ค่อยน่าเกลียด ใส่รองเท้าเดินในบ้านบ้างก็เลยไม่เท่าไหร่..ความรู้สึกเราใส่รองเท้าเข้าบ้านก็สะดวกดี แต่พอมานึกว่าใส่รองเท้าเดินขึ้นชั้นสองของห้องนอนแล้วปวดใจ ขี้เกียจทำความสะอาด ก็เลยลงมติกัน งั้นถอดรองเท้าแล้วกัน..ก็ต้องมานั่งคิดกันอีกว่าจะจัดการกับที่วางรองเท้าบริเวณหน้าประตูยังไงให้มันดูไม่น่าเกลียด เพราะทางเข้าบ้านที่นี่ก็กว้างแค่ประตูบานเดียว ไม่ใช่เปิดโล่งเหมือนบ้านเมืองไทยจะได้ถอดวางเรียงกันแล้วรู้สึกเฉยๆ ..ส่วนเรื่องซักพรมนี่ขอเลย เพราะเราไม่รู้ว่าใครอยู่มาก่อนบ้าง เป็นโรคอะไร มีใครตายในบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขอทำความสะอาดอย่างดีให้รู้สึกสบายใจหน่อยเถอะ..ประมาณดูสารคดีเยอะ สารพัดโรคเมืองหนาวล้วนหมักหมมอยู่ในพรม..พอเทรฟเห็นด้วย..ก็เลย..รอดไป เฮ้อ.. (ทีแรกคิดจะทำเองนะ ด้วยการไปเช่าเครื่องซักพรมมา..แต่พอเห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า ซักพรมทั้งหลังอาจจะอยู่ประมาณร้อยปอนด์ (ราวห้าพันกว่าบาท) ก็เลย..เอาวะให้มืออาชีพเขาจัดการเถ๊อะ อย่าไปเขียมกับเรื่องพวกนี้เลย).. อ้อ ลืมบอกว่า การซักพรมหนนี้มีเหตุผลเพียงความสบายใจของเราอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับความสกปรกของบ้านแต่อย่างใด เพราะบ้านอยู่ในสภาพสะอาดเรียบร้อย พร้อมเข้าอยู่ แบบเข้าอยู่..จริงๆ..คือยกกระเป๋ามาวางแล้วก็นั่งเล่น นอนเล่นได้เลย..พื้นบริเวณโถงทางเดินก็ไม่ได้เลอะเทอะแม้ว่าตอนเข้าไปดูบ้านจะใส่รองเท้าเดินดูกันทั่วบ้าน (ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ได้มีเราเขาไปดูอยู่เจ้าเดียว)


เรียกว่าเริ่มมีเรื่องตื่นเต้นเข้ามาให้ลุ้นให้จัดการ..ผลจะเป็นยังไงจะเก็บมาเล่าให้ฟังต่อไปนะจ๊ะ..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน

cron