ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย arale » อังคาร ธ.ค. 15, 2009 11:25 pm

lekpn เขียน:#( #( #( แล้วเมื่อไหร่จะขายหมดเนี่ย $&



^+ ขออนุญาตติดตามจากทางกระทู้นี้ก่อนนะครับ..เฮีย... @(
เอก-AIA เชียงใหม่...081-4725350...You'll Never Walk Alone...

ชื่อบัญชี ธรรมยุท เชยชมศรี เลขที่ 664-235-1910 ธ.ไทยพาณิชย์ สาขา สี่แยกสันกำแพง
ภาพประจำตัวสมาชิก
arale
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 10228
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 12:11 am
ที่อยู่: ธีรยุทธ์ เชยชมศรี..226/30 ม.1 มบ.สิรารมย์ ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 50210

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร ธ.ค. 15, 2009 11:31 pm

ว่าแล้วก็ลงตอนใหม่ล่าสุด #(

เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2009 โห ..อีกไม่กี่วันก็คริสตมาสแล้วนี่หว่า


วันนี้่ตื่นสายเพราะเหนื่อยเหลือใจจากเมื่อวาน


เมื่อวานหลังจากนั่งเบื่อๆ บ่นกะเจ้าอรอยู่หยกๆ ว่า เบื่ออยู่บ้านเฝ้าจอคอมฯแล้ว เทรฟก็โทรมาชวนให้ออกไปดูบ้านด้วยกัน เราดีใจลิงโลด บอกเทรฟไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเราหาทางนั่งรถเมล์ไปหาเทรฟจนได้เอง (แน๊..ทำเก่ง)


เราไปถึงแถวออฟฟิศเทรฟตามนัด แวะเข้าไปคุยกับเอเจนท์แรกคอนแนลล์ (Connells) เพราะเดินผ่านออฟฟิศเขา กะจะขอนัดดูบ้านที่เจอในเน็ต (เอ่อ ซื้อขายบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ผ่านเอเจนท์ค่ะ) การณ์ปรากฎว่า เราต้องลงทะเบียนกันใหม่ (อันนี้ไม่ผิดคาด เพราะต้องทำอย่างนี้กับทุกเอเจนท์...คือใครจะขายบ้านเขาก็จะเลือกเอเจนท์ให้เป็นจัดการ ฉะนั้นก็แปลว่าใครพอใจจะให้ใครดูแลเขาก็เลือกเจ้านั้น ฉะนั้นยิ่งเราคุยกับเอเจนท์หลายรายเท่าไหร่ ตัวเลือกเราก็มากขึ้นเท่านั้น) โจแอนน์ (Joanne) ซักประวัติกับความต้องการเราเล็กน้อย ก่อนส่งใบรายละเอียดของบ้านแต่ละหลังที่น่าจะเข้าข่ายให้เราดู เทรฟต้องรีบบอกไปว่า ทีแรกกะจะมาคุยแค่บ้านหลังเดียวที่เลือกไว้แล้ว เพราะต้องรีบไปคุยกับอีกเอเจนท์นึงตอนเที่ยงครึ่ง (เราเข้าไปที่นี่ตอนเที่ยงตรง) เพราะฉะนั้นไม่มีเวลาคุยรายละเอียดขนาดนั้น โจแอนน์เลยตะลุยแบบด่วนกับบ้านหนึ่งปึกตรงหน้า เราฟังไปพยักหน้าหงึกๆ ไป บ้านส่วนใหญ่ที่เขาเลือกมา เราเห็นรายละเอียดมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยฟังรายละเอียดจากปากเจ้าของพื้นที่ เราออกจากที่นั่นพร้อมนัดคุยกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อของเอเจนท์วันจันทร์หน้า (คือจริงๆ แล้ว กระบวนการก็คือ เราควรจะรู้ก่อนว่าเรากู้ได้เท่าไหร่ แล้วค่อยหาบ้านที่อยู่ในงบที่มี แต่เราทำกลับกันคือ ดูบ้านก่อน แล้วค่อยมาดูเรื่องเงิน..เลยไม่รู้ว่ามันจะลงเอยยังไง?)


จากนั้นเรากับเทรฟก็รีบขับรถไปอีกเอเจนท์นึง เทย์เลอร์ (Taylors) ที่นี่เทรฟลงทะเบียนไว้ก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่ต้องมาจัดการเอกสารนิดหน่อยก่อนที่ีจะขอนัดดูบ้านหลังถัดๆไปได้ เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรามีผลกับวงเงินกู้..ก็นะ สถานภาพสมรสเปลี่ยน แถมเราก็ไม่มีรายได้...จ๊าก..มันพันกันไปหมดเช่นนี้แล


เรานั่งคุยกับเขาเรื่องเงินกู้แป๊บนึงก็ออกไปดูบ้านหลังที่สอง (หลักแรกดูไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่าน บ้านโอเค แต่ไม่ชอบทำเล แถมแพงเกินไป ก็เลย ..ตกไป) ที่ล็อกลีซ (Lockleaze) เราไม่รู้จักพื้นที่นี้ ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ไป ไปถึงแล้ว บ้านหลังเล็กนิดเดียว มองจากภายนอกไม่น่าสนใจ (ดูจากเว็บไซต์) แต่พอเข้าไปในบ้านก็โอเค ที่สำคัญถูกกว่าหลังแรกที่ดูมากมาย มันก็เลยน่าสนใจกว่า บ้านนี้ต้องทำความสะอาด ปรับปรุงและตกแต่งใหม่อีกพอสมควร ทำให้เราต้องกลับมาคิดอีกว่า ซื้อบ้านถูกแล้วต้องปรับปรุง งบที่เพิ่มขึ้นมานี้จะคุ้มกันไหม


ออกจากดูบ้าน เทรฟต้องรีบกลับไปทำงาน จากเดิมที่ว่าจะขับรถไปส่งเราที่บ้าน ก็กลายเป็นว่าเราต้องนั่งรถเมล์กลับเอง..ปัญหามันอยู่ที่ ไอ้สายรถเมล์เจ้ากรรมนั่นมีแค่ชั่วโมงละเที่ยวเดียว และเที่ยวถัดไปก็จะถึงในอีกสิบนาทีข้างหน้า..ความเข้าใจของเราสองคนก็คือ ถ้าลงรถเมล์ตรงไหน แล้วอยากกลับบ้าน ก็แค่นั่งฝั่งตรงข้ามกับป้ายที่ลง มันก็ควรพาเรากลับบ้านใช่ไหม แต่ปัญหาก็คือ ไอ้ป้ายฝั่งตรงข้ามมันไม่มี และป้ายที่ใกล้ที่สุดก็ดูท่าทางว่า ไม่น่าจะมีรถเมล์มาจอด เราตัดสินใจเข้าไปถามคนขายของแถวนั้น เพราะเวลางวดเข้ามาแล้ว ผลก็คือเขาบอกให้เราเดินไปขึ้นอีกทีนึงจะใกล้กับที่รถเมล์วิ่งมามากกว่า (น่าจะหมายความว่า รถเมล์มันคงจะผ่านป้ายนั้นก่อนหรืออะไรนี่แหละ) ปัญหาที่ตามมาคือ เราไม่รู้จักพื้นที่แถวนั้น และป้ายรถเมล์ที่นี่ก็ไม่ใช่ห่างกันแค่มองเห็นได้ มันต้องเดิน เดิน และเดิน เราวิ่งวนกลับไปกลับมา เพราะไม่แน่ใจว่าป้ายไหนเป็นป้ายไหน ผลก็คือเราไปถึงก่อนเวลารถเมล์มาหนึ่งนาที (ตามที่เขียนไว้ในผังเวลารถเมล์ในมือ) แต่ทำไมรถเมล์มันไม่มา เอ๊ะ หรือมันไปก่อนหน้านั้นแล้ว เราเริ่มไม่แน่ใจ แล้วจะให้นั่งรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ตรงนี้ภายใต้อุณหภูมิ 5 องศาเนี่ยนะ เราไม่อยู่หรอก เราโทรบอกเทรฟว่า เราไม่กลับบ้านแล้วนะ เพราะไม่รู้รถเมล์มันอยู่ไหน เราจะนั่งอีกสายที่มันผ่านตรงนี้ไปช็อปปิ้งล่ะ ทั้งเพื่อลองนั่งรถเล่นแล้วก็จะไปซื้อของตามตั้งใจด้วย (คิดดูแล้วกัน แค่อยากได้นิตยสารซักเล่มสองเล่ม ต้องนั่งรถเมล์ไปยี่สิบนาที เพราะแถวบ้านไม่มีขาย..กรรมจริงๆ) เทรฟไม่ว่าอะไรบอกแต่ว่า ถ้าไปแล้วกลับไม่ถูกหรือหลงทางก็ให้โทรบอกจะได้ตามไปเก็บ


เราออกแนวตื่นเต้นเล็กน้อย แต่บอกตัวเองว่าตอนไม่มีสามีก็ยังผจญภัยไปไหนต่อไหนด้วยตัวเองได้ ฉะนั้นหนนี้มันต้องรอด


เราไปถึงคริบส์คอร์สเวย์ (Cribbs Courseway) แหล่งช็อปปิ้งที่ใกล้ที่สุดที่เดียวที่มีร้านหน้งสือ (ห่างจากบ้านขับรถยี่สิบนาที) เราตั้งใจว่าจะซื้อนิตยสาร เสื้อกันหนาวและรองเท้าเต้นรำ นิตยสารซื้อได้แล้ว ..ฮ้า..สองเล่มเกือบสิบปอนด์ (ห้าร้อยกว่าบาท) ฮือๆๆ ถ้ามันไม่มีประโยชน์ดังตั้งใจ จะโดนเทรฟว่าไหมเนี่ย (แต่ก็นะ ถ้าไม่ซื้อไปอ่านจะรู้ไหมว่ามันดีหรือไม่ดี) อ้อ ลืมบอกไปมันเป็นนิตยสารเกี่ยวกับเงินกู้ซื้อบ้านนะ ไม่ใช่แฟชั่น นิตยสารที่นี่มีให้เลือกเป็นร้อยๆ หัว ตั้งแต่เรื่องดารา แฟชั่น แต่งตัว แต่งหน้า ทำผม แต่งบ้าน ทำสวน แข่งรถ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตกปลา เล่นสกี แข่งหมา เลี้ยงสัตว์ ธุรกิจ เงินลงทุน เงินกู้ ข่าวต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ เรียกว่าเลือกกันได้ตามความสนใจที่เฉพาะเจาะจงลงไป และแน่นอนว่าไอ้นิตยสารที่เราจะเอามันก็คงไม่ได้มีคนอ่านเยอะขนาดเท่ากับเข่าวซุปซิบดารามันก็เลยไม่มีขายในห้างแถวบ้าน ตั้งใจไว้ว่า ถ้ามันดีจะสมัครสมาชิกแล้ว จะได้ไม่ต้องไปตามซื้อ


ออกจากห้างฯมาพร้อมเสื้อกันหนาวอีกสองตัวกะเสื้ออีกสองตัว สี่โมงนิดๆ ลืมไปเลยว่ามันกำลังจะมืดแล้ว..ทางก็ไม่คุ้น แถมรถเมล์สายเจ้ากรรมที่วิ่งผ่านบ้านก็ไม่มี ต้องนั่งสายใกล้เคียงที่ไปลงห่างบ้านออกไป แล้วเดินกลับบ้านเอา เอาวะ ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้องลุยไป อ้อ เทรฟโทรมาถามด้วยว่าโอเคหรือเปล่า เราว่า น่าจะนะ ถ้าไม่รอดยังไงจะโทรให้ไปรับกลางทาง จริงๆ ระยะทางทั้งหมดมันไม่ไกลหรอก เพียงแต่ว่าเราไม่รู้จักทาง ไม่รู้จักพื้นที่ มันก็อาจหลุดไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่เวลาหลงท่ามกลางความมืดกับอากาศหนาวน่ะ มันไม่สนุกหรอกนะ


เรานั่งรถเมล์ไปก็กางแผนที่ในมือและนับสายรถเมล์กับมองหาป้ายชื่อถนนข้างทางไปให้วุ่น เช็คให้แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกับความเป็นจริง โชคดีหน่อยที่แผนที่ที่นี่ค่อนข้างดี ละเอียด และแม่นยำ ก็อาศัยนับจำนวนวงเวียน (แยก..คือสี่แยกที่นี่ทุกแห่ง..ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่..ทำเป็นวงเวียนมากกว่าที่จะใช้ไฟจราจร) ในที่สุดเราก็ลงตรงกับป้ายที่ตั้งใจ และนั่นหมายถึงต้องเดินกลับบ้านเป็นระยะทางไกลอยู่..ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เราก็กางแผนที่แล้วก็เดินต่อไป..อากาศไม่เกินห้าองศาแน่ๆ เริ่มเหนื่อยแล้วด้วย อยู่ตรงไหนของแถวบ้านก็ไม่รู้ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ชื่อถนนมันคุ้นๆ คงใช้เวลาไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ถึงบ้าน โชคดีที่ใส่เสื้อผ้ามาค่อนข้างหนา แม้ว่าจะไม่มีถุงมือกับหมวก (เอาวะ..หวังว่าคงไม่ป่วยไปซะก่อน) อากาศมืดและเย็นลงเรื่อยๆ เราหายใจเหนื่อย เพราะสู้กับอากาศเย็นเยียบ มือข้างที่ถือถุงใส่ของต้องหมั่นคอยสลับข้าง เพราะมันเย็นจนชาไร้ความรู้สึก จากที่คิดจะถือถุงข้างนึง แผนที่ข้างนึง ก็ทำไม่ได้ ต้องใช้วิธีจำแผนที่เอา แล้วยัดใส่ถุง เอาถุงคล้องแขนไว้ มืองสองข้างจะได้ซุกในกระเป๋าเสื้อโค้ทได้..ก็อด...มันหนาวมากๆ เราเดิน เดิน และเดิน ใกล้ถึงบ้านแล้ว ใกล้ถึงบ้านแล้ว เราบอกตัวเอง


และในที่สุดเราก็ใช้เวลาเดินเกือบครึ่ังชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน โอย..เกือบจะสลบไปในทันทีที่ถึงบ้าน กลางวันทั้งวันเรากินแค่แซนวิชคู่เดียว กับแอปเปิ้ลหนึ่งผล ถึงบ้านก็เลยหิวจับใจ โชคดีเทรฟมาถึงหลังเราแค่ห้านาที เราเร่งให้เทรฟทำกับข้าวยิก เพราะถ้าช้ากว่านี้ เราจะทำอาหารไทยกินล่ะนะ เทรฟเลยรุดเข้ามาเตรียมกับข้าวก่อนที่จะเปลี่ยนชุดซะอีก (เทรฟน่ะเขาไม่หิวหรอก เพราะปกติก็กินมืดกว่านี้ แต่เราปกติมีมื้อบ่ายไว้รองท้องด้วย แต่วันนี้ไม่ได้กิน) เทรฟว่าจะทำเชฟเพิร์ดพายให้กิน (Sheppard pie) ก็ไอ้เนื้อบดโปะด้วยมันบดกับชีสข้างบนแล้วเอาเข้าไปกิล (grill) ให้ชีสมันสุกเหลืองทอง เทรฟทำผักต้มให้กินคู่กันด้วยเพื่อเพิ่มสารอาหาร เราซัดอาหารเย็นอย่างรวดเร็ว แล้วก็นั่งหมดแรงอยู่หน้าทีวีนั่นแหละ ในขณะที่เทรฟเริ่มเอางานมาร่ายตรงหน้า (งานที่ว่าก็เรื่องซื้อบ้านนั่นแหละ เพราะฉะนัั้นสองคนต้องคุยกัน)


เราแลกเปลี่ยนไอเดียกัน แต่แย่ตรงที่เราเหนื่อยมากๆ หมดแรง แถมต้องมาคิดเรื่องเครียดๆ ที่ท่าทางจะไม่ลงตัวกันง่ายๆ เราก็เลยพาลหงุดหงิดเทรฟ (อีกแล้ว) เราคุยกับเทรฟถึงความคิดเรา ในขณะที่เทรฟไม่ค่อยจะซื้อไอเดียเท่าไหร่ ไปๆมาๆ เทรฟก็คิดว่าเราโกรธเทรฟ เราว่า เราไม่ได้โกรธแต่เหนื่อยมากๆ หนาวด้วย (เทรฟเริ่มกังวลว่าเราจะไม่สบาย เพราะเราหนาวทั้งๆที่เราใส่เสื้อผ้าหนากว่า ห่มผ้าด้วย แถมยังเปิดฮีตเตอร์ตั้งสองตัว (Heater)


ในที่สุดอาการหนาวสั่นของเราก็ดีขึ้น เราคุยกันในรายละเอียดเรื่องบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ มีบ้านอีกหลายหลังที่เราต้องการนัดไปดูบ้าน เราถกกันเรื่องงบที่มี และเงินที่จะต้องผ่อนบ้าน (มันรวมไปถึงโอกาสเรื่องงานของเราและเงินเดือนเราด้วย) เราคุยกันเยอะมากจนสี่ทุ่มกว่า เรื่องบ้านที่จะนัดดูจบไป เหลืออีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่ต้องคุยกันก่อนนัดกับเอเจนท์วันจันทร์หน้าก็คือ เรื่องเงินกู้ (อ้อ เทรฟบอกว่าเรื่องนัดดูบ้านถือเป็นส่วนที่ง่ายที่สุดของกระบวนการซื้อบ้านที่นี่)


เงินกู้ที่นี่มีร้อยแปดพันแบบ ไม่ง่ายเหมือนเมืองไทยที่บอกว่าจะกู้ซื้อบ้าน ก็แค่จะรู้ว่าดอกเบี้ยเท่าไหร่ ผ่อนเดือนละเท่าไหร่ (ตามความเข้าใจของเรา) เพราะรูปแบบที่นี่เยอะแยะ คนให้กู้ก็ไม่ใช่มีแค่ธนาคาร มันมีทั้งสมาคมอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า เอเจนท์บ้านเอง หรือแม้แต่ผู้ให้กู้รายย่อย


คืนนั้นหลังอาบน้ำเรากางนิตยสารทุกเล่มที่เรามีเรียนรู้เรื่องเงินกู้ไปพร้อมๆ กับเทรฟ เราตกลงใจเลือกประเภทเงินกู้อย่างหยาบๆ และประเภทดอกเบี้ย (ที่มีให้เลือกมากกว่าหนึ่ง) แล้วก็บอกตัวเองว่า ต้องตั้งหลักให้ดีเวลาไปคุยกับเอเจนท์ ต้องไม่ไปหลงคารมเขาจนเสียจุดยืนตัวเอง


เฮ้อ..นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเองนะ เราก็รู้สึกว่าเราเถียงกับเทรฟบ่อยกว่าที่เคย ไม่ต้องคิดถึงเลยว่า ถ้าหากเกิดมีลูกขึ้นมา งานก็ยังไม่มีทำ (และก็ยังทำไม่ได้เพราะต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้าน) เราจะยิ่งเครียดและทะเลาะกันหนักขนาดไหน ...บรื๊อออ..คิดแล้วสยองจริงๆ เลย..


ก็บอกแล้วว่า..ใช้ชีวิตที่นี่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 16, 2009 10:53 pm

เที่ยงแล้ว วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2009


อืม..อิ่มจัง ทำข้าวผัดสารพัดประโยชน์ เพราะมีข้าวเย็นเหลือจากเมื่อวาน ..ไม่อยากจะบอกเลยว่า อยู่ที่นี่หุงข้าวไม่เป็น เทรฟต้องเป็นคนหุงตลอดทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว น่าอายจัง


ก็นะ ข้าวเจ้าก็หุงแบบเช็ดน้ำ ทำไม่เป็นอ่ะ ทำเป็นแต่แบบใส่หม้อหุงข้าวไฟฟ้าแล้วกดปุ่ม พอไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าก็เลยเดี้ยง แต่ก็ดีไปอย่าง ถ้าเกิดมีหม้อข้าวมีหวังไอ้โปร่งคดข้าวกินทั้งวัน เป็นแบบนี้ก็ดี พอหิวแล้วไม่มีข้าว ก็ต้องรอถามเทรฟว่าวันนี้จะกินอะไร จะเป็นขนมปัง มันต้ม มันบด มันอบ ข้าว หรือคาร์โบไฮเดรตรูปแบบอื่น ซึ่งทุกมื้ออาหารของที่นี่ เทรฟจะเน้นให้เรากินเส้นใยเยอะๆ จะได้ท้องไม่ผูกเหมือนตอนอยู่เมืองไทย (เพราะกินแต่เนื้อ) มื้อเช้าไม่เท่าไหร่ เราปรับระบบเรากินซีเรียลใส่นมไปเรียบร้อย อาจตามด้วยโยเกิร์ตหรือผลไม้ก็ว่ากันไป ส่วนมื้อกลางก็ตามมีตามเกิด เราตุนพายไว้กินบ้างยามยากและขี้เกียจทำ หลังๆ มีของเหลือจากมื้อเย็นก่อนหน้าอยู่บ่อยๆ ก็เลยสบายเราไป เอาใส่ไมโครเวฟอุ่นกินก็พอ ช่วงก่อนหน้านี้ต้องมีมื้อบ่ายด้วย เพราะกว่าเทรฟจะกินข้าวเย็นก็ทุ่มนึง (ดึกกว่าเวลาปกติเรา) ตอนนี้พยายามปรับตัวไม่กินมื้อบ่าย ด้วยการกินโยเกิร์ตและผลไม้เข้าไปเป็นทัพหน้าก่อน ไม่หนักท้องแล้วก็ช่วยระบายด้วย ส่วนมื้อเย็นอย่างที่บอก ต้องรอพ่อคุณมารังสรรค์ แล้วเราก็ค่อยเป็นลูกมือไปตามเรื่อง เทรฟหัดให้เรากินผักเยอะมากๆ ทุกมื้อต้องมีผัก ผักหลายอย่างมาหัดกินและกินบ่อยเอาที่นี่ ได้แก่ พริกหยวก แครอท (ที่กินได้กินดี กินเล่นอีกต่างหาก) บรัสเซลสเปราท์ (Brussels sprouts) หอมใหญ่ หอมแดง ถั่วฝักยาว (อยู่เมืองไทย เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง) ตอนนี้เทรฟส่งอะไรมาก็หลับหูหลับตากินไปหมด บอกตัวเองว่ามันดีต่อสุขภาพ แฮ่..


ฉะนั้นข้าวผัดกลางวันนี้จึงอุดมไปด้วยผัก (ปกติจะมีแต่ไข่กะหมู) เราใส่เบคอนหั่นชิ้นเล็กๆ กะไส้กรอกหนึ่งอัน (หนึ่งอันเท่านั้น หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ) ตามด้วยเห็ด หอมใหญ่ และผักคะน้า (จริงๆมันไม่ใช่คะน้าหรอก แต่ไม่รู้จะเรียกอะไร หน้าตาประมาณกัน) อ้อ แถมไข่หนึ่งฟอง แล้วก็ข้าว จากข้าวหนึ่งถ้วยเลยกลายเป็นข้าวผัดสองจานมีเหลือเก็บไว้กินมื้อเย็นก่อนออกไปหาเทรฟเย็นนี้


เย็นนี้เทรฟชวนออกไปสังสรรค์พบปะเพื่อนฝูงเทรฟที่ทำงาน (อีกทีนึง) เทรฟนัดให้เรานั่งแท็กซี่ไปเจอกันที่ออฟฟิศเทรฟ แล้วเราก็ไปเจอคนอื่นๆ กันที่ผับ ก็คงมีดื่มกันนิดหน่อยแล้วก็เมาท์ๆๆๆ เพราะงี้ เทรฟถึงไม่ขับรถไปทิ้งไว้ที่ออฟฟิศ เพราะถ้าขับรถก็ดื่มไม่ได้ (คนที่นี่เขามีวินัยเรื่องนี้อย่างมากค่ะ ..เพราะปรับกันแรงมากๆ) ทีแรกเราก็ไม่อยากไป เพราะมันนั่งรถเมล์ไปลำบาก ต้องต่อหลายต่อ ทางก็ไม่รู้ แถมมืดๆค่ำๆ อากาศก็เย็น แต่พอเทรฟว่าให้นั่งแท็กซี่ไปก็เลยค่อยยังชั่วหน่อย (ปกติเทรฟงกอย่างแรงกล้า..เรื่องนั่งแท็กซี่ ไม่จำเป็นไม่ได้กินเงินพ่อคุณ) ประกอบกับเทรฟเองเขาก็อยากให้เราเจอเพื่อนที่ทำงานเขา เราก็นะ..บอกแล้วต้องรู้จักพอปะผู้คน เข้าสังคมกะเขาบ้าง ไม่งั้นชีวิตมันจะเหี่ยวเฉาเกินไป เราก็..เอาวะ ไปก็ไป


นอกจากไปผับวันนี้แล้ว ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจมีอีกนัดนึง ก็ไปผับอีกนั่นแหละ แต่อันนี้จะอยู่แถวบ้าน เดินไปได้ไม่ต้องกังวลเรื่องขับรถและดื่ม ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนที่เริ่มมีกิจกรรมพบปะผู้คน และเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังอยากเติมโปรแกรมแน่นๆ ด้วยการเล่นกีฬาด้วย ฉะนั้นวันศุกร์นี้เรากะเทรฟเลยตั้งใจจะไปเล่นสควอชกัน เล่นแล้วเป็นยังไง จะรอดตายจนครบชั่วโมงไหม ไว้มาเล่าให้ฟัง วันนี้ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ ธ.ค. 19, 2009 2:30 pm

สิบโมงกว่าแล้ว วันพฤหัสฯ ที่ 17 ธันวาคม 2009


จากที่เมื่อวานกะว่าจะไปสังสรรค์กะเพื่อนๆที่ทำงานเทรฟ ไปๆ มาๆ เทรฟชวนเบี้ยวซะงั้น เทรฟว่าอากาศมันหนาวมาก แล้วกว่าจะนั่งรถไปเจอกันก็ลำบาก อย่ากระนั้นเลย เราไม่ต้องไปสมทบกับพวกเขาดีกว่าเพราะพวกเขาอยู่แถวนั้นกันทั้งนั้น มีเรานี่แหละที่บ้านไกล เราถามเทรฟต่อว่าแล้วจะเอาไง จะกินอะไรเย็นนี้จะได้เอาของออกจากช่องแข็ง เทรฟว่าไม่ต้องทำดีกว่า เดี๋ยวไปกินข้าวนอกบ้านกัน ไปกินร้านจีนใกล้บ้านดีกว่า (แถวนี้มีร้านอาหารร้านนี้อยู่ร้านเดียว..อืม ..สมกับเป็นย่านที่อยู่อาศัยจริงๆ) หลังจากนัดแนะกันแล้ว พอถึงเวลาเราก็เดินออกจากบ้าน เทรฟไม่ลืมย้ำว่า "พันตัวมาดีๆ ล่ะ อากาศหนาวมาก)


เราก็นะ เมื่อได้รับคำเตือนแทนที่จะใส่เสื้อคลุมตัวยาวปกติก็คว้าเสื้อนวม (ใส่แล้วหน้าตาเหมือนตุ๊กตาโลโก้ยางมิชลิน) จริงๆ มันก็คือเสื้อกันหนาวนั่นแหละ แต่มันมีด้วยกันหลายแบบ อิอิ แบบนี้มันกันฝนข้างนอกได้ด้วย เราไม่ลืมหมวกกับถุงมือ ส่วนผ้าพันคอวันนี้ไม่ต้องเพราะใส่เสื้อคอเต่า สีเขียวมะกอกตัวใหม่ อิอิ พอก้าวเท้าออกจากบ้านถึงได้รู้ว่า อ้าว ฝนมันพร่ำด้วยเหรอเนี่ย?? อากาศที่แย่สุดๆ ก็คือเจอฝน ลมและความหนาวปนกันนี่แหละ เพราะทั้งแฉะทั้งหนาวมันน่ารำคาญและเปียก เราเดินออกจากบ้านได้ยังไม่พ้นโค้ง คิดในใจว่า "ทำไมตรูไม่ขับรถออกมาวะ? อากาศแบบกับระยะทางแค่กิโลเดียว ฉันคงไม่ขับชนใครหรอก(มั้ง) " แต่อ่ะนะ มองโลกในแง่บวก ถือโอกาสวิ่งออกกำลังกายก่อนอาหารละกัน ว่าแล้วเราก็วิ่งเหยาะๆ (หนีฝน..ทั้งที่ไม่พ้น) กะว่าเผื่อจะอุ่นขึ้นมาบ้าง ..แหะ แหะ เปล่าเลย มันหอบกว่าเดิม หายใจถี่ขึ้นก็หนาวขึ้น เพราะหายใจเอาอากาศหนาวเข้าไป..กรรมจริงๆ จากนั้นเราก็เดินหอบไปจนถึงร้านจีน (ใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที)


เทรฟนั่งรออยู่แล้ว และไม่ต้องสงสัย กึ่มกำลังได้ที่ (เดาได้ตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์) และด้วยเหตุนี้เทรฟถึงไม่เอารถมา และไม่อยากให้เราเอามา เพราะถ้าเกิดฉุกเฉินอะไร เทรฟช่วยขับรถให้ไม่ได้เลย (ปัญหาของอากาศที่กำลังเย็นลงแบบนี้ ไม่สามารถไว้ใจได้ว่า ผิวถนนจะกลายเป็นน้ำแข็งตอนไหน หรือหิมะจะตกมาตอนไหน ปัญหาก็คือหากเป็นน้ำแข็งขาวๆ (icy frost) ก็พอทำเนา เพราะมองเห็น แต่ปัญหามันจะเป็นน้ำแข็งใสเหมือนฟิล์มเคลือบถนนที่มองไม่เห็น เวลาขับรถออกไปถึงจะรู้ เพราะมันจะลื่น..ก็ขับบนน้ำแข็งอ่ะนะ ส่วนถ้าหิมะตกหนักๆ ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรารู้และจะระวังอยู่แล้ว ปัญหาคือพวกฝนหิมะ คือตกลงมาเป็นหิมะ แต่ไม่หนาพอจะคลุมผิวถนน ถึงพื้นก็ละลาย ผลก็คือ ถนนลื่นมากมายอีกเช่นกัน และมองไม่เห็นล่วงหน้า ก็อันตรายกันไปตามระเบียบ)


เราสั่งของกินเล่นมาลุยกันก่อน แต่อ่ะนะ แค่ของกินเล่นก็เล่นเอาอิ่มได้เหมือนกัน เรื่องของกินไม่ได้คาดหวังความอร่อยอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าเป็นร้านอาหารจีนขายฝรั่งก็กินๆ ไป รสชาติพอเดาได้ เพราะก็คงไม่ต่างสมัยทำงานอยู่เรียล ไชน่า (Real China) เท่าไหร่ เรื่องกินเนี่ยไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องคุยนี่ดิ เราสังเกตตัวเองว่าความรู้สึกของเราต่อการนั่งต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ณ วันนี้ต่างกันออกไปจากที่เคยเป็นเมื่อครั้งคบกันใหม่ๆ เรารู้สึกว่าแต่ก่อนเราตื่นเต้นทุกครั้งที่เทรฟมารับไปกินข้าวด้วย และรู้สึกว่าอยากให้เวลากินข้าวมันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด เราจะได้คุยๆๆๆ เล่าเรื่องราวของกันและกันให้สนุกไปเลย .. แต่มาวันนี้ ณ วันนี้ นั่งลงตรงหน้าผู้ชายคนเดิมเรากลับรู้สึกอีกแบบ.. มันเป็นความรู้สึกจริงจังและรับผิดชอบ เรารู้สึกแต่อยากยกเอาเรื่องงานที่คั่งค้างไว้มาปรึกษากันให้เสร็จ (เอ..อารมณ์โรแมนติกแบบหนุ่มสาวมันหายไปไหนหว่า?? เราแอบตกใจตัวเองเหมือนกัน) พอได้สติ เราก็บอกตัวเอง มันไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก เราก็ยังรักเทรฟมากเหมือนเช่นทุกที เพียงแต่ครั้งนี้เรารู้ว่าเดี๋ยวเราก็กลับบ้านไปด้วยกัน ไม่ได้แยกกันเหมือนแต่ก่อน และเราก็รู้ว่า ต้องรีบคุยเรื่องงานก่อนที่มันจะดึก (หรือเทรฟอาจจะเมา)มากไปกว่านี้


เราฟังเทรฟเล่าเรื่องงานปาร์ตี้วันนี้อย่างสนุกสนาน เพราะเวลาเทรฟเมา เทรฟเล่าอะไรดูตื่นเต้นมีสีสันไปหมด (ปกติดูซีเรียส จริงจัง ไม่ก็นิ่งๆ) พอเทรฟเล่าไปได้ซักพัก เราขออนุญาตหยิบเรื่องดูบ้านมาคุยว่าเราคุยกะอรแล้วได้ไอเดียเรื่องปรับปรุงบ้านอย่างนั้น อย่างนี้ เทรฟคิดยังไง เทรฟว่า เอ้อ เข้าท่าดี ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน คุยไปคุยมาเทรฟก็เลยถามถึงว่า เมื่อไหร่อรจะมาเที่ยว เราได้แต่ตอบไปว่าอรยังยุ่งอยู่ คงอีกนานอ่ะ


แล้วเรื่องก็มาเกิดเอาตรงนี้แหละว่า เทรฟยกประเด็นว่า เราไม่ลองไปสมัครงานทิ้งไว้เล่นๆ ดูเหรอ เผื่อเขาเรียกสัมภาษณ์จะได้เป็นการฝึกไปในตัว ..เท่านั้นแหละ สมองดิฉันเกิดอาการพุ่งปรี๊ด.. เอาอีกแล้ว โจทย์ใหม่มาอีกแล้ว เทรฟอรรถาธิบายข้อดีของการทำอย่างนี้เป็นฉากๆ เราไม่ว่าอะไร เพราะเห็นเด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่คิดว่าไอ้ที่มีอยู่ในมือก็ล้นจนทำไม่ทัน ในที่สุดเราก็ตัตสินใจอธิบายความรู้สึกของเราให้เขาฟังว่า ..ตั้งแต่เรามาถึง เรารู้สึกว่าเรามีโจทย์ที่ต้องทำเยอะไปหมด ตั้งแต่พยายามจำทางเข้าบ้าน แผนที่ละแวก (เพื่อว่าอย่างน้อยยังเดินไปซื้อของใช้เล็กๆน้อยๆ เองได้), หัดขับรถ (ที่ต้องทั้งจำทาง ระบบจราจรของที่นี่ และมารยาทการขับรถ), ค้นเรื่องซื้อบ้าน เรื่องเงินกู้บ้าน และมาตอนนี้ยังมาเรื่องสัมภาษณ์งานอีก เราไม่เถียงว่าที่เทรฟแนะนำมามันมีประโยชน์ แต่ ณ วันนี้เรารู้สึกว่า แต่ละอย่างที่อยากให้เราทำ เรายังทำได้ไม่ดีจนตัวเองรู้สึกมั่นใจซักอย่าง แล้วนี่ยังจะมีมาเพิ่มอีกเหรอ?? เทรฟทำท่าตกใจ พยายามบอกปัดเป็นระวิงว่า ทั้งหมดที่เขาพูดมาไม่เคยหมายความว่าให้เราต้องทำทุกอย่างตามที่เขาแนะนำ และขอให้เข้าใจว่าทุกอย่างที่เขาโยนไอเดียมาเป็นเพียงแค่คำแนะนำ ไม่ใช่คำสั่งหรือโจทย์หรือสิ่งที่ต้องทำ เพราะเขาไม่ใช่พ่อ เราไม่ใช่เด็ก เราเสมอภาคกัน เขารู้จักนิสัยเราดีว่าเราขี้เบื่อ เขาก็กลัวเราเบื่อก็เลยช่วยคิดเท่านั้นเอง ถ้าอันไหนโปร่งว่าไม่เข้าท่าหรือไม่อยากทำก็แค่ไม่ต้องสนใจหรือบอกเขาไปว่า เราไม่สน เราแย้งว่า ก็เรากลัวว่าถ้าเราพูดแบบนั้นแล้วต่อไปเทรฟก็จะไม่กล้าแนะนำอะไรอีก (คิดตามกรอบความคิดของคนไทยเปี๊ยบ) เทรฟว่า ไม่ต้องกังวลอย่างนั้น ทุกวันนี้เราอยู่ในสังคมที่อุดมไปด้วยคำแนะนำอยู่แล้ว เรามีสิทธิเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร แล้วเรื่องที่กลัวว่าเขาจะไม่แนะนำอีกก็ไม่ใช่ เพราะนั่นเป็นความคิดแบบคนไทย ไม่ใช่ที่นี่ เราฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ ก็เข้าใจกันมากขึ้น แล้วเราก็รู้สึกว่าเราใจเย็นมากขึ้น (ไม่ทำเสียงดังใส่เขาอย่างเคย แม้ว่าจะมีอารมณ์หงุดหงิดหลุดไปบ้าง อิอิ)


เทรฟอธิบายว่าเขาทำทุกอย่างเพราะเขาเป็นห่วงเรา กลัวเรารู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไร หรือไร้ความสามารถเพราะเราชอบทำงาน ชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาก็กลัวว่าเขาจะบอกสิ่งที่เราควรรู้ไม่ครบ พอคิดอะไรได้ก็รีบพ่นรีบบอกไว้ก่อน (ก็นับว่ารู้จักนิสัยเราไม่ใช่น้อย) เขาบอกเพิ่มเติมว่า แม้เขาอายุขนาดนี้แล้ว เขายังรู้สึกว่าเขาไม่รู้อะไรอีกตั้งเยอะ มีตั้งหลายเรื่องที่เขาก็พึ่งเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเรา เช่นเรื่องเงินกู้ซื้อบ้าน แต่ก่อนที่เขาซื้อบ้านมาเขาก็ทำตามที่บริษัทให้กู้หรือธนาคารบอก เขาไม่เคยได้นั่งลงมือศึกษาเป็นเรื่องเป็นราวอย่างทุกวันนี้ (หรือที่เรากำลังทำอยู่..เรื่องรายละเอียดเงินกู้ซื้อบ้านที่นี่ มีความละเอียดซับซ้อนกว่าเมืองไทยหลายเท่านัก ไว้มีโอกาสจะเก็บมาเล่าให้ฟัง)


เราบอกว่า เรารู้ว่าเขาเหนื่อย เราอยากเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ให้เขา เพราะเราชอบและเราถนัด เราอยากทำจนถึงขั้นว่า ได้ข้อสรุปมาเป็นสามทางเลือก แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียดังต่อไปนี้ ฯลฯ แล้วให้เขาเลือก ให้เขาตัดสินใจ เทรฟว่า ไม่เอาอ่ะ โปร่งเลือก โปร่งตัดสินใจมาเลยแล้วกัน โปร่งเก่งและฉลาดกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว โปร่งทำได้แหละ เลือกมาเลย แล้วบอกแค่ว่าต้องการให้เขาทำอะไร ..เอาแค่นั้นพอ..ข้อหลังนี้เรารู้ว่าเทรฟพูดหยอกเรา (แต่ก็แอบคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่เรารู้ว่า ไม่ว่าอย่างไร ทุกเรื่องที่เราต้องตัดสินใจ ล้วนมาจากการปรึกษาหารือและการตัดสินใจร่วมกันเสมอ เพราะเราทำอย่างนั้นกันมาตลอดตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว)


จบมื้อเย็นวันนั้น ก็กลายเป็นอีกหนึ่งเซซชั่น (session) ของการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แทนการกินข้าวแบบโรแมนติก อิอิ แต่ก็เอานะ ปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น เราก็รักกันมากขึ้น และชีวิตคู่ของเราก็ราบรื่นมากขึ้นด้วยจริงมะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ ธ.ค. 19, 2009 2:30 pm

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2009 สิบเอ็ดโมงกว่า ที่แฟลตที่เดิม


อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ คาดว่าหิมะคงตกแถวบ้านเราเร็วๆนี้ (อาจจะเย็นนี้หรือเสาร์อาทิตย์นี้) เพราะพื้นที่อื่นๆ เริ่มมีหิมะกันแล้ว อากาศขึ้นลงอยู่ที่ไม่เกินสององศา และลดต่ำลงไปกว่าศูนย์ เมื่อคืนพยากรณ์อากาศบอกว่า จะให้ความรู้สึกเย็นเหมือนติดลบเจ็ดหรือสิบองศา บรึ๊ยย


เมื่อวานหลังจากเมาท์กะเพื่อนแล้ว เทรฟโทรมาบอกว่าเราจะไปสวอนซีกัน (Swansea เมืองหลวงของเวลล์ Wales ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง) เทรฟไปทำธุระเรื่องเอกสาร เราตามไปช็อปปิ้งเพราะเราไปทำธุระกะเขาด้วยไม่ได้ มะเป็นไร โดนทิ้งไว้คนเดียวชั่วโมงสองชั่วโมงพอลุ้น ถ้านานกว่านั้นจะไม่ไปด้วย ขับรถกันไปประมาณสองชั่วโมง ต้องข้ามสะพานข้ามช่องแคบด้วย เราต้องจ่ายเงินค่าข้ามสะพาน ?5.40 (ประมาณเกือบสามร้อยบาท) ทีแรกเราคิดว่าคงเหมือนค่าทางด่วน เทรฟมาเฉลยว่า ทางด่วนในอังกฤษส่วนใหญ่ไม่เสียเงิน แต่สะพานกับอุโมงค์ต้องเสีย เพราะเป็นของเอกชน (เอ่อ..พึ่งรู้นะเนี่ย บ้านเราน่าทำบ้างไหมเนี่ย อิอิ เห็นแค่เขาปิดซ่อมสะพานในกทม.ก็บ่นกันตรึม ถ้าเขาให้สัมปทานเอกชนไปดูแลแล้วเก็บเงินค่าใช้ จะยังกล้าบ่นกันไหมเนี่ย) ไปถึงตรงด่านเราตั้งอกตั้งใจดูเป็นพิเศษ เพราะชอบระบบของบ้านนี้เมืองนี้ ว่าเขาจัดการกันอย่างไรเพราะค่าแรงแพงเหลือใจ เทรฟว่าเขามีให้เลือกสองแบบแบบจ่ายกับพนักงาน (กรณีไม่มีเหรียญพอดี หรือมีแบงค์) กับจ่ายช่องอัตโนมัติซึ่งมันจะเป็นช่องให้ใส่เหรียญ (เขาเรียกตะกร้า) มันจะนับเหรียญแล้วถึงจะเปิดไม้กั้นให้ผ่าน ตั้งแต่เข้าเขตเวลล์เราพยายามจะถ่ายรูปป้ายริมถนนมาฝาก แต่มันถ่ายไม่สะดวก ออกมาก็อ่านไม่ชัดเลยอดไป เพราะที่เวลล์นี่เขามีภาษา Welsh -เววช ..สะกดได้ตรงไหมไม่รู้เพราะไม่รู้จะเขียนเป็นภาษาไทยว่าไง ภาษานี้มีภาษาเฉพาะที่หน้าตาไม่เหมือนภาษาอังกฤษเอาซะเลย เรียกว่าไม่สามารถเดากันได้เลยล่ะ เช่น Swansea ในภาษาอังกฤษ เขาก็เขียนเป็นภาษา Welsh ว่า Abertawe ซึ่งเทรฟก็บอกว่าความหมายของสองคำนี้ก็แปลกันคนละเรื่องเลย..อืม..นะ


เอาเป็นว่าว่ากันเรื่องภาษาแค่นี้ก่อนดีกว่า คุยกันเรื่องช็อปปิ้งดีกว่า เราโดนหย่อนไว้ตรงใกล้ๆ ทาวน์เซ็นเตอร์ (บ้านเราก็ประมาณในตัวเมือง) เราเดินหาทางไปร้านค้าเอาเอง วันนี้แดดสว่างสดใส สีทองอร่ามสวยเชียว แต่ขอโทษ พอก้าวเท้าออกจากรถเท่านั้น ข้าพเจ้ามีอาการสั่นเป็นเจ้าเข้าเลยทีเดียว นี่ขนาดไม่ชะล่าใจใส่เสื้อแจ็คเก็ตตัวหนามาด้วยแล้ว เดินไปสั่นไปชนิดไม่อยากเหยียบเข้าไปในส่วนร่มเลย อยากเดินกลางแดดตลอดเวลา เสียดายมันทำไม่ได้ เพราะต้องเดินผ่านทางเดินระหว่างอาการ ..ก็อดดดด มันเย็นได้ใจ...เริ่มเข้าไปในตัวทาวน์ได้เท่านั้นแหละ เราแล่นเข้าไปในตัวห้างอย่างด่วนที่สุด เพราะมันอุ่นกว่า เดินให้ร่างกายปรับตัวนิดนึง ก่อนที่จะเริ่มเดินย้อนออกมาหาซื้อของต่อไป


เราเดินดูสำรวจราคาแล้วก็ตกใจอย่างที่เทรฟเคยพูดไว้ว่าราคาเสื้อผ้าที่ดั๊มลงแข่งกันอย่างถล่มทลาย จากเดิมที่แค่ตัวละห้าปอนด์เราก็ตาโตแล้ว นี่หลายอย่างถูกกว่าห้าปอนด์อีก เสื้อทำงานเทรฟก็หาซื้อได้ในราคาตัวละร้อยห้าสิบบาท (มิน่าพ่อคุณถึงไม่ยอมขนมาจากเมืองไทย) แต่อย่างว่าอ่ะนะ ราคาลดคุณภาพก็ถดถอยไปตามราคา แต่เศรษฐกิจแบบนี้ ตัวเลือกที่ประหยัดเงินในกระเป๋าย่อมน่าสนกว่า ซื้อของกินของใช้ที่นี่ต้องหูตากว้างไกล รู้จักเปรียบเทียบราคา เพราะของอย่างเดียวกัน (บางครั้งยี่ห้อเดียวกัน) หากถูกวางขายต่างที่ราคาก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด


เราเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับหนาวนี้เพิ่มเติม เพราะไม่อยากแข็งตาย เพราะนี่ขนาดยังไม่คริสตมาสอากาศก็ลดต่ำขนาดนี้ เข้าช่วงปลายธันวาถึงต้นมกราคงได้นอนหงิกอยู่กะบ้าน ..คิดแล้วก็..หนาว..


เราเดินดูของซักพักเทรฟก็ตามมาสมทบเพราะเสร็จธุระเร็วกว่าที่คิด เราบอกเทรฟให้เทรฟซื้อเสื้อสเวตเตอร์ (Sweater) ตัวใหม่ เพราะที่ใส่อยู่มันย้วยหมดแล้ว เทรฟตกลง เพราะร้านที่เราเดินอยู่ขึ้นชื่อว่าถูกมากๆ (ตั้งแต่ยังไม่ลดราคา ..เราได้ของมาห้าชิ้นในราคายี่สิบปอนด์..ประมาณพันกว่าบาท มีเสื้อสี่ตัวกับลองจอนห์หนึ่งคู่ ถูกใช้ได้) เสร็จจากเสื้อผ้า เราก็ไปซื้อกับข้าวกัน เทรฟว่าตลาดสดของที่นี่มีปลาสดๆ ราคาไม่แพง (มาก)ขาย วันนี้อาจได้ปลาไปทำกับข้าวซักชิ้น เทรฟชี้ให้ดูนู่นดูนี่ กุ้งตัวใหญ่ๆ ที่นี่ราคากิโลละยี่สิบกว่าปอนด์( พันกว่าบาท) ในขณะที่ไซซ์เดียวกันนี้ที่บ้านเรา (เมืองชล)ราคาเต็มที่ไม่เกินสามร้อยบาท ...เพราะฉะนั้นคุณขา กินกันเข้าไปเพราะคุณอยู่ในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ประเทศหนึ่งของโลกแล้ว..เห็นแล้ว เราไม่นึกเสียใจเลยที่เราบ้ากินกุ้งตั้งแต่ตอนก่อนมา เรียกว่ากินชนิดที่ว่าคนทั้งเอียนไม่มีใครแตะ แต่ดิฉันก็ยังคงกินอยู่ เพราะประสบการณ์มันสอนมา อิอิ


ในที่สุดเทรฟก็ตัดสินใจซื้อปลาสเก็ต (Skate) หน้าตาเหมือนปลากระเบนขนาดเล็กนั่นเอง เขาลอกหนังไว้เสร็จแล้ว หั่นเป็นชิ้นๆ ขาย เราซื้อมาขนาดแบ่งกันกินสองคนได้ราคาสี่ปอนด์กว่า (สองร้อยกว่าบาท) จากราคากิโลกรับละหลายสิบปอนด์ (เท่าไหร่ไม่รู้จำไม่ได้) เทรฟมีแอบเสียดาย (เงิน) แต่ก็ไม่ได้กินมานานหลายปีแล้ว (เพราะมันแพง) ก็เลยตัดสินใจซื้อมา เราไม่เคยกินอยู่แล้ว อีกทั้งรสชาติปลากะเบนบ้านเราเป็นไงก็จำไม่ได้แล้ว จำได้เลาๆว่าเหมือนเขาเอามาย่างให้แห้งๆ แล้วฉีกกินกับน้ำจิ้มหรือไงเนี่ย


ออกจากตลาดมาด้วยของเต็มไม้เต็มมือทั้งเสื้อผ้า ปลาและผลไม้ มองนาฬิกาแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน เพราะไม่งั้นจะเจอช่วงเลิกงาน รถจะยิ่งติด ถึงบ้านช้าเดี๋ยวจะพาลหิวกันจนเป็นลม


ฉะนั้นก็เช่นกัน โม้มานานแล้วได้เวลาไปทำตัวให้เป็นประโยชน์แล้ว วันนี้หมดเรื่องเล่าแล้ว ไปก่อนล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 23, 2009 11:11 pm

บ่ายสองโมง อาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2009


นั่งสลึมสลืออยู่หน้าคอมฯ ออกไปวิ่งมาแล้วก็มานั่งหมดแรงอยู่บ้าน..อืม..


เช้านี้ตื่นมาทำตัวคึกคักเป็นพิเศษ กุลีกุจอชวนเทรฟออกไปวิ่ง (จริงๆ เทรฟเป็นคนชวนตั้งแต่เมื่อคืน) เรารีบเปลี่ยนชุดแล้วออกจากบ้านกันตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง กะว่ากลับถึงบ้านไม่เกินสิบเอ็ดโมงจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น เพราะเทรฟต้องทำงานหน้าคอมฯ 2-3 ชั่วโมง


วันนี้บรรยากาศการวิ่งเปลี่ยนไปจากคราวที่แล้ว เพราะคราวที่แล้วมันเปียกๆ แฉะๆ โคลนๆ เต็มไปหมด วิ่งไปก็กลัวลื่นล้ม แต่หนนี้อากาศหนาวเหน็บประมาณสององศา มองไปทางไหนเนินหญ้าและต้นไม้รอบตัวปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งขาวๆ โพลนไปหมด ก็กลายเป็นว่าไม่ต้องกังวลว่าจะเปื้อนโคลน เพราะทั้งโคลนและน้ำแฉะได้กลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว เปลี่ยนมาระวังลื่นล้มบนพื้นน้ำแข็งลื่นๆ แทน วิ่งไปตรงไหนที่เป็นยอดหญ้าก็จะกรอบแกรบๆ แบบหญ้า(แตก)หัก หนุกดีๆ


เราวิ่งๆ เดินๆ (หนักไปทางเดินอ่ะนะ) อ้อ ลืมบอก อีกอย่างที่ต่างออกไปสำหรับวันนี้ก็คือเครื่องเคราการแต่งตัว ที่ห่มคลุมมากกว่าเดิม ทั้งเราทั้งเทรฟใส่เสื้อกันคนละอย่างน้อยสองชั้น (กะใส่ชั้นที่สามก็กลัวจะเยอะไป) หนนี้เทรฟไม่ออกไปแค่เสื้อยืดตัวเดียวแล้ว อิอิ มีหมวกกับถุงมือแถมไปด้วย ส่วนเราขอแถมผ้าพันคอหน่อยเหอะนะ กลัวๆๆ กลัวหนาว เห็นเราห่มคลุมกันขนาดนี้ อย่าคิดว่าเราจะเหงื่อไหลไคลย้อยกันหลังจากวิ่ง เพราะไม่มีซักหยดให้เห็น เราเปลี่ยนเส้นทางบุกป่ากันสนุกสนาน ต้นไม้ยืนต้นทิ้งใบ (หน้าตาเหมือนต้นไม้แกล้งตาย ไร้ใบ แต่ยังมีชีวิตอยู่) เดินกันก็ระวังต้นไม้จะเกี่ยวหน้าตาไปด้วย ระวังลื่นน้ำแข็งไปด้วย ก็สนุกดี (ตอนบุกเข้าไปยังคิดว่าถ้าเป็นบ้านเราคงต้องได้มีกังวลโดนฆ่าหมกป่าแหงๆ) ขากลับเราก็ผ่านเทสโก้ตามปกติ เราแวะซื้อของกันนิดหน่อยแล้วก็เดินกลับบ้าน


ขากลับกลายเป็นว่าเราเหนื่อยกว่าที่คิด เจ็บเท้าด้วย เดินไปบ่นไป เทรฟนั่งปลอบใจเราว่า ใกล้แล้วๆ พอถึงบ้านเรารีบชิ่งไปอาบน้ำก่อนที่จะเผลองีบหลับไป เทรฟเห็นเราเพลียๆ ก็เลยอาสาจัดการเตรียมอาหารกลางวันให้ ปล่อยให้เรานั่งพัก ดื่มชาไป (น่ารักจริง..แอบรู้สึกผิด) เทรฟกุ๊กกั๊กๆในครัว แป๊บนึงก็ยกอาหารกลางวันออกมาเป็นปีกไก่ย่าง(อันนี้ซื้อแบบสำเร็จมาทางเทสโก้มาอุ่น) สลัด และขนมปังกระเทียมอบร้อนๆ ของโปรดเรา กินกันอย่างเมามัน แล้วเราก็อาสาล้างจานเอง เทรฟตั้งท่าจะรีดผ้า เราก็ไล่ไปบอกว่าเดี๋ยวเราทำเองชดเชยกับที่ไม่ได้ช่วยเตรียมอาหาร เทรฟไปทำงานที่ตั้งใจเหอะ


วันนี้เราเลยออกแนวแม่บ้านเล็กน้อย ล้างจานเสร็จก็มารีดผ้า (ซึ่งเป็นงานบ้านที่ไม่ชอบทำมากที่สุด) เสร็จแล้วก็ได้เวลาส่วนตัวเมาท์กับเพื่อนนิดหน่อย ก่อนที่จะเริ่มซ้อมพิมพ์ดีด(ภาษาอังกฤษ) กับหาหางานทางเน็ต เย็นนี้เรามีนัดไปเรียนเต้นรำกันตอนทุ่มนึง ผลเป็นไงไว้มาเล่าให้ฟังทีหลังนะ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 23, 2009 11:11 pm

สี่ทุ่มสิบห้า วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2009


มาแล้วจ้า มารายงานผลการเรียนเต้นรำวันแรก


สนุกมากๆ! It's AMAZING!


จะบอกยังไงดี ต้องบอกว่าตอนแรกเราสองคนค่อนข้างกังวล เทรฟรีบออกตัวว่าเขาเต้นรำไม่ได้เรื่องเลย เราบอกเราก็ไม่เคยเรียนมาก่อนเหมือนกัน แต่เราชอบเต้นรำ


คลาสเริ่มต้นวอร์มอัพ (warm up) คนสอนผู้ชาย (ชื่ออะไรหว่า?) ออกมานำสเต็ปชะช่ะช่า เราก็เต้นตามกันงงๆ เขาว่าไม่ต้องกังวล เต้นๆ ไปเถอะ ซักพักเราก็แยกกลุ่มเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก Absolute Beginner แปลว่า ใหม่สุดๆ ไม่มีพื้นฐานเลย ไม่เคยเรียนเลย กับอีกกลุ่มเรียนมาบ้างแล้ว กลุ่มแรกต้องเป็นเราอยู่แล้วคนสอนเป็นสาวร่างเล็ก (มากๆ ขาเรียวยาวเหมือนนกกระยางเลย ถ้าเต้นรำเยอะๆ แล้วได้ขาแบบนี้ ยอมฝึกจนตาย อิอิ) ชื่อลิซ่า กลุ่มนี้มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (แปลกมาก เพราะพึ่งมีครั้งนี้เป็นหนแรก..ลิซ่าว่า) เราเรียนสเต็บพื้นฐานนับ วัน ทู ทรี..ไฟว์ ซิกซ์ เซเว่น.. 1 2 3 ..5 6 7 .. จะเห็นว่าไม่นับสี่กับแปด ก็ฝึกๆกันไป จากเบสิคสเต็ป ถอยหลัง ไปข้างๆ เปิดข้างๆ จากนั้นก็ให้จับคู่แล้วลิซ่าจะบอกให้หมุนเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ (ถ้าฝึกแบบนี้ในเมืองไทย คงมีเขินกันมากมาย เพราะต้องจับมือจับไม้ มองหน้ากันตลอดเวลา..แหม..จับมือกันแล้วต้องเต้นให้สัมพันธ์กันมันก็ต้องมีความรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันบ้างนะ ฉะนั้นสำหรับวัฒนธรรมที่ไม่นิยมการถึงเนื้อถึงตัวก็คงต้องมีอาการตะขิดตะขวงกันบ้างล่ะ)


เราสนุกสนานกับการจับชื่อหนุ่มๆ ทั้งหลาย ตั้ง เทรฟเวอร์ (Trevor สามีดิฉันเอง อิอิ) แอนดรูว์ (Andrew) Leo (ลีโอ), เกร็ก-Greg, การ์ราด- Garrad, โบเว่น- Bowen,เดวิด- David,นีล- Neal (เอ่อ ขออภัยอาจสับสนกับเครื่องหมายเล็กน้อย แต่คิดว่าคงเข้าใจแบบว่าสับสนตอนพิมพ์) เราสนุกกับการรู้จักเพื่อนใหม่มาก (ต้องแอบระวังตัวมิให้หนุ่มๆมาแอบปิ๊ง..แหม่..ดิฉันมากะสามีนะคะคุณ..เอ่อ ที่พูดนี่ไม่ได้เกินไปนะคะ เพราะเรียนเต้นรำคุณต้องมองหน้าคู่เต้น และต้องยิ้ม และด้วยยิ้มละไมไทยแลนด์อย่างดิฉันต้องระวัง "ไม่ส่งสัญญาณที่เป็นมิตร" มากเกินไป เพราะอาจมองว่า "ให้ท่า" ได้ เฮ้อ ลำบากจริงๆ เอ่อ (อีกครั้ง) วัฒนธรรมที่นี่แค่คุณยิ้มให้ใคร หนุ่มนั้นก็คิดว่า "เราเปิดโอกาสให้" แล้วล่ะค่ะ และต้องบอกว่าไม่ได้พูดเกินไปอย่างมาก เพราะสามารถสัมผัสได้ถึงสัญญาณที่ส่งมาของชายหนุ่ม "คนหนึ่ง" ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆที่เต้นคู่ด้วยอย่างสิ้นเชิง...เครียดค่ะ ดิฉันเริ่มเครียด รีบเรียก "ดาร์ลิ่ง" ให้ดังๆ เข้าไว้ทันที)


เอาเป็นว่ากิจกรรมวันนี้กินเวลาประมาณสองชั่วโมง และเป็นเพียงกิจกรรมเดียวที่ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ดิฉันเหงื่อแตกได้ค่ะ และเป็นเหงื่อไหลไคลย้อยชนิดเป็นจริงเป็นจังนับตั้งแต่มาถึงอังกฤษ เยี่ยมจริงๆ ไม่เหนื่อยแถมได้เหงื่อย สุดยอด


ที่เราประทับใจ(ตัวเอง)อย่างยิ่งก็คือ นี่ถือเป็นชั้นเรียนเต้นรำละติน(ที่เป็นเรื่องเป็นราว)ครั้งแรก และที่สำคัญเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เราไม่คิดเลยว่าเราจะผ่านปราการด่านสำคัญนี้มาได้ เพราะเราเชื่อมาตลอดว่าการเต้นรำมันยากตั้งแต่นับจังหวะแล้ว แล้วนี่ต้องมาเจอด่านที่ต้องแปลภาษาเสียก่อน (อ่อ เขาไม่ได้พูดกันแค่หนึ่ง สอง สาม อยู่แล้วใช่ไหม เขาก็ต้องอธิบายการเคลื่อนไหว การวางมือ การทิ้งน้ำหนัก ฯลฯ) ปรากฏว่าเราทำได้ดีชนิดที่เราเองยังแปลกใจ เราไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเลย ที่เราทำผิดก็เพราะเรามั่วเอง อิอิ หนุ่มๆหลายคนทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ดีมาก ช่วยให้ควบคุมตัวเองให้คงเส้นคงวากับจังหวะได้ดีมาก เอ่อ..งานนี้ผู้ชายเขาต้องเป็นผู้นำ(ตลอด)นะคะ และจุดนี้นี่แหละที่เราถือว่าเป็นข้อดีที่เราไม่เคยคิดมาก่อน "การเต้นรำสอนผู้หญิงให้รู้จักเป็นผู้ตาม" เพราะการเปลี่ยนท่าทุกครั้งผู้หญิงจะต้องรอการส่งสัญญาณจากผู้ชายทุกครั้ง ฉะนั้นถ้าเขาเป็นผู้นำที่ดี (ที่แม่นจังหวะ) เราจะสบายมากที่เดียว ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขามั่วเราก็ตายค่ะ อิอิ


เรื่องนี้ส่งผลกับเราอย่างสิ้นเชิง เพราะเรารู้สึกถึงการเปรียบเทียบเมื่อเราเต้นคู่กับเทรฟ กับหนุ่มอื่น(ที่เต้นรำได้ดี) เทรฟค่อนข้างกังวลและคิดเยอะ (ในกรณีนี้คือนับจังหวะ) ซึ่งตรงกับนิสัยจริงและเข้าใจได้เพราะต้องนับตลอดเวลา แล้วก็เป็นการเรียนครั้งแรกด้วย ในขณะที่คนอื่นที่คุ้นเคยแล้วเขาจะนำเราได้ลื่นไหลกว่าและเราจะ "ฟัง" หรือยอมตามเขามากกว่า ซึ่งกรณีเช่นนี้มันช่วยเตือนให้เรารู้จัก "รอและเว้นจังหวะ" ให้เทรฟเขาปรับตัวและรับการนำจากเขาอย่างใจเย็น มันสอนเราว่าในชีวิตจริงเมื่อเรา "ตกลง" ให้เขานำ เราต้องยอมรับในรูปแบบและวิธีการนำของเขา จนเมื่อเขามั่นใจและรู้สึกเครียดน้อยลงแล้ว นั่นค่อยถึงเวลาของเราที่จะ "แชร์ความคิด" ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญกิจกรรมนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราได้ทำร่วมกัน เย้..นับเป็นการช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นอย่างดี ..เห็นด้วยไหมล่ะ :)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 23, 2009 11:26 pm

21 ธันวาคม 2009 หิมะตกแล้ว

เอารูปไปก่อนนะ ไว้จะมาเล่าเรื่องให้ฟังตามหลัง อ่อ..อุณหภูมิ ณ ขณะนั้นประมาณลบสององศา คืนนี้จะลดไปที่ลบห้าองศาจ้า ไปล่ะนะ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย cokemini » ศุกร์ ธ.ค. 25, 2009 7:27 pm

ติดตามอ่านอยู่นะคะ !&
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
cokemini
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 470
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 7:06 pm
ที่อยู่: บางนา-รังสิต

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ธ.ค. 25, 2009 7:39 pm

ครับผม แต่ตอนใหม่ยังไม่ได้ส่งมาเลย ^@
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 10:05 pm

สี่โมงเย็น วันสิ้นปี ที่แฟลต


ตื่นมารอบสามหลังจากสลบไปสลับกับตื่นมากินอะไร ไข้หวัดเล่นงานอีกแล้ว ทำเอาเทรฟอดไปงานปาร์ตี้วันสิ้นปีที่บ้านเพื่อนสนิทเลย อุตส่าห์ลงทุนทำชุดแฟนซีไปร่วมงานเสียดิบดี


ก็ปาร์ตี้เขากำหนดให้แต่งตัวเป็นอะไรก็ได้ที่ขึ้นต้นด้วย "บี" (B) สองคนก็ช่วยกันคิดตั้งนาน ในที่สุดก็ได้ไอเดียลงทุนไปซื้อผ้ามาตัดชุด สองคนหลังขดหลังแข็งช่วยกันเย็บทั้งวัน ..แต่ไม่บอกหรอกว่าแต่งเป็นอะไร เก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ (ใครก็ไม่รู้ อิอิ)


ก่อนวันปีใหม่ เราก็ต้องพูดถึงวันคริสตมาสกันก่อน เมื่ออาทิตย์ก่อนตั้งแต่เขียนอีเมล์คราวที่แล้วเราก็มีนัดยาวตลอด ตั้งแต่เข้าลอนดอนเมื่อวันที่ 23 ที่ผ่านมา ตั้งใจไปเจอเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ที่ชื่อโจเซฟิน เรารู้จักโจเซฟินนานแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่มา ประวัติที่เจอกันก็มหัศจรรย์พันลึก เธอเดินเข้ามาทักบนรถไฟเพราะคิดว่าเราเป็นคนฟิลิปปินส์ จากนั้นก็คุยกันมาตลอด นัดกันไปหาของอร่อยกินกันในไชน่า ทาวน์ เลยถือโอกาสนัดเอนก รุ่นน้องที่ธรรมศาสตร์มาเจอกันด้วย สองคนนี้เขารู้จักกันแล้วด้วย เลยน่าจะดี เราหนีบเทรฟไปด้วย สองคนจองตั๋วรถไฟล่วงหน้ากันเป็นอาทิตย์ ขนาดนั้นค่าตั๋วสองคนยังปาเข้าไปเกือบร้อยปอนด์ เห็นค่าตั๋วแล้วคงไม่ได้เข้าลอนดอนบ่อยๆแน่ หลังจากวางแผนเรื่องเวลาและการเดินทางเสร็จ พอถึงวันเราสองคนก็เอารถไปจอดทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ (มันคิดค่าจอดด้วย..อย่าคิดว่าฟรี..ตกเป็นเงินไทยหลายร้อยบาท)..แต่ปรากฏว่าโจเซฟินดันส่งข้อความว่ามาไม่ได้ตอนที่เรากำลังจะขึ้นรถไฟ คิดในใจโชคดีจังที่อย่างน้อยยังนัดเอนกไว้ เทรฟว่าไม่งั้นเสียเที่ยวเลย แต่เรากลับคิดว่า ไม่หรอก ดีซะอีกได้เที่ยวกับเทรฟสองคนสบายไปเลย


ไปถึงลอนดอน โดยเฉพาะไชน่าทาวน์ เราก็ต้องซื้อเครื่องปรุงอาหารไทยซะหน่อย แต่ซื้อเยอะไม่ได้ขี้เกียจแบก ต้องเดินเที่ยวเล่นกันอีกนาน และมื้อพิเศษวันนั้นก็ต้องเป็นติ่มซำอย่างแน่นอน เพราะหากินยากมาก สองคนกินกันหมดไปหลายพันบาท (ไม่ต้องตกใจ..มันแพงมาก เข่งละประมาณร้อยห้าสิบบาทขึ้นไป ฉะนั้นอยู่เมืองไทยกรุณากินให้เอียน) กินกันจนอืดก็แยกกันตรงนั้นล่ะ เรากับเทรฟหาโปรแกรมไปเที่ยวต่อ ทีแรกเทรฟชวนไปนั่งลอนดอนอาย (ชิงช้าสวรรค์ยักษ) แต่แม่เจ้าเจอราคาค่าตั๋วเข้าไปถอยแทบไม่ทัน คนละสิบเจ็ดปอนด์ (เกือบพันบาท) กับการขึ้นไปอยู่บนนั้น20 นาทีเนี่ยนะ ฝันไปเหอะ แถมมีตั๋วด่วนพิเศษแบบไม่ต้องรอคิวราคา ?27..แพงกว่าเดิมตั้งสิบปอนด์ ว่าแล้วเรากะเทรฟก็ขอเดินเล่นชมวิวข้างล่างดีกว่า


บ่ายนั้นสองคนเลยเดิน เดิน เดิน และเดิน อากาศในลอนดอนวันนั้นไม่น่าเกินห้าองศา แถมมีฝนโปรยปรายมาทั้งวัน ทั้งหนาวและแฉะได้ใจ เรามีโปรแกรมว่าจะไปพิพิธภัณฑ์สองสามที่ แล้วจะเดินดูงานฟันแฟร์ (Fun Fair) ที่ไฮด์ปาร์ก (Hype Park..สะกดถูกไหมเนี่ย) ดูไฟตามถนน แล้วก็หาอาหารอิตาเลี่ยนกินมื้อเย็นแล้วกลับบ้าน


ผลก็คือเราก็เลยเดินกันเยอะมาก ประกอบกับฝนตกตลอด ขากางเกงเปียกจนหนาวได้ใจ แต่ก็ยังสู้เดินต่อไป (เพราะยังกลับบ้านไม่ได้ ตั๋วจองไว้แบบกำหนดเวลา ขึ้นก่อนเวลาต้องซื้อตั๋วใหม่) ผลก็คือพิพิธภัณฑ์ก็โอเค เราไป Tate Modern เป็นความตั้งใจเดิมนานมาแล้ว ในที่สุดก็ได้ไปซะที แต่มัน..ติ๊ส ติส ..ต้องตีความเยอะมาก เยอะเกินไป ดูกันไปสองคนแล้วปวดหัว เลยออกดีกว่า


ต้องบอกว่าพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนอย่างเดียวมีเป็นหลายร้อยแห่ง บางแห่งดูวันเดียวไม่หมด ใครสนใจเรื่องอะไรควรวางแผนมาดีๆ ไอ้ครั้นจะคิดว่าวิ่งรอกสามสี่ที่หรือมากกว่า ไม่แนะนำและคิดว่าไม่น่าทำได้ เพราะร่างกายคนเราจะรับข้อมูลไม่ได้มากขนาดนั้น อีกอย่างต้องวางแผนเรื่องการเดินทางด้วย เราลองมาแล้วคิดว่าจะไหว ปรากฏว่าไอ้ที่สนใจจริงๆก็ได้อย่างมากนานสุดแค่สองชั่วโมง และเราไม่ได้รู้สึกคนเดียว เพื่อนที่ไปด้วยกันก็รู้สึก และก็มีหลายแห่งที่เราอาจไม่อยากเข้าไปดูเพราะไม่สนใจ พิพิธภัณฑ์ที่นี่แบ่งแยกซอยย่อยเยอะแยะ เช่น เรื่องรถไฟ เครื่องจักร ประวัตินู่นนี่นั่น บ้านคนสำคัญคนนั้นคนนี้ ฯลฯ


หมดจากพิพิธภัณฑ์เราก็เดินดูไฟตามถนน ซึ่งย่านสำคัญก็ต้องเป็นย่านช็อปปิ้งอย่างอ๊อกฟอร์ดสตรีท (Oxford Street) ให้จินตนาการหน้าตาเหมือนถนนหน้าสยาม แต่ยาวไปจรดบางนา ย่านช็อปปิ้งที่นี่รวมร้านชื่อดังทุกร้านเท่าที่จะนึกออกไว้ให้ช็อปตามอัธยาศัยและกำลังซื้อ ช่วงคริสตมาสอย่างนี้ sale กระจาย ซื้อกันไม่หวาดไม่ไหว คนแน่นเหมือนแจกฟรี เวลานั้นสี่โมงเย็นแล้ว (แต่ฟ้ามืดเหมือนสี่ทุ่มเมืองไทย) คนยังแน่นไปทั่วทั้งถนนทั้งในร้านและข้างทาง เราเห็นแล้วเอียน ไม่อยากเบียดคน แน่นอนช็อปปิ้งไม่ใช่เป้าหมายของวันนี้ (แค่คิดว่าต้องเข้าแย่งๆ หยิบของ ต่อคิวลอง และจ่ายตังค์ก็สยองแล้ว) แถมขากางเกงเปียกๆ ไม่อยากใส่ๆ ถอดๆ ให้รำคาญใจอีกต่างหาก เป้าหมายของเราสองคนที่นี่คือมาดูเขาแต่งหน้าต่างร้าน หลายร้านมีแต่ป้ายลดราคา เราต้องมองหาห้างใหญ่ ในที่สุดก็เจอห้างนึงจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่งได้สวยมากๆ เสียดายถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้ เพราะฝนตกคนก็แน่น ถ่ายมาก็มองไม่ค่อยเห็น เพราะกล้องเราไม่ใช่คุณภาพดีขนาดนั้น แค่ดูหน้าต่างคนยังล้นเหมือนมีการแสดง นักท่องเที่ยวผลัดกันถ่ายรูปเต็มไปหมด เราเมียงๆมองๆ แล้วก็เดินผ่านไป ไม่หวายยย..ยืนนานก็เกะกะคนที่เขาเดินผ่านไปมาแถวนั้นด้วย


หมดจากอ็อกฟอร์ดสตรีทก็ไปดูสวนสนุก (ชั่วคราว)ที่เขาจัดออกร้านเฉพาะช่วงคริสต์มาสนี้ เราอยากเห็น "งานวัด" ของที่นี่ก็เท่านั้นเอง หน้าตาก็คล้ายกัน เพียงแต่เป็นระเบียบและสะอาดกว่า อ้อ ที่สำคัญแพงกว่า อิอิ (ทุกอย่างแพงกว่าเสมอ) เขาก็มีม้าหมุน บ้านผีสิง อะไรต่ออะไรเงี้ยแหละ แต่ร้านเขาจะทำอย่างดี มีร้านขายเครื่องดื่ม (หนักไปทางเบียร์กะช็อกโกแลตร้อน..อันแรกให้ผู้ใหญ่ อันหลังให้เด็ก) ราคาไม่ต้องพูดถึง แก้วเล็กก็ร้อยกว่าบาทแล้ว แล้วก็มีร้านขายของกินสลับ มีที่ให้กดเงินด้วย และที่สำคัญห้องน้ำ ต้องบอกอย่างนึงว่า เรื่องห้องน้ำเป็นเรื่องนึงที่เขาทำได้ดีกว่าบ้านเรามากๆ อาจเป็นเพราะเขาเป็นระบบห้องน้ำแห้ง หมายถึงไม่มีสายชำระ และพื้นไม่มีเปียก (ยกเว้นเดินแฉะๆ มาจากพื้นข้างนอก) ทุกห้องมีกระดาษไว้บริการไม่อั้น กระดาษชำระให้ทิ้งลงโถ (ระบบเขาทำไว้อย่างนั้น ให้กระดาษชำระย่อยสลายง่ายในน้ำ) ไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ชนิดที่แค่ต่อคิวก็จะเป็นลมตาย เข้าห้องน้ำข้างทางที่นี่ไม่ต้องสวดภาวนาเหมือนเมืองไทย แต่ต้องจ่ายแพงกว่าเท่านั้นเอง (หลายสิบบาท) เดินดูสวนสนุกแล้วก็จ่ายไม่ลงอีกเช่นเคย แต่ละอย่างค่าตั๋วร้อยกว่าบาท และก็ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นขนาดนั้น ประกอบกับเราไม่ได้ตั้งใจมาเล่น ตั้งใจมาดูเสียมากกว่า เครื่องเล่นก็มีไว้ให้เด็กๆเสียมากกว่าด้วย (ช่วงนี้ต้องเก็บตังค์ซื้อบ้านอีกต่างหาก) เราเดินดูกันทั่วแล้วก็ชวนกันกลับ เราเริ่มเหนื่อยและเมื่อยแล้วด้วยอีกต่างหาก


เรานั่งรถไฟใต้ดินกลับไปที่สถานีรถไฟแพดดิงตั้น (Paddington Station) เพื่อนั่งรถไฟกลับบ้าน เรากับเทรฟตกลงหาอาหารอิตาเลี่ยนดีๆ กินก่อนกลับบ้าน (เพราะแถวบ้านไม่มี..เศร้าจัง) โชคดีเจอร้านอาหารใกล้ๆแถวนั้นพอดี เลยกินกันซะพุงกาง คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่เรากินพิซซ่าคนเดียวหมดถาด (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10" !!! ...จ๊ากกก) กินเสร็จเล่นเอาจุก เดินทรมานกลับไปที่สถานีซะงั้น แล้วเราก็นั่งรถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับบริสตอล..เป็นอันว่าหมดไปอีกหนึ่งวัน


และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ ณ วันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา เรื่องราวของคริสตมาสยังไม่จบ เพราะวันรุ่งขึ้นเรากับเทรฟเดินทางไปร่วมงานคริสตมาสที่บ้านพ่อเทรฟ ไว้เรื่องเป็นไง เก็บไว้เล่าฉบับหน้าแล้วกันนะ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 10:06 pm

สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะทุกคน สามทุ่มกว่า ที่แฟลต


วันนี้วันขึ้นปีใหม่ (กับชีวิตใหม่ :) เช้านี้อาการดีขึ้นเยอะ หลังจากอัดยากะนอนเยอะมากๆๆๆ เพราะต้องการให้มันหายเร็วที่สุด ต้องทั้งขอบคุณและสงสารสามี เพราะเมื่อวานเราอาการเหมือนไข้ขึ้น หนาวตลอดเวลา ออกแนวหงุดหงิดไปหมด (ตามประสาคนป่วย) เธอดูแลดิฉันอย่างดี ทำกับข้าวให้กิน ยกมาให้กินถึงตัก จะเอาอะไรก็หาให้ ชนิดไม่ต้องขยับตัวจากโซฟา (ขอแค่อยู่นิ่งๆ ทำตัวอุ่นๆ ก็พอแล้วจ๊ะ ที่รัก..เทรฟว่างั้น) พอกินเสร็จก็เก็บโต๊ะ เก็บครัว ล้างจานคนเดียว โถ..น่าสงสารจัง (ปกติใครทำ อีกคนจะล้างอ่ะ) เราได้แต่นั่งมอง ไม่อยากขยับตัวเพราะมันหนาว เราทั้งพันทั้งห่มไปทั้งตัว ขนาดนอนมาทั้งวันก็ยังทั้งง่วงทั้งเพลีย อยากเข้านอนจะตาย แต่ก็สงสารเทรฟ อยากออกไปเคานท์ดาวน์ใจจะขาด แต่ต้องมาติดแหงกอยู่บ้านกะดิฉัน เฮ้อ.. เราก็เลยแก้ตัวด้วยการอยู่นั่งนับถอยหลังกะเขาหน้าทีวีแทน


เช้านี้อาการดีขึ้นเป็นปลิดทิ้ง เราทำตัวกระฉับกระเฉงชดเชยเมื่อวาน ลุกขึ้นมาถามเทรฟเสียงใสว่า วันนี้เราจะไปไหนกัน เพราะเทรฟว่าเราควรออกไปนอกบ้านเสียบ้าง อุดอู้มาอยู่หลายวัน เทรฟตัดสินใจไป Weston-Super-Mare เวสตัล ซุปเปอร์ แมร์ เป็นชื่อเมืองริมทะเลใกล้บ้าน เทรฟว่าน่าจะเป็นเมืองชายทะเลที่ใกล้บริสตอลที่สุดแล้ว เทรฟยังไม่เคยไปเหมือนกัน เทรฟว่าออกไปเดินเล่นริมทะเลกันดีกว่า ฮ่ะฮ่า ฟังแล้วดูโรแมนติกใช่ไหมคะ..แต่..โปรดติดตาม


เราไปถึงเวสตัลซุปเปอร์แมร์ภายในเวลาไม่นาน เพราะใกล้มากๆ เหมือนขับรถจากเมืองชลไปพัทยาเลย (อาจใกล้กว่านั้นนิดหน่อย..วัดโดยความรู้สึก) เราได้ช่วยขับไปครึ่งทางด้วย อิอิ (ตื่นเต้นจัง) อากาศวันนี้ฟ้าแจ้งด้วยแสงแดดสาดส่อง เหมาะแก่การอยู่นอกบ้านเสียจริงๆ เราอ้อนสามีว่า..กลางวันนี้กินข้าวนอกบ้านนะที่รัก (ไม่แพคแซนวิชไปกินแล้ว) เทรฟมองหน้าแล้วยอมแพ้ พยักหน้าอย่างจนใจ เพราะเราอยากให้มันเหมือนไปเดทมากกว่าแค่ออกไปนอกบ้าน อิอิ (เราก็รู้ว่ากินนอกบ้านมันแพงแสนแพงและไม่อร่อย แต่อ่ะนะ..) อย่างที่บอกฟ้าสว่าง ทางโล่ง แต่ขอบอกว่าหนาววววว มากๆๆๆๆๆ


เราไปถึงริมหาด ผู้คนเริ่มหลั่งไหล ใครๆ ก็คิดเหมือนกันว่า แหม..อากาศอย่างนี้น่าออกมาเดินรับ(อากาศ)ปีใหม่ ทุกคนนุ่ง ห่ม พันตัวอย่างแน่นหนา ทั้งโค้ท แจ๊คเก็ต ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ อากาศไม่น่าจะเกินหนึ่งองศา โชคดีที่ไม่มีลม เราถ่ายรูปมาฝากด้วย เพียงแต่มันต้องใช้เวลาในการโหลดและปรับขนาด (วุ่นวายใช่ที่) ก็เลยขอยกยอดไว้ก่อน ไว้อ้อนสามีให้ช่วยทำให้ได้เมื่อไหร่จะส่งให้ยลกัน (ตอนนี้กำลังนั่งสบายดูหนัง ไม่อยากกวน ฮี่)


งั้นบรรยายให้ฟังไปก่อนแล้วกัน ทะเลเช้านี้ท่าทางจะเป็นช่วงน้ำลง เพราะพื้นทราย (ที่หน้าตาเหมือนพื้นโคลนเนื้อแน่นมากกว่า) กว้างขนาดเตะบอลได้เลย ผู้คนและน้องหมาพากันลงไปวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เราหาที่จอดรถแล้วก็เดินๆๆๆ ไม่ได้มาทำอะไร มาเดินอย่างเดียว ตอนแรกแอบคิดว่า แหม่..เลือกทำเลต้องเดินย้อนแสง แสงเข้าตามองอะไรไม่ค่อยเห็นเลยแฮะ ลองหันหลังกลับ โอ้ว..มายก็อด..ข้าเจ้าขอเดินย้อนแสงต่อไปแล้วกัน มันหนาวววว ได้ใจ (แค่หันหลังให้ตะวันเนี่ยนะ) จมูกเย็นจนชา ไม่ต้องคิดถึงส่วนอื่นของร่างกายเพราะมันปกคลุมด้วยเครื่องนุ่งห่มหมด ฉะนั้นคิดดูแล้วกันว่า ทุกครั้งที่ต้องถ่ายรูปด้วยมือถือเครื่องบางๆ ซึ่งมันต้องถอดถุงมือออก มันจะต้องอาศัยความเสียสละขนาดไหน (ฮึ่ม ไม่รักกันจริง ไม่ถ่ายมาให้ดูนะเนี่ย) แต่อย่างว่าแหละ กรุณาอย่าคาดหวังมากเพราะมันไม่มีทางสวยเท่าทะเลบ้านเราอย่างแน่นอน สีหม่นๆ เหมือนทะเลโคลนมอมๆ บ้านเรือนเรียงรายริมข้างทาง ต่างกันก็แต่บ้านเขามีระเบียบกว่า (เยอะ) เท่านั้นเอง เราเดินกันจนหิว หาอะไรกินกันแล้วก็เดินต่อนิดหน่อย ..ไฮไลท์อยู่ตรงนี้..เราชวนกันกินไอติม! ไอติมโคนหน้าตาเหมือนแท่งละเจ็ดบาท หรือสิบบาทของแม็คโดนัลด์หรือเคเอฟซีนั่นแหละ แต่ที่นี่โคนละปอนด์ (ห้าสิบห้าบาท..ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่จำได้) ฮ่าฮ่า แพงดีไหมล่ะ ..ต้องบอกว่านี่ถูกกว่าเมืองอื่นแล้วนะเนี่ย เราสองคนละเลียดไอติมท่ามกลางความหนาว (สะใจดีแท้) ปกติมันต้องขายดีมากๆ ช่วงหน้าร้อน


จากนั้นเราก็กลับบ้าน นี่คือเรื่องราวของวันปีใหม่ แต่เราจำได้ว่าเรายังติดค้างเรื่องราวของคริสตมาสอยู่ งั้นมาว่ากันต่อเลยดีกว่า


24 ธันวาคม เรากับเทรฟขับรถไปบ้านพ่อเทรฟ เราสภาพไม่ค่อยดีเพราะอาเจียนตั้งแต่เมื่อคืนก่อน (สงสัยกินเยอะไป) เช้ามาท้องไส้ยังปั่นป่วน อาเจียนไม่หยุด ไปถึงบ้านตอนบ่ายๆ มานูล่าใจดีหาซุปอุ่นๆ ให้กิน เรากินซุปแล้วก็นั่งพิงเทรฟหลับไป (ไม่กล้านอน กลัวอาเจียนอีก) วันรุ่งขึ้นเป็นวันคริสตมาส พี่สาวเทรฟ-แอน และครอบครัวจะมาจากลอนดอนมากินมื้อกลางวันด้วยกัน เราแอบตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะคริสตมาสแรกของเราที่เป็นบรรยากาศครอบครัว (ของเราเอง)จริงๆ ก่อนนอนมานูล่ากำชับหนักหนาว่า กรุณาอย่าลงมา(กินอาหารเช้า)ก่อนแปดโมง เรียกว่าไม่ต้องรีบตื่น เพราะเธอต้องจัดการเตรียมมื้อใหญ่ของวัน ถ้าเราลงมาเร็ว เขาต้องห่วงหน้าพะวงหลังเพื่อดูแลเราสองคน..เอ่อ ไม่ว่าอย่างไร เราก็อยู่ในฐานะแขก เขาเป็นเจ้าบ้าน ต้องเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง หมายถึงตั้งโต๊ะ ยกของมาให้กิน เราไม่ควรเข้าไปวุ่นวายในครัวหาอะไรกินเอง..ดูไม่มีมารยาทอย่างมาก (ยกเว้นเขาอนุญาต) เราสองคนเลยลงมาซะเกือบสิบโมง (ทำเอาเขาต้องกินข้าวเช้าสายไปด้วย อิอิ) หลังจากมื้อเช้าแล้ว ยังไม่มีอะไรจนกระทั่งเกือบบ่ายโมง เพราะมื้อเที่ยงจะเริ่มตอนบ่ายสอง เราเข้าไปช่วยมานูล่านิดหน่อย ตามที่ตกลงกันไว้เมื่อคืน พอใกล้เวลาเราตื่นเต้นมาก เพราะวันนี้จะได้เจอคนอื่นในครอบครัวเทรฟ -แอน (Ann) พี่สาว แอนดรู (Andrew) พี่เขย และหลานๆ (Portia พอเทียร์ลูกสาวคนที่สอง, Jacob-เจคอบ ลูกชายคนที่สาม และ Laura-ลอร่าลูกสาวคนเล็ก) ส่วน Luke ลูค ลูกชายคนโตตอนนี้ไปเรียนต่อ (เข้าใจว่าปริญญาเอก) อยู่ที่แคนาดา อ้อ มีน้องหมาโคล่าอีกหนึ่งตัว


บ้านแอนมาถึงตรงเวลามาก ตามธรรมเนียมมาถึงก็กอดทักทาย และแนะนำตัวกันซะหน่อย จากนั้นคอร์สแรกของมานูล่าก็ยกมาเสิร์ฟ นั่นคือของกินเล่นและเครื่องดื่มที่ซีริลทำเองกับมือ ซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้านานแล้ว (สีส้มเหมือนพันช์ รสชาติซ่าๆ มีรสเหล้าเล็กน้อย เราไม่รู้เขาเรียกอะไร) จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแกะของขวัญ ซึ่งตรงนี้แหละที่เราไม่รู้ว่าเขาทำยังไง ..แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า เขาจะกองๆ ของขวัญรวมๆ กันไว้ใต้ต้นคริสตมาสแล้วใครก็ได้หยิบขึ้นมาแล้ว อ่านชื่อที่แปะไว้ที่ห่อ แล้วก็ส่งต่อให้เจ้าตัว ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าของจะหมดกอง ใครจะให้อะไรใครกี่ชิ้นก็ได้ตามความพอใจ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะเตรียมของขวัญให้กับทุกคนที่มางาน ฉะนั้น กิจกรรมซื้อของขวัญมันถึงเป็นงานช้างใช้ได้เลยทีเดียว พูดง่ายๆ ก็คือซื้อให้ญาติทุกคนนั่นแหละ เพราะจริงๆ ใครไม่มาก็ใช้วิธีส่งไปรษณีย์ให้อยู่ดี เราได้ของขวัญมาสามสี่ชิ้น หลักๆ ก็ได้มาจากของที่รักนี่แหละ เรารู้สึกอายนิดหน่อยเพราะซื้อให้เทรฟอย่างเดียวเอง (แล้วก็ดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เป็นตำราเครื่องปรุงพวกเครื่องเทศ ซึ่งจริงๆ เราต่างหากที่ตื่นเต้น อิอิ) เทรฟซื้อของให้เราสามสี่อย่าง และสองอย่างในนั้นเราก็ขอให้เทรฟเอาไปคืนร้าน อิอิ ตรงนี้แหละที่เราว่าเจ๋งดี คือของขวัญที่เราซื้อให้ใคร ถ้าเขาไม่ชอบหรือถ้าเป็นเสื้อผ้าที่เขาใส่ไม่ได้ เราก็เอาใบเสร็จให้เขาไป เขาจะสามารถเอาของนั้นไปคืน ไปเปลี่ยนที่ร้านได้ ถ้าเอาไปคืนก็ได้เงินคืนมาตามราคาเต็ม หรือจะเปลี่ยนไซส์ เปลี่ยนสี อะไรก็ตามใจ ซึ่งส่วนใหญ่ร้านค้าเขาจะให้เวลาเปลี่ยน/คืนของได้หนึ่งเดือนหลังวันคริสตมาสหรือเงื่อนไขอย่างอื่นตามระบุหลังใบเสร็จ ซึ่งของที่เราให้เทรฟเอาไปคืนไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เราคงไม่ได้ใช้จริงๆ เก็บไว้ก็เสียของ สู้เอาตังค์คืนมาไม่ได้ (โชคดีเทรฟเก็บใบเสร็จไว้..ปกติทิ้งไปนานแล้ว)


หมดจากแกะของขวัญก็ถึงเวลากินกลางวัน กิจกรรมการกินก็ไม่ต่างจากที่เห็นในหนัง ในทีวีเท่าไหร่ แต่ที่เราอยากเล่ากลับเป็นบรรยากาศการเจอ "ญาติกลุ่มใหม่" นี้มากกว่า
ต้องบอกว่าลูกๆของแอนน่ารัก และเรียนโ-ค-ร-ต เก่ง คนโตเราไม่รู้เพราะไม่เจอ แต่พอเทียร์กำลังเรียนอ็อกฟอร์ด(Oxford University) ปีสี่ ส่วนเจ้าเจคอบพึ่งเข้าคณะแพทย์ที่เคมบริดจ์ (Cambridge University) ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าสองมหาวิทยาลัยนี้คือสองมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในอังกฤษ ที่น่าสงสารก็คงเป็นเจ้าคนเล็ก-ลอร่าเนี่ยแหละ คงกดดันทีเดียวเพราะพี่สองคนทำสถิติไว้เสียดี


มันควรจะปลื้มใช่ไหมที่มีญาติเก่งซะขนาดนี้..แต่ขอบอกว่า..ไอ้เด็กสองคนนี้ทำตัวได้น่าตบกะโหลกอย่างมาก..เอ่อ ..รู้นะคะว่าเก่ง..แต่การบอกให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเก่งแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาเนี่ย เขาเรียกไม่มีมารยาทนะคะ บรรยากาศนี้ดิฉันสัมผัสได้ไม่ยาก ตั้งแต่คนพ่อ-แอนดรู ที่ดูจะบ้ายี่ห้อและวัตถุนิยมเหลือหลาย แต่น่าแปลกใจอย่างมากที่เราสามารถสร้างความประทับใจให้เขาได้ด้วยข้อมูลที่ว่า เราเคยทำงานเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ (Supervisor) ที่สตาร์บัคส์ (คือสำหรับพาร์ทไทมต่างชาติ นี่คือตำแหน่งสูงสุดที่ไปได้) เพราะพ่อคุณบ้าสตาร์บัคส์อย่างชนิดที่ว่า..ลูกรำคาญ ขอร้องให้หยุดพูดถึง (ตอนแรกเรายังคิดว่าเขาพูดประชดเราเสียอีก)


ต่อมาเราซื้อใจพอเทียร์ด้วยข้อมูลว่าเราเคยทำงานที่รัฐสภาไทย ให้กับวุฒิสมาชิกมาห้าปี (เอ่อ..เธอเรียนสาขาการเมือง เศรษฐศาสตร์และปรัชญาน่ะค่ะ) หล่อนเลยหูตาโต คุยกะเราไม่หยุด


ส่วนเจค็อบกับแอนก็คงด้วยข้อมูลว่าเราเรียนจบโทจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย (เหมือนกัน)..เฮ้อ..เหนื่อยจริงๆ กว่าจะซื้อใจคนพวกนี้ได้..คือว่า..ดิฉันเป็นต่างชาติหัวดำ สาวไทย ชาติที่มีชื่อเสียงในประเทศนี้ (เสียเหลือเกินว่า) เจ้าสาวจากประเทศนี้พร้อมจะพลีชีวิตเพื่อดูแลสามี และสามารถ ("หาซื้อ"..ไม่อยากใช้คำนี้ แต่ต้องยอมรับว่ามันมีภาพพจน์แบบนี้ด้วย...)ได้ตามเว็บไซต์ หรือไม่งั้นก็ตามผับทั่วไป..โอ้ว ก็อด! เราไม่ต้องการให้ใครมองว่าเราเป็นผู้หญิงที่มาจากผับ ไม่มีสมอง และมาประเทศนี้เพียงเพราะอยากได้สามีฝรั่งรวยๆ และนี่ก็คือเหตุผลที่เราตัดผมสั้นทันทีหลังเสร็จงานแต่งงาน ..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า..ขนาดสายตาของเจ้าหน้าที่สถานทูตยังมองเราไม่เหมือนเดิมระหว่างตอนผมยาวกับตอนที่เราตัดผมสั้น ..เฮ้อ (อีกรอบ)


หลังจากจบกระบวนการ "เจรจาการทูต" กันแล้ว เราก็นั่งฟังพวกเขาคุยกันได้อย่างสบายใจ เพราะ...ไม่ต้องรู้สึกว่า "กำลังสัมผัสบรรยากาศแห่งการดูแคลน" ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ


หลังจากพวกเขากลับไปแล้ว เราเข้าใจเลยว่าทำไมเทรฟไม่ค่อยอยากเจอครอบครัวนี้บ่อยๆ เทรฟว่าเด็กพวกนี้อวดรู้(จนเกินงาม) ประมาณว่าข้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ ข้าเก่ง เราบอกเทรฟเลยว่า ไม่แปลกใจหรอกถ้าเด็กพวกนี้จะเป็นแบบนี้ ก็พ่อเขาเป็นแบบนี้ เขาตัดสินคนด้วยยี่ห้อเสื้อผ้าที่ใส่ รถที่ขับ ฯลฯ เฮ้อ..ไร้สาระสิ้นดี ช่างน่าสงสาร...เราคุยกับเทรฟแล้วเทรฟก็ว่า ก็นะ พวกอาศัยในลอนดอนมักเป็นอย่างนี้กันแหละ แข่งขันกัน ข่มกัน แย่งกันเอาหน้ากันเข้าไป (ไม่สนว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ หรือเป็นหนี้อีกเท่าไหร่..เฮ้อ..น่าเศร้า)


จบจากปาร์ตี้คริสตมาส วันรุ่งขึ้นเราก็แวะไปทักทายแม่เทรฟ กินกลางวันแล้วก็กลับบ้าน เฮ้อ..เสร็จสิ้นภารกิจเสียที (เราคิด)..ดีนะเนี่ย ที่มันมีแค่ปีละครั้ง (ฮา)


และนี่แหละเรื่องราวช่วงคริสตมาสที่ผ่านมา หลังจากนี้เรามาลุ้นกันว่าชีวิตในปีใหม่นี้จะมีอะไรหน้าตื่นเต้นบ้าง


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 10:22 am

กลับเข้าสู่ฤดูการทำงาน?

เจ็ดโมงครึ่ง เช้าวันอังคารที่ 5 มกราคม 2010


มนุษย์งานเขาเริ่มกลับไปทำงานกันได้สองวันแล้ว เราก็เลยต้องอยู่บ้านคนเดียวตามระเบียบ..เหงาเลย


แต่การกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็ดีไปอย่างเพราะรายการทีวีมีอะไรให้ดูเยอะดี เมื่อวานนั่งดูทีวีตอนเย็นเจอรายการสารคดีเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็พึ่งเข้าใจว่าคำว่า Refuse on Arrival เป็นยังไง คือปกติเราเดินทางไปประเทศที่ต้องใช้วีซ่า เอาเป็นว่าเอาอังกฤษนี่แหละ เวลาเราขอวีซ่าแล้วไม่ได้เราก็จะถือว่าเราโดนปฏิเสธวีซ่าตั้งแต่ต้นแล้ว ถูกไหม เพราะถ้าเราไม่มีวีซ่าเราก็ขึ้นเครื่องไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่นี่ (คงมีบางประเทศ) นักท่องเที่ยวหรือคนประเทศนั้นๆ เดินทางมาถึงสนามบินที่อังกฤษแล้วเราต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองอีกรอบ ที่เป็นเคานท์เตอร์ทั้งหลายนั่นแหละ ตรงนี้แหละที่เขามีสิทธิไม่ให้เราเข้าประเทศได้เหมือนกัน เขาจะดูประวัติในพาสปอร์ตนั่นแหละ ถ้าสงสัยเขาก็จะไปเช็คในคอมฯเครื่องอื่น แล้วก็อาจจะมีกระบวนการสัมภาษณ์หรืออะไรต่อไปในสนามบินนั่นเลย ซึ่งถ้าหากเขาสงสัยว่าเราเข้ามาไปตรงกับประเภทวีซ่าที่ขอมา หรือมีวัตถุประสงค์อื่นใดๆ แอบแฝงที่ไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ตั้งแต่แรก เขาก็จะหาเที่ยวบินส่งเรากลับประเทศให้เร็วที่สุด ..อืม..นั่นดูไปแล้วเสียวสันหลัง นึกถึงเคสตัวเอง เทรฟหันมาทำหน้าทองไม่รู้ร้อน ไม่ใช่เคสยูหรอกโปร่ง ยูเข้าเมืองถูกกฎหมาย เราทำทุกอย่างถูกต้อง


ก็นะ มันทำให้นึกย้อนไปถึงวันที่บินมาถึง เพราะแต่ก่อนไม่เคยเข้าใจว่าเขามีไม่ให้เข้าประเทศด้วยก็เลยไม่ได้สนใจอะไร วันนั้นมาถึงแล้ว ลงเครื่องมามันหนาวมาก เราก็คว้าผ้าคลุมไหล่ผืนโตที่น้องเนยซื้อมาฝากจากอินเดียขึ้นมาห่มคลุมพันตัวอย่างแน่นหนา (คือจริงๆ ผืนใหญ่เท่าผ้าห่ม) พอเดินไปถึงเคานท์เตอร์ นัดแนะกับสามีอย่างดีว่าเสร็จแล้วเจอกันตรงนั้นตรงนี้นะ อย่าพึ่งออกไปเดี๋ยวหลงกัน (เราคิด แต่จริงๆ เป็นเหตุผลอื่นมากกว่า..เหตุผลอะไรเดี๋ยวรู้) เพราะเทรฟเขาต้องไปตรงเคานท์เตอร์ของพาสปอร์ตบริติช เราก็เดินเข้าไปแบบไม่มีอะไรต้องกังวล คนตอนนั้นยังไม่มี ไม่มีคิวเลย เราดิ่งไปที่เคานท์เตอร์นึง เจ้าหน้าที่เป็นผู้ชายหันมาเจอเรา "โว่..โว้..ยูมาจากไหนเนี่ย" คือประมาณว่าเธอพันตัวมาเหมือนซ่าหรี เราเปิดผ้าออกบอกว่า ไม่มีอะไร แค่หนาวเท่านั้นเอง แล้วเราก็ส่งพาสปอร์ตเราให้ตรวจ เขาก็ถามว่าเรามาทำอะไร มากะใครทำนองนี้ เราตอบไปว่า เราแต่งงานกับสามีชาวอังกฤษ ส่วนถามว่ากับใครเราก็ชี้มือไปนู่น เพราะเทรฟพึ่งเสร็จเดินออกมาจากเคานท์เตอร์ถัดไปไม่กี่ก้าว เขาหันมองตามแล้วก็ปล่อยเราออกมา ...เอ้อ ง่ายดีเนอะ (ตอนมาเรียน โดนสัมภาษณ์นานกว่านี้อีก) ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าเดินทางพร้อมเทรฟมันมีข้อดีอย่างนี้นี่เอง


กลับมาที่รายการทีวีต่อ คนหลบหนีเข้าเมืองที่นี่ก็เป็นปัญหานึงที่ไม่ต่างจากชายแดนไทยกับเพื่อนบ้าน บ้านเราขนใส่รถขนของกันมา ที่นี่เขาก็มีปัญหานี้เหมือนกัน ที่ด่านตรวจพวกรถบรรทุกขนของใหญ่ๆหรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ปกติเขาต้องมีพลาสติกคลุมมิดชิดแน่นหนา เจ้าหน้าที่เขาก็จะเสียบท่อเหมือนไม้ยาวๆเข้าไปใต้ผ้าใบที่คลุม ซึ่งท่อนี้มันจะมีเครื่องอ่านค่าอยู่ที่ปลายสาย หน้าตาเหมือนกำลังวัดระดับอะไรซักอย่าง ทีแรกเราก็ไม่เข้าใจ (เพราะเขายังไม่ได้บรรยาย) ปรากฏว่าเขาตรวจวัดระดับ CO2 ..โห ฉลาดมาก เพราะถ้ามันขนของระดับของก๊าซตัวนี้มันต้องไม่สูงใช่ไหม เพราะของมันไม่หายใจ แต่คนต้องหายใจเอาไอ้ก๊าซตัวนี้ออกมา ถ้ามันเยอะกว่าปกติก็แปลว่ามันมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ที่นี่เขาก็จะเปิดค้นรถล่ะ ..โห เราดูแล้วรู้สึกทึ่งมาก แล้วเขาก็ตรวจเจอคนจริงๆ เอาใส่มาในตู้เย็นขนาดยักษ์ (แต่คาดว่าคงไม่ได้เปิดเครื่อง เจ้าหน้าที่บอกว่ามันผิดสังเกตทันทีเพราะตู้ไม่ได้ถูกปิดสนิท เขาก็เลยยิ่งค้นละเอียด


เจ้าหน้าที่บอกว่า การที่เราตรวจค้นนอกจากจะเป็นเรื่องกฎหมายเข้าเมืองแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้วย เพราะตู้แบบนี้ไม่ควรใส่คนเข้ามามันอันตราย และเวลาที่เราตรวจค้นเจอคนหลบหนีเข้าเมืองพวกเขาจะกลัวมา เพราะส่วนใหญ่คนพวกนี้มีประสบการณ์เลวร้ายมาจากประเทศตัวเอง ซึ่งเราไม่ทำแบบนั้น ซึ่งจากภาพที่เห็นก็คือเขาพยายามจะสื่อสารและถามว่ามีใครพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ไหม มีเอกสารประจำตัวหรือไอดี (ID)อะไรติดมาไหม เจ้าหน้าที่จะพูดกับพวกเขาดีมาก อาจจะไม่ได้นิ่มนวลขนาดคะๆ ขาๆ แต่เขาก็ไม่ได้กรรโชกหรือกราดเกรี้ยวหรือทำท่าเบ่งอะไร พอเขาตรวจดูแล้วว่าพวกเขาเข้าประเทศไม่ได้ เขาก็ต้องปล่อยให้คนพวกนั้นเดินกลับเข้าไปในชายแดนประเทศที่ตัวเองจากมา เท่านั้นเอง ส่วนคนขับรถกับบริษัทเจ้าของรถหรือของที่ขนก็ถูกปรับไป ?10,000! (ราวห้าแสนกว่าบาท)


ส่วนเคสที่ไปตรวจตามร้านอาหาร ร้านค้าแล้วใช้แรงงานผิดกฎหมายเนี่ยหลายคนคงพอรู้และอาจเคยเห็นจากในหนังเรื่อง ตามหากาลิเลโอ มาแล้ว งั้นไม่เล่าดีกว่า (ใครไม่เคยดูก็ไม่เป็นไร กระบวนการไม่ยากเกินคาดเดา อารมณ์บุกค้น จับกุม ประมาณนั้น)


มีรายการสารคดีดีๆ อีกหลายรายการ เยอะแยะจำมาเล่าไม่ไหว สารคดีที่นี่น่าสนใจเราชอบดู เพราะเขาทำแบบตรงไปตรงมาและได้ความรู้ดี ไม่ใช่แต่เฉพาะเยินยอประเทศตัวเองว่าดีอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เป็นปัญหาในสังคม เช่น เด็กอ้วน เด็กโดนล้อที่โรงเรียน เด็กท้องในวัยเรียน ฯลฯ เขาก็จะค่อยนำเสนอโดยมีเคสตัวอย่าง ชนิดตามติดถ่ายทำกันยาวนานหลายเดือน บางเคสยาวเป็นปีๆ เรียกว่าถ่ายกันให้เห็นผลลัพธ์ของบางประเด็นที่เขาจับตามองกันเลยทีเดียว เราว่าเขาลงทุนเยอะและทุ่มเทนำเสนอข้อมูลดี ซึ่งก็เข้าใจได้ว่ามันต้องใช้ทุนสูงแล้วที่เมืองไทยก็ทำได้ยากเต็มที


เลิกเราเรื่องเครียดๆดีกว่า เราเรื่องกิน เรื่องถนัดของเรา
เมื่อวานหัดทำสปาเก็ตตี้มีทบอล (Spaghetti Meat Ball) เป็นครั้งแรก อิอิ ลองผิดลองถูกสุดฤทธิ์ เปิดหาสูตรทำซอสได้สามสี่สูตรก็อ่านๆ จำๆ ไว้ แล้วก็มามั่วๆ หน้าเตาเอา (ส่วนตัวมีทบอลซื้อมาจากห้างฯ ไว้กล้าหาญชาญชัยเมื่อไหร่จะหัดทำเอง อิอิ) คราวก่อนลองทำพาสต้าแบบนี้แหละ (เอ่อ Pasta เป็นชื่อเรียกรวมๆ หรือ General term เหมือนที่เราใช้คำว่าก๋วยเตี๋ยว แล้วมันก็มีเส้นเล็ก เส้นใหญ่ ฯลฯ อะไรเงี้ยแหละ) แต่ออกมารสชาติเหมือนอาหารไทยมาก ก๊ากกก เพราะใส่พริกเยอะไปหน่อย (กลัวเลี่ยน)...ตามสูตรเขาให้ใส่พริกนา ปรากฏว่าสามีกินไปน้ำหูน้ำตาไหล ทั้งๆที่เทรฟเป็นคนกินเผ็ด อิอิ วันนี้เอาใหม่ยั้งใจไว้ไม่ใส่ (ทั้งๆที่ในสูตรก็มีพริก..แต่ไม่เอาละ กลัวเสียรสชาติ) ปรากฏว่าผลการรวมสามสูตรเข้าด้วยกันออกมา ดีเยี่ยม รสชาติจัดจ้านได้ใจ อร่อยทีเดียว ตอนแรกไม่ค่อยมันใจกลัวซอสมันข้นเกินไป เพราะไม่ได้ใส่น้ำเลย ตอนปรุงก็เดี๋ยวเค็มไป หวานไป แก้กันไปมาอยู่นั่นแหละ เพราะเราไม่เคยกินมาก่อนก็ไม่รู้ว่าทิศทางมันจะไปทางไหน แต่เทรฟบอกว่าอร่อย เราก็เชื่อเขาตามนั้น (ไม่รู้แค่ชมให้สบายใจปะเนี่ย) แต่เอาเป็นว่าเรากินอย่างเอร็ดอร่อยละกัน


วันนี้อากาศเป็นน้ำแข็งโดยทั่วกันอีกแล้ว ดิฉันต้องออกจากบ้านเอาใบสมัครงานไปยื่นนั่งมองฟ้า มันพึ่งสว่างเมื่อไม่กี่นาทีมานี่เอง ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบแปดโมงครึ่งแล้ว วันนี้ดูท่าทางไม่น่าจะมีแดด บรึ๊ยยย ..เอาวะ ต้องเอาตัวเองให้รอดกลับมาถึงบ้านแล้วกัน..คือจะเดินไปแถวเทสโก้ เดินไปกลับในอากาศแบบนี้ (พื้นมันจะลื่นมาก) คงใช้เวลาร่วมชั่วโมง ต้องพันตัวเองให้อุ่นไว้ก่อน ว่าแล้วไปเตรียมตัวดีกว่า ไว้มาเมาท์ต่อวันหลังนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 10:25 am

ใครชอบหิมะบ้าง???

11.30 น.วันพฤหัสฯ ที่ 7 มกราคม 2010 ที่แฟลต


แสงแดดส่องสว่างจ้า อากาศเย็นเยียบ ทุกพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนสะท้อนแดดชวนแสบตา


แดดจัดแบบนี้น่าออกไปเดินเล่น แต่พอคิดถึงอุณหภูมิติดลบแล้วชวนให้อารมณ์อยากเที่ยวหดหาย เพราะไม่ว่าจะเดินหรือขับรถก็เสี่ยงอันตรายการเกินไป ผิวหน้าหิมะละลายแต่กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งบางใสเคลือบเหมือนฟิล์มแทน ชวนให้หวาดเสียว


เมื่อวานมีนัดไปรับแว่นที่ตัดไว้ (เชื่อหรือไม่ว่าราคาถูกกว่าเมืองไทย !!! เพียงแต่ต้องเสียค่าวัดสายตาสิบกว่าปอนด์!..อ่ะนะ เขาทำแบบมืออาชีพกว่ากันเยอะ ประมาณเหมือนไปหาจักษุแพทย์ดีๆ เลยทีเดียว..เราเคยมีประสบการณ์หาหมอตาที่เมืองไทยหลายครั้ง นับทุกครั้งรวมกันยังไม่โดนตรวจละเอียดเท่าร้านแว่นที่นี่ครั้งเดียว เพราะงี้ถึงแพงกว่า อิอิ) มีนัดไว้ตอนเที่ยงสิบห้า เราออกจากบ้านตอนสิบโมงครึ่ง ตั้งใจจะขึ้นรถเมล์เที่ยว 10.40 น. ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย แต่ถ้ารถเมล์ไม่มาเราจะเดินไปร้านแว่น (ซึ่งประมาณไว้ว่าคงใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง)


เป็นไปดังคาด หิมะตกหนาไปทั่ว รถเมล์เบี้ยวไม่มาตามเคย (คาดว่าคงสั่งงด..เราพยายามโทรไปถามแต่สายไม่ว่าง) เราเตรียมตัวตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว ใส่รองเท้าบูตยาง ถุงเท้าสองชั้น (เพราะคราวก่อนใส่ชั้นเดียว ความเย็นมันทะลุรองเท้าเล่นเอานิ้วเย็นจนชา) พอเลยว่ารู้แน่แล้วว่ารถไม่มาเราก็ออกเดิน กางแผนที่ในมือแล้วก็เดินอย่างเดียว ความยากเบื้องต้นก็คือมันมองไม่ออกว่าตรงไหนคือถนน ตรงไหนคือทางเท้า พื้นปูนหรือหญ้า ลำพังเหยียบเลยปูนไปบนหญ้าไม่มีปัญหาแต่เหยียบพลาดตกลงไปบนถนนอาจเจ็บตัวได้ ก็อาศัยร่องรอยคนก่อนหน้ากับรอยยางบนถนน (ถ้ามี)


..หวาย..หิมะโปรยปรายลงมาอีก..เด็กๆ สนุกสนานเล่นหิมะกันใหญ่ เรายังมุ่งหน้าต่อไป โชคดีตัดสินใจใส่โค้ท ไม่ใช่แค่แจ็คเก็ตตัวอ้วนอันเดิม พันผ้าพันคออย่างดีอย่าได้ปล่อยอะไรให้เล็ดลอดเข้าไปในซอกคอ..บรึ๊ยย ไม่อยากจะคิด ..เดินไปได้หนึ่งในสาม เท้าเริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ใจแอบภาวนาเผื่อจะมีรถเมล์ผ่านมา (แต่ถ้าเราไม่อยู่ตรงป้าย มันจะยอมจอดรับไหมน้าาา) แต่ก็ไม่มีหวัง ขนาดรถบนถนนยังขับกันอย่างระวัง แสดงว่าสภาพอากาศยังไม่น่าไว้วางใจ สังเกตเห็นรถจอดหน้าบ้านมากมายแสดงว่าหลายคนตัดสินใจไม่ไปทำงาน ยิ่งสะท้อนว่าความหวังที่รถเมล์จะวิ่งริบหรี่เต็มทน เราเดินต่อไป ต่อไป และต่อไป


ผ่านไปครึ่งทางเราพบว่าความเย็นที่เท้าหายไปกลายเป็นความชา ไร้ความรู้สึกแทน นี่ละมั้งคงถึงจุดที่เด็กๆเริ่มสนุกสนานกับหิมะ เพราะไร้ความกังวลเรื่องอื่น (จริงๆ ไม่คิดกังวลอะไรตั้งแต่วิ่งออกจากบ้านแล้ว) เราเรียนรู้บทเรียนกับตัวเองว่า ไม่ว่าทำสิ่งใดในเริ่มต้นย่อมพบกับความไม่สะดวกสบาย ความลำบาก การไม่คุ้นชิน ชวนพาลให้ท้อและล้มเลิก แต่ถ้าเราอดทนกับมันมากพอ เราก็จะผ่านมันไปได้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ความคุ้นชินเริ่มทำให้เราคลายกังวลเรื่องความหนาว หันมาสนใจทิศทางเบื้องหน้า พยายามรื้อความทรงจำทุกส่วนว่า..เอ้อ หนอ เราเคยผ่านทางไหนมาบ้าง มันเป็นทางที่ขับรถผ่านได้แล้วมันมีทางเท้าให้เดินไหมหนอ?? กางแผนที่ไปก็พยายามจับคู่กับความทรงจำที่เหลืออยู่ (หน้าตามันไม่เหมือนกันนิ เวลามีหิมะกับไม่มี)


ในที่สุดก็มาถึงถนนที่คุ้นเคย เรารู้ว่ามันอีกไม่ไกลจะถึงที่หมาย แต่ขณะนี้เราเดินมาได้ร่วมชั่วโมงแล้ว ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ขาล้าไปหมด ไม่มีโอกาศแม้แต่จะพักนั่งเพราะทุกที่ปกคลุมด้วยหิมะ (มันก็นั่งไม่ได้ดิ มันเปียกนิ) เราฝืนอดทนเดินต่อไป


..ในที่สุดเราก็ขอร้องโวยวาย.. เรากดโทรศัพท์หาเทรฟอยากให้เขามารับ ..ดาร์ลิ่ง ยูอยู่ไม่ไกลแล้วนะ..แต่เหนื่อยแล้วนี่ หิวด้วย ปวดฉี่.. เดินอีกสิบนาทีก็ถึงแล้วนะ.. ..นี่สิบนาทีอะไรเล่า ถามหน่อยเหอะครั้งสุดท้ายที่เดินในหิมะน่ะเมื่อไหร่... ..อ่ะนะ มันคงลำบากขึ้นนิดนึง เมื่อเช้าผมเจอปัญหาเอารถเข้าจอด ถ้าเอาออกไปแล้วเข้าจอดอีกมันจะลำบากน่ะสิ... ..โห.แล้วจะให้เดินกลับเนี่ยนะ ตั้งชั่วโมงครึ่งเนี่ยนะ เดินไม่หวายยยแล้วอ่ะ นะ นะ นะ ดาร์ลิ่งขับรถไปส่งบ้านทีนะ นะ นะ... เทรฟยอมแพ้ ก็เราโอดครวญซะขนาดนั้น ก็มันไม่ไหวแล้วจริงๆนี่นา แค่จะยกขาเดินต่อยังไม่ไหว ปวดเอวไปหมดแล้ว นี่ยังเดินไม่ถึงร้านแว่นเลย แล้วตามโปรแกรม เทรฟกะจะเดินไปดูบ้าน (มีนัดดูบ้านที่สนใจจะซื้อแถวๆนั้น) ซึ่งจะใช้เวลาเดินอีกยี่สิบนาที ไปกลับก็สี่สิบ แล้วจะให้เราเดินกลับบ้านอีกชั่วโมงครึ่งเนี่ยนะ..โห ใครจะเอา (แต่ก็แอบเกรงใจเทรฟอยู่ไม่น้อย ถ้าเขาต้องเจอปัญหาตอนจอดรถแบบเมื่อเช้า ก็น่าจะอันตรายเหมือนกันแฮะ..เอ๊ะ แล้วจะเอาไงล่ะทีนี้?)


สุดท้ายเทรฟก็ตามเก็บเรากลางทาง ท่าทางเราหมดสภาพใช่น้อย เทรฟทำหน้าสงสารเราแต่ก็นะทางเลือกอื่นก็ใช่จะมี เรารับแว่นแล้วก็ตกลงขับรถไปดูบ้าน


โชคดีพระเจ้าเข้าข้าง สุดท้ายเราก็กลับบ้านโดยอาศัยรถของคนที่เอเจนท์มาหย่อนเราครึ่งทาง เพราะเขาต้องไป Bradley Stoke ย่านบ้านเราพอดี อย่างน้อยก็เดินแค่ครึ่งทางที่เหลือ เย้ๆๆๆ


ปัญหาแก้ตกโดยที่เทรฟไม่ต้องลำบากขับรถบนความเสี่ยง เราไม่ต้องเดินไกล อะไรจะดีขนาดนี้ แล้วเราก็หอบสังขารแก่ๆ ของเรากลับมาบ้านโดยสวัสดิภาพ เย้!
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 10:39 am

8Jan2010 More snow coming until Sun!

7.34 am 8 Jan 2010 at the flat


อากาศยังคงต่ำกว่าศูนย์ หิมะยังคงอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ พยากรณ์อากาศยังคงประกาศเตือนภัยอากาศหนาวที่มีหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 20 ปี โรงเรียนสั่งปิดไปอีกอาทิตย์ เด็กๆหลายคนร่าเริงเพราะได้ร่าเริงเล่นหิมะ แต่ที่ผ่านมาจากข่าวรู้สึกว่าหลายคนคงเริ่มรู้สึกไม่สนุกกับสภาพอากาศแบบนี้ซะแล้ว เพราะหลายพื้นที่หิมะตกหนักทำเอาเสาไฟฟ้าล้ม ไฟดับ นั่นหมายถึงเขาจะเปิดฮีทเตอร์ไม่ได้..แค่นี้ก็คงรู้แล้วว่า..โหดขนาดไหน


ปริมาณหิมะที่ตกหนาไปทั่วทำให้ถนนถูกตัดขาดหรืออยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะเพราะหิมะหนาหรือน้ำแข็งลื่น เมื่อใช้รถไม่ได้ คนก็ไปทำงานไม่ได้ รถเมล์วิ่งไม่ได้ รถไฟต้องยกเลิก เครื่องบินบินขึ้นและร่อนลงไม่ได้ รถขนส่งสินค้าส่งของไม่ได้ รถฉุกเฉินทำงานในสภาพลำบากแม้แต่รถตำรวจและรถดับเพลิง เมื่อยานพาหนะเคลื่อนที่ไม่ได้ก็หมายถึงธุรกิจและกิจกรรมที่ควรจะดำเนินไปต้องหยุดชะงัก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคนออกจากบ้านไม่ได้ ก็ใช้วิธีโทรสั่งหรือสั่งสินค้าจากเน็ต แต่รถส่งของก็ออกไม่ได้ แล้วคนจะกินอะไร, รถขนส่งสินค้าจากฟาร์มก็ไม่สามารถขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ หมายถึงสินค้าต้องเสียหาย โดยเฉพาะนมที่ต้องเททิ้งไปหลายร้อยตันแล้ว, คนไปทำงานไม่ได้ แต่ร้านค้าโดยเฉพาะห้างค้าปลีกต้องใช้คนทำงาน หรือธุรกิจด้านบริการต่างๆ เมื่อไม่มีคนทำงาน แล้วลูกค้าที่เขานัดไว้ หรือไปใช้บริการจะมีใครให้บริการ? ที่แย่ไปกว่านั้นคือบรรดาคนแก่ ผู้ป่วยที่อยู่บ้าน ซึ่งปกติเขาจะมีคนมาส่งอาหารถึงบ้าน (เพราะเขาออกไปเองไม่ได้หรือออกไปลำบาก) ถ้าคนเหล่านั้นมาส่งไม่ได้ ก็หมายถึงคนกลุ่มนี้ไม่มีอะไรกิน


ตอนนี้รถฉุกเฉินถือเป็นกลุ่มทำงานที่น่าเห็นใจและน่าชื่นชมในเวลาเดียวกัน เพราะงานของเขาหยุดไม่ได้ และยิ่งสภาพอากาศเลวร้ายมากเท่าไหร่ งานก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เพราะผู้ป่วยหลายคนดำรงชีวิตอยู่อย่างลำบากในสภาพอากาศหนาวจัด โดยเฉพาะในรายที่ไม่มีเงินจ่ายค่าไฟ ค่าแก๊สเพื่อเปิดฮีตเตอร์ หรือไฟดับหรือถูกหิมะตัดขาด โรงพยาบาลคนแน่นทั้งด้วยเคสหนักและเคสเล็กๆ อย่างหกล้มแข้ง ขาหักเพราะน้ำแข็งที่มีจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เดินไปไหนมาไหนต้องระวังดีๆ)


แต่ก็ต้องไม่ลืมคนอีกกลุ่มนึงที่ตอนนี้ทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ก็คือผู้ที่ทำงานโปรยกรวด (grit)และเกลือไปบนถนนเพื่อป้องกันน้ำแข็งเกาะตัวบนพื้นผิวถนน รวมไปถึงรถไถที่กวาดหิมะออกจากถนนด้วย แย่หน่อยที่พวกเขาทำได้แค่เพียงเปิดทางให้ถนนสายหลักยังคงใช้การได้ แต่บรรดาถนนในซอยชาวบ้านต้องช่วยเหลือตัวเอง ถนนหน้าบ้านเรากลายเป็นพื้นน้ำแข็งหนาแล้ว เหมือนลานสเก็ต (ไม่ใช่หิมะหนานุ่ม) ทำให้ขับรถได้ลำบากน่าดู เทรฟตัดสินใจเดินไปทำงานมาสองวันแล้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะติดแหงกอยู่กลางทาง รวมระยะทางเดินไปกลับต่อวันก็ประมาณ 7 ไมล์ (ราวๆ 6 กิโลกว่ามั้ง) เทรฟว่าถ้าเทรฟมีเครื่องมือ เทรฟจะลงไปขุดหิมะที่ผิวหน้าถนนออกให้รถพอวิ่งได้แล้ว แต่นี่อยู่แฟลตไม่มีเครื่องมืออะไรเลย เราบอกเทรฟว่า ซื้อมาดิ เราไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวกลางวันจะได้ทำ


ดูจากข่าวเห็นความน่ารักของหลายคนที่ช่วยกันดูแลเพื่อนบ้าน ด้วยการซื้อนม ขนมปังแจกเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้


อืม ดูแล้ว หิมะจะไม่ได้หมายถึงเรื่องสนุกเสมอไปซะแล้ว จริงมะ


ป.ล. อ้อ ที่คนอังกฤษดูโวยวายและตื่นตูกับหิมะขนาดนี้ เพราะอังกฤษเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศแปรปรวน แต่ไม่ได้มีสภาพอากาศย่ำแย่สุดๆ ซักแบบ คือไม่ได้มีฝนตกจนน้ำท่วม หรือหิมะตกหนาอยู่บ่อยๆ ฉะนั้นเขาก็จะไม่มีระบบเตรียมการรองรับสภาพอากาศเลวร้ายในรูปแบบต่างๆ เพราะงี้ คนอังกฤษก็ยังคงพร่ำบ่นเรื่องอากาศกันต่อไป อิอิ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน

cron