ก็ติดเด็กจริงๆนั่นแหล่ะ ติดเด็กนะไม่ใช่ติดเหล็ก
ทวงมาสองโพสต์แระ เอาจัดไป
30Mar2010 สมดุลชีวิต
บ่ายโมงครึ่ง วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2010 @ flat
ห่างหายไปนานเลยกับไดอารี่ครั้งนี้..ไปนั่งปรับตัวปรับใจและปรับอารมณ์ซะพักใหญ่
ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเราหงุดหงิดเหลือแสนชนิดที่อธิบายกับตัวเองยังไม่ถูก ครั้งแรกคิดว่าเป็นเพราะช่วงนึงทำงานติดต่อกันนานเจ็ดวัน แม้งานจะไม่หนัก แต่ชั่วโมงการทำงานที่ยาวและเวลานอนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เล่นเอาเราเพลียไปเลย แต่หลังจากได้พักอาการหงุดหงิดที่ว่าก็ยังไม่ดีขึ้น อาทิตย์ถัดมาเริ่มเป็นหนัก พาลอยากเปลี่ยนงานขึ้นมาซะงั้น (เราไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน) เราพยายามหาสาเหตุของความรู้สึกของตัวเอง (ถ้าหากว่ามีประจำเดือนก็คงโทษว่าเป็นเพราะเหตุนี้ไปแล้ว..แต่เผอิญไม่ใช่) เพราะไม่ชอบกับการติดอยู่ในภาวะหงุดหงิดเรื้อรัง ชีวิตไร้ความสุขอย่างนี้ เราเริ่มบ่นให้เทรฟฟังว่า เราคิดว่าสาเหตุใหญ่น่าจะมาจากงานที่ทำอยู่ ประกอบกับช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาภายในร้านมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง มีผู้จัดการชั่วคราวมาทำงานร่วมด้วย เธอเข้ามาจัดนู่น แก้นี่ให้มันเข้าที่เข้าทาง ซึ่งจริงๆ มันก็ดีหรอก เพียงแต่พอความเคยชินถูกกระทบกระเทือนภาวะความไม่มั่นคงทางความรู้สึกย่อมเกิดขึ้นกับหลายคน เราไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่พอใจเมื่อเราถูกมองว่าทำผิดในเมื่อไม่เคยมีใครบอกเราว่าไอ้ที่ถูกคืออะไร ..เรื่องที่หงุดหงิดใจที่สุดก็คือเรื่องรองเท้าทำงาน เราพยายามอ่านในคู่มือ ถามคนในร้านหรือสังเกตคนรอบๆตัวว่าเขาใส่่อะไรถึงจะไม่ขัดระเบียบ เราเริ่มต้นจากรองเท้าทำงานคู่เก่า แต่ใส่ๆไปกลายเป็นว่ามันเป็นตัวการของอาการปวดหลังอย่างรุนแรงของเรา ฉะนั้นก็ถึงเวลาต้องโยนทิ้ง ซื้อคู่ใหม่มาแทน..เราไปซื้อรองเท้าด้วยทางเลือกที่ว่าใส่สบายที่สุดเพราะต้องยืนทำงานยาวแปดชั่วโมงรวดทุกวัน ใจก็ลังเลว่าควรจะซื้อรองเท้ากีฬาที่เป็นแบบสีดำเรียบๆ แต่ใส่สบายดีไหม เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะให้ใส่รองเท้ากีฬาไปทำงานได้ไหม (ตอนทำสตาร์บัคส์ใส่ได้ตราบเท่าที่มันเป็นวัสดุที่ขัดเงาได้) แต่ก็นึกขึ้นมาว่าทุกคนในที่ทำงานเขาก็ใส่ผ้าใบกัน อันนี้เป็นหนังน่าจะดีกว่า เราจึงตัดสินใจว่าตัวเลือกนี้เหมาะกับงานสุด เพราะวัสดุไม่ซึมน้ำ ทำความสะอาดง่าย และใส่สบาย เราเลือกชนิดที่มีลายน้อยที่สุดเพราะคิดว่ามันไม่ควรสะดุดตา (หาแบบดำเรียบๆไม่ได้)
ปรากฏว่าพอใส่ไปทำงานได้ไม่ถึงอาทิตย์ (กำลังมีความสุขกับรองเท้าคู่ใหม่ที่ใส่สบาย และพื้นไม่ลื่น) แคลร์-ผู้จัดการชั่วคราวก็มาบอกว่าให้เราเปลี่ยนรองเท้า เพราะเขาไม่อนุญาตให้ใช้รองเท้ากีฬา..เราโวยวายทันทีว่า..อ้าว ไม่เห็นมีใครบอกเลย ไม่งั้นก็ไม่ซื้อมาตั้งแต่แรก แล้วนี่พึ่งซื้อมาด้วยนะ..เราเซ็งไปเลย.. เราบอกแคลร์ว่าเราซื้อคู่นี้เพราะเราเห็นใครต่อใครก็ใส่รองเท้ากีฬา (แถมบางคนลายพร้อยกว่าเราอีกแต่เขาเอาปลายขากางเกงคลุมไว้) แคลร์บอกว่าคนอื่นก็ต้องเปลี่ยน..เราไม่ได้อยากเถียงเพื่อเอาชนะ แต่อยากรู้ว่ามีอะไรอีกไหมที่เราควรจะต้องทำให้มันถูกต้อง ไม่ใช่มาคอยบอกให้เปลี่ยนทีหลังอีก เสียเงิน เสียเวลา และเสียความรู้สึก..
นอกจากเรื่องนี้ที่เราเจอจังๆ แคลร์ยังคงป่วนความรู้สึกคนในร้านอีกหลายเรื่อง ชนิดที่ไม่อยากจำมาบรรยายให้ฟัง เพราะเล่นเอาบรรยากาศในร้านเครียดกันไปเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ความผิดเธอเลยซักนิดเพราะเธอทำตามหน้าที่ของเธอ คนที่ควรถูกตำหนิมากที่สุดก็คือผู้จัดการร้านคนปัจจุบันหรือเชนนั่นเอง เพราะเชนปล่อยปละละเลยไม่สนใจทำทุกอย่างให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ปล่อยไปตามสบาย จนต่อเมื่อใกล้ถึงเวลาทีมออร์ดิท (Audit) จะเข้ามาตรวจคุณภาพและมาตรฐานการจัดการร้าน ก็ค่อยมากวดทุกคนให้เข้าที่เข้าทาง พอออร์ดิทไปก็ปล่อยทุกอย่างเป็นอย่างเดิม..เฮ้อ..
เรื่องนี้ทีแรกไม่ค่อยกระทบเราเท่าไหร่ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะมารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกก็เมื่อมีคนนอก (ผู้จัดการจากสาขาอื่น) เข้ามาบอก ซึ่งทำเอาเราเซ็งมากๆ เพราะเหมือนต้องทำงานแบบระวังหลังว่าจะมีใครมาเห็นไหมนะว่าฉันกำลังทำผิดอยู่..ก็แล้วทำไมไม่ทำมันให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ต้นละว้าาา..
เรื่องมาตรฐานการให้บริการหรือความใส่ใจในการทำงานเป็นอีกเรื่องที่เราแอบหงุดหงิดคนในร้านชนิดไม่รู้จะจัดการยังไงดี..ร้านสมควรเปิดหกโมงเช้า (ตรง) แต่ถ้าพนักงานยังไม่พร้อม ร้านก็ยังไม่เปิด ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเราก็เข้าใจได้ แต่นี่เธอไม่พร้อมเพราะเธอมาถึงแล้ว มัวแต่เมาท์ เลยทำงานช้า แถมบางวันยังบอกว่า เดี๋ยวก่อนขอจิบชาให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเปิดร้าน..แหมๆๆ ฟังแล้วอยากซัดให้ตกเก้าอี้ ฮึ่มๆๆ
มาตรฐานเครื่องดื่มเป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้มากๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ก็เพราะความผิดเชนอีกนั่นแหละที่ไม่ส่งพนักงานไปอบรม เขาก็ทำๆกันไปตามมีตามเกิดหรือตามที่จะมีใครมาบอก พนักงานคนนึงในร้านทำเครื่องดื่มได้ห่วยชนิดที่ว่ามีลูกค้ามาขอคืนเงินแทนการขอให้ทำเครื่องดื่มให้ใหม่ พอไม่กี่วันต่อมาก็มีลูกค้าอีกรายที่ยอมอุตส่าห์ต่อแถวมาคืนเครื่องดื่มเพื่อบอกให้รู้ว่ารสชาติกาแฟมันห่วยสิ้นดี..เฮ้อ..เห็นแล้วเซ็งในอารมณ์..
ยังไม่หมด..นั่นเป็นเรื่องที่เราจัดการไม่ได้ ..เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าอำนาจหน้าที่ของซุปเปอร์ไวเซอร์ในร้านนี้ต่างจากพนักงานธรรมดาตรงไหน และก็ดูเหมือนว่าทุกคนในร้านรู้สึกเหมือนกันว่ามันไม่ต่างนอกจาก ซุปฯมีหน้าที่ถือกุญแจเซฟ (ซึ่งเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก...เรารู้ว่านี่ผิดคอนเซ็ปอย่างร้ายแรง..แต่ก็นะ..ในเมื่อยังไม่รู้ว่าไอ้ที่ถูกคืออะไร ก็ทำเท่าที่รู้ไปก่อนแล้วกัน)
เมื่อหลายวันเราเข้างานกะบ่ายแล้วก็ได้รับการบอกเล่าว่า แซนวิชสำหรับร้านกาแฟรีทัซซ่า (Ritazza) ซึ่งเป็นอีกยูนิตนึงที่อยู่ชั้นล่างของสถานียังไม่ได้เตรียม ให้เราช่วยทำด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหา ปัญหามันมาอยู่ที่วันนั้นบะเก็ตก็เกิดขายดี เราต้องทำทั้งบะเก็ตและแซนวิชให้วุ่น ลูอิส (Louise) พนักงานที่ร้านรีทัซซ่าต้องการพักช่วงเวลาบ่ายสามโมง แต่เรายังทำอะไรไม่เสร็จเลย ลูอิสโทรมาทวงเบรคว่านี่บ่ายสามแล้วนะ เธอจะไปพักได้หรือยัง เราบอกว่าไปก็ได้ แต่เธอต้องมาทำแซนวิชเอาเองตกลงไหม เพราะเรากำลังทำบะเก็ตอยู่ แซนวิชเลยยังไม่เสร็จ ลูอิสบอกไม่เอา ไม่ทำแซนวิช.. งั้นก็รอไปก่อนนะ จะรีบทำให้เสร็จ แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ..ปกติเราพยายามจะให้ทุกคนไปพักก่อนห้าโมงเย็นอยู่แล้ว เพราะหลังห้าโมงเย็นเราจะได้มีเวลาจัดการงานในร้านตัวเอง ไม่ต้องวิ่งไปทำงานตรงนู้นตรงนี้แทนคนอื่นเพราะเขาไปพักกัน แต่วันนี้ร้านยุ่งกว่าทุกที ของหลายอย่างก็ยังไม่ได้เตรียม เราต้องจัดการให้เสร็จก่อน เพราะเราเชื่อว่ายังไงทำของขายก็สำคัญกว่าส่งพนักงานไปพัก..
ปรากฏว่ากว่าจะเสร็จทุกอย่างก็ปาไปสี่โมงกว่า เราเก็บของแล้วก็เดินออกไปจะไปทำงานแทนลูอิส เธอจะได้ไปพัก...เสียงโทรศัพท์ดังไล่หลัง เราคิดว่าคงเป็นลูอิส เราบอกลอร่่า-พนักงานที่ทำงานกับเรากะนั้นว่า ถ้าเป็นลูอิสบอกไปว่าเรากำลังลงไป กลายเป็นว่าคนในสายคือเชน..ลอร่ารีบแจ้นมาบอกเราที่หน้าประตูว่า รีบให้ลูอิสพักเร็ว เพราะเชนโกรธใหญ่เลย..ลอร่าพูดแค่นั้น เราไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเชนจะโกรธเรื่องอะไร เราได้แต่เดาว่าลูอิสคงรอนานเกินทน (ในความรู้สึกของคนไม่ได้ทำอะไร เพราะร้านข้างล่างไม่ค่อยมีลูกค้า ชั่วโมงนึงสองสามคนก็เยอะแล้ว) ก็เลยเกิดอาการฟุ้งซ่านโทรไปฟ้องเชนว่าเราไม่ยอมให้เธอไปพัก..ส่วนเชนเป็นพวกขี้ยั๊ว พอใครทำอะไรไม่ถูกใจก็ด่าเปิง ก็คงเกิดอาการรำคาญเลยโทรมาเฉ่งเรา..เราไม่ได้สืบสาวราวเรื่องว่าแท้ที่จริงเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่เห็นประโยชน์อะไร อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็งานยังไม่เสร็จจะไปพักได้ไง ให้มาทำเองก็ไม่ทำ ก็ต้องรอไป ก็แค่นั้นเอง..พอลงไปเจอหน้าลูอิส ก็เดาได้ไม่อยากว่าคงโกรธได้ที่ทีเดียว เพราะหน้าหงิกเป็นตูด เราไม่ได้คิดอะไรเพราะอย่างที่บอก ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ..จริงอยู่ว่ามันก็ต้องกระทบความรู้สึกกันบ้างว่า..ไรวะกูทำงานมือเป็นระวิง แล้วต้องมาคอยเอาใจพวกที่จะจ้องเอาแต่พักท่าเดียว เราไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าอะไรควรไม่ควรทำตอนไหนหรือไง.. คิดในใจว่า ถ้ามันเป็นเรื่องในวันรุ่งขึ้นก็จะถามกลับไปเหมือนกันว่าระหว่างส่งพนักงานไปพักกับทำงานให้เสร็จอันไหนมันควรจะสำคัญกว่ากัน..แต่โชคดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูอิสก็ดูงี่เง่าน้อยลงนิดนึง..แต่ก็ยังคอยจิกเราเรื่องขอพักตอนบ่ายสามไม่เลิก (ไม่อยากจะบอกว่าฉันรู้หรอกว่าทำไมเธอต้องไปพักเวลานั้นเป๊ะๆ..เฮ้อ..)
เรื่องหงุดหงิดสารพัดที่เกิดขึ้นทำให้เราพาลคิดเอาว่า คงเป็นเพราะเรื่องพวกนี้มั้งที่ทำเอาเราไม่สบอารมณ์..แต่พอคิดไปคิดมาอีกที มันก็เกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าว ไม่น่าจะติดค้างนานขนาดนี้..เราเลยนั่งวิเคราะห์ดังๆ ให้เทรฟฟังว่า เรารู้สึกว่าการทำงานงานที่นี่เป็นประเภทคนทำผิดไม่ได้รับการลงโทษ คนทำดีก็หมดกำลังใจ เพราะทำงานดีไป ทำงานหนักไปก็ไม่มีใครเห็น อยากทำก็ทำไป คนไม่ทำอะไรก็ไม่เห็นโดนอะไร ในที่สุดคนที่ทำงานดีก็จะเริ่มทำดีน้อยลง เริ่มเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ หรือหากใครทำให้ร้านได้คะแนนประเมินจากลูกค้าต่ำก็จะโดนส่งไปอบรม ซึ่งเราว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะการประเมินจากลูกค้า (Mystery customer) จะทำโดยการเข้ามาซื้อของตามปกติ ถามนู่นนี่นิดหน่อยแล้วก็ประเมินการให้บริการ ซึ่งโอเค..ถ้าพนักงานบริการไม่ดี แล้วได้คะแนนน้อยมันก็สมควร แต่ปัญหาคือไอ้คอร์สฝึกอบรมที่ว่าน่ะ มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะมันไม่ได้แก้ทัศนคติให้การบริการลูกค้าให้ดีขึ้น มันก็แค่เหมือนส่งพนักงานไปกักบริเวณให้เผชิญกับความน่าเบื่อในห้องอบรมเท่านั้นเอง มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไปแล้วกลับมามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากพนักงานมานั่งด่าให้กันฟังว่าน่าเบื่อแค่ไหน แถมทีมบริหาร (ทั้งผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการ) ก็ดันมองเรื่องการอบรมที่ว่าเป็นมาตรการการลงโทษซะงั้น (ด้วยการเขียนว่า..ถ้าใครทำให้ร้านได้คะแนนประเมินต่ำจะถูกส่งไปอบรม ..เอาเข้าไป..เฮ้อ)
เรามองซ้ายมองขวาเห็นสภาพในร้านแล้วก็หมดอารมณ์ อยากทำอะไรให้มันดีขึ้นก็กลัวจะเจอพวกเก๋าย้อนกลับเข้าให้ว่า ฉันก็ทำของฉันอย่างนี้มาเป็นชาติไม่เห็นมีใครว่าอะไร หล่อนเป็นใครมาถือว่าตัวเองดีกว่า คอยแก้โน่นบอกนี่..จะพาลซวยเข้าไปใหญ่..เราก็เลย..ไม่ทำอะไรนอกจากงานตรงหน้า แล้วก็คอยเอาใจพนักงานทั้งหลายส่งพวกคุณๆ ไปเบรคตามเวลาที่ต้องการ อย่าได้ขัดอกขัดใจให้แค้นเคืองขึ้นมาทีเดียว..เฮ้อ..(อีกรอบ)
แถมงานก็ไม่มีอะไรให้เรียนรู้ สมองไม่ได้พัฒนาอะไรเลย เรารู้สึกยิ่งเราทำงานนานวันเข้า เรายิ่งเริ่มติดนิสัยแย่ๆ จากคนรอบข้าง ประเภทที่ว่าทำงานแบบขอไปที ทำๆให้มันเสร็จๆไป อะไรจะเกิดก็ช่างมันฉันไม่สน ฯลฯ อะไรที่เราควรได้เรียนรู้ก็ไม่เหมือนไม่มีการรับรู้ เพราะผู้จัดการไม่เคยบรรจุมันไว้ในแผน ยิ่งทำงานเรายิ่งรู้โง่ลงทุกวันๆๆ แถมยังได้คำหยาบ คำสบถจากคนรอบข้าง (โดยเฉพาะผู้จัดการนั่นแหละตัวดี) ติดหูกลับมาบ้าน จนเผลอพูดออกมาจนเทรฟตกใจอีกต่างหาก..
นั่งวิเคราะห์อารมณ์และสถานการณ์ตัวเองมาล็อตใหญ่..แต่ไหงไม่รู้สึกว่าปัญหาถูกปลดล็อก..วันนี้วันหยุดเรา ซึ่งแสนจะดีใจแม้ไม่รู้ว่าจะหยุดไปทำอะไร เพราะเทรฟก็ไม่อยู่บ้าน นอนก็ไม่ได้อดนอนขนาดต้องนอนกักตุนหรือชดเชยขนาดนั้น มาคิดเอาเองว่า ถ้าเซ็งงานปัจจุบันนักงั้นหางานใหม่ทำกันดีกว่า..พอเริ่มต้นหาก็รู้สึกดีใจที่ว่า..มันช่วยเตือนให้นึกถึงเมื่อครั้งยังไม่มีงานทำงานทำว่า มันเครียดและเหนื่อยใจขนาดไหน..มาวันนี้มีงานทำ(ที่แสนสบาย)แบบนี้ก็ดีแล้ว..ว่าแล้วก็ช่วยสมรรถภาพในการทนดีขึ้น..ก็เลยค่อยหายหงุดหงิดไปได้หน่อย
จากนั้นเราก็ไปเอกเขนกดูทีวี ดูรายการประจำบ้าง ดูละครน้ำเน่าบ้าง อยากทำอะไรที่มันควรจะทำในวันหยุดแบบที่คนอื่นเขาทำกัน ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องรีบทำให้มันเสร็จตามเวลาไปเสียทุกอย่าง อาบน้ำสายหน่อยก็ได้ กินข้าวสายหน่อยก็ได้ แล้วเราก็หันไปทำนู่นนิดนี่หน่อย ก่อนไปลงมือทำเกี๊ยวหมูกุ้งที่ตั้งใจจะทำใส่ตู้แช่เก็บไว้เป็นอาหารฉุกเฉิน ทำไปชิมไปกว่าจะได้ที่ ใช้เวลาไปตั้งสองชั่วโมง..ตกใจไม่น่าเชื่อ ไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้..เทรฟโทรมาหาตอนพักเที่ยง คุยกันนิดหน่อยพร้อมกันนัดแนะว่าเย็นนี้จะกินอะไร ก่อนจะวางไป..
น่าแปลกที่ว่ากับการที่ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่เรากลับรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด แล้วเราก็ได้คำตอบกับตัวเองว่าสิ่งที่เราทำหายไปก็คือ "สมดุลของชีวิต"
ช่วงเวลาที่ผ่านมาตารางเปลี่ยนไปมา เราทำงานกะบ่ายเสียส่วนใหญ่ เลิกงานสามทุ่ม ซึ่งก็หมายความว่าเราไม่มีโอกาสกินข้าวเย็นกับเทรฟเลย กลับมาถึงก็เหนื่อยหมดแรง อาบน้ำ แล้วสลบไปเลย เช้าเทรฟตื่นไปทำงานเรายังงัวเงียอยู่ในที่นอน ก็เลยไม่ได้คุยกันอีก ส่วนเวลามื้อเย็นที่เราจะได้นั่งคุยกัน ทำกับข้าวด้วยกัน นั่งดูทีวีรายการบ้าๆ บอๆ ด้วยกัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องพูดถึง, จากเดิมที่ได้เรียนเต้นรำ ตีสควอช ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ค่อยๆ ลดลง ..
เราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้หายไป... เราไม่เถียงว่าเราต้องทำงานเพื่อให้ได้เงินมา แต่หากการไปทำงานนั้นนอกเหนือจากต้องแลกด้วยเวลาทำงานแล้ว ยังต้องแลกด้วยคุณภาพชีวิตและชีวิตครอบครัวแล้วละก็ เราว่ามันเริ่มไม่คุ้มแล้วล่ะ...เพราะนั่นมันหมายถึงเรากำลังทำงานเพื่อเงินอย่างเดียวใช่ไหมล่ะ..แล้วส่วนอื่นของชีวิตเราล่ะ..คนที่เรารัก ครอบครัว เวลาพักผ่อน สุขภาพ และด้านมุมอื่นๆ ของชีวิต.. มันก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันไม่ใช่เหรอ..เพราะเราก็พูด ก็อ้างกันอยู่ตลอดเวลาว่า เราทำ "งาน" เพื่อครอบครัว เพื่อคนที่เรารัก ก็แล้วถ้า "งาน" ที่ว่ามันกำลังทำลายครอบครัว ทำลายคนที่เรารัก หรือแม้แต่ตัวเราเองล่ะ..เคยคิดกันบ้างไหมว่า.."เงิน" ที่ได้มามันคุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม..