ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พุธ มิ.ย. 16, 2010 9:01 pm

ขอบคุณ ครับ รอตอนใหม่อยู่ ครับ #^ !$
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » ศุกร์ ก.ค. 23, 2010 10:48 pm

ก๊อก ๆ ก๊อก ๆๆๆ ก๊อก ๆๆๆๆๆๆ ครับ P' เล็ก รออยู่ ครับ #^ #^ #) #)
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย โค้ก โคราช » พุธ ก.ค. 28, 2010 11:28 pm

#& ช่วงนี้เหงาๆ รออ่านครับ #&
cokekorat@hotmail.com เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน cokekorat@yahoo.co.th
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
โค้ก โคราช
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 11037
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 12:40 am
ที่อยู่: โคคา โคลา โคราช

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ก.ค. 29, 2010 12:21 am

โทษทีๆๆ ช่วงนี้งานเข้า ตัวผมเองยังไม่ได้เปิดเมล์เลย $&
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:33 pm

19June2010 What a wonderful day :)

10.15am Sat 19th June 2010 @ Green Park House


What a very nice morning!
I got up with a lovely morning. The sun was shining out there. 'Aha! It's a good sign to go for running' I thought to myself.


It was such a nice feeling, lying in bed next to my lovely and wonderful husband (after, of course, had treated him to a cup of tea in bed. He loved it!)


After lingering for a while, we decided to get up and got ourselves ready for joking. As I said, it would have been too shame if we missed this chance.


Nice run around the neighbourhood, we ran to the BAWA, the leisure centre nearby our house. The field there is twice as big as a football pitch. It is lush and well-maintained, so tempting for have a good run.


The chilled breeze blew over, we could feel coldness in the air and, then, we realised the sun was gone! 'Where is the sun!?' Trev rather exclaimed than questioned it.


We slowed ourselves down to do a good walk home instead. At home, Trev dashed to laptop, turned it on, and went on line for booking air ticket for our holiday in next few weeks.


He was cursing and swearing at the EasyJet, airline website, which pretty much showed his dissatisfaction'. Meanwhile, I was sitting at the dining table, pottering with my breakfast, newspapers and my favourite book-a dictionary, along side.


I have told you, it was a wonderful day. Shame! I have to go to work today :(
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:35 pm

21June2010 วันอาทิตย์สุขสันต์

สิบโมงกว่า วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2010 บ้านกรีนพาร์ค บริสตอล


อ่ะฮ้า..ในที่สุดก็ได้มีเวลานั่งผ่อนอารมณ์เขียนไดอารี่อย่างสุขใจ วันนี้วันหยุดไม่ต้องไปทำงาน หลังจากตรากตรำทำงานติดกันห้าวันรวด (ถือว่าติดต่อกันนานเกินไปสำหรับงานนี้ เพราะมีวันหยุดขั้นแค่วันเดียว) แต่ที่ต้องทำเพราะวันนี้มีเรียนขับรถ เราก็เลยแลกเวรกะฮันน่า


เมื่อวานวันอาทิตย์เราไปเข้างานตอนเช้าตามปกติแล้วก็ทำกับลอร่าเช่นเดิม แอบดีใจว่าครั้งนี้จะเป็นกะสุดท้ายที่จะได้ทำงานกับเธอ เพราะระอาเจ้าหล่อนเหลือทน หลังจากนี้ลอร่าได้เลื่อนขั้นไปเป็นคนคุมกะ (แปลซะเหมือนทำงานโรงงาน เรียก Shift runner ชิฟท์รันเนอร์ ดีกว่าเนอะ เพราะไม่ได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์แต่ทำงานหน้าที่ซุปฯ ..งงมะ..คือความต่างอยู่ตรงแค่ได้เงินเท่าพนักงานปกติแต่ต้องทำงานเท่าซุปฯ ..ไม่รู้เจ้าหล่อนจะอยากเป็นไปทำไม..อย่างว่า อำนาจไม่เข้าใครออกใคร เอิ๊ก)


ลอร่าเป็นคนทำงานที่เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจและทำใจก่อนร่วมงานกับเธอทุกกะไป เพราะเจ้าหล่อนขยันทำ ขยันช่วยนู่นนี่นั่นไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นงานในหน้าที่ตัวเอง...วันๆ เราเห็นลอร่าวิ่งไปช่วยคนนั้นคนนี้แก้ปัญหาสารพัด (ที่ไม่เกี่ยวกับงาน) ส่วนใหญ่เป็นเรื่องคนนั้นคนนี้อารมณ์เศร้า เหงา เซ็ง หรือไม่สบายใจ อยากออกไปสูดอากาศ(พิษ) เข้าปอดซะหน่อย หล่อนก็จะรีบวิ่งไปบริการทำงานแทนคนนั้นเพื่อที่เพื่อนร่วมงานจะได้แวบไปสูบบุหรี่ โดยที่ไม่บอกดิฉันซักคำ..พอเธอกลับมา (หลังจากที่หายยย..ไปพักใหญ่) เราก็ถามแบบสะกดอารมณ์โกรธสุดฤทธิ์ว่า ทุกอย่างโอเคหรือเปล่า? ..อืม ก็โอเคนี่..ลอร่าตอบแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน ..แล้วหายไปไหนมาตั้งนาน..เราซักต่อ เธอก็จะบรรยายสารพัด ฯลฯ เราสุดทนตอกกลับไปว่า ไปไหนทำอะไรก็ช่วยบอกกันหน่อย จะได้รู้ว่าใครอยู่ไหน เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาดิฉันเป็นคนรับผิดชอบนะเจ้าคะ..ลอร่าได้แต่ทำหน้ารำคาญเดินเลี่ยงออกไป..


นอกจากจะมีเหตุผลสารพันให้ออกไปนอกร้านแล้ว เธอยังมีธุระวุ่นวายกับโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะโทรหรือส่งข้อความ ทั้งๆที่นโยบายบริษัทห้ามใช้โทรศัพท์ในระหว่างเวลางาน..แต่ขอโทษ ไม่มีใครสนใจ..เราก็พูดไม่ออก..ส่วนใหญ่ถ้าร้านไม่ยุ่งเราก็ปล่อยให้เจ้าหล่อนทำอะไรไปตามอำเภอใจ เพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำ เราก็ทำงานของเราไป แต่ครั้งนี้ที่ผ่านมามันช่างเหลือทน..โชคดีที่ว่าเพราะความที่มันจะเป็นกะสุดท้ายที่ต้องทำงานร่วมกัน (คนคุมกะสองคนไม่ทำงานเจอกันอยู่แล้วนอกจากตอนเปลี่ยนกะ) เราก็เลยทำงานได้อย่างไม่ค่อยหงุดหงิดใจเท่าไหร่ อิอิ


พอบ่ายโมงครึ่งเทรฟมารับกลับบ้าน ถามว่าวันนี้ทำงานเป็นไง ทุกคนทำตัวกันดีหรือเปล่า? (เราบ่นเรื่องเพื่อนร่วมงานให้เทรฟฟังจนชิน) เราบอกไปอย่างเหลืออดว่า แย่ยิ่งกว่าเก่า ฮันน่า-คนคุมกะบ่ายต่อจากเรา มาเจอกับลอร่า เลยกลายเป็นคู่มหันตภัย ต่างคนต่างไม่ทำงานแถมเอาแต่ชวนกันดูดบุหรี่ ปล่อยเรากับเด็กใหม่อีกคนรับชะตากรรมไป เรามองนาฬิกาแล้วบอกตัวเองว่า "ไม่สนแล้ว ได้เวลาฉันกลับบ้านแล้ว เธอจะจัดการกับกะของเธอยังไงก็เรื่องของเธอ" ลอร่าหลังจากที่ตัวเองนับเงินในลิ้นชักแคชเชียร์ตัวเองเสร็จแทนที่จะช่วยกันทำงานในส่วนที่ทำได้ก่อนเลิกงานพร้อมเรา ก็เอาแต่เดินเมาท์ไปเมาท์มากับฮันน่านั่นแหละ แล้วก็ชวนกันออกไปสูบบุหรี่อย่างที่บอก รอเวลาเลิกงาน (ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง) ..เราเห็นพฤติกรรมแล้วก็สุดจะทนแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแกะดำมากขึ้นทุกที ..ถามตัวเอง หรือเราจะนั่งเฉยๆ รอเวลาเลิกงานอย่างที่พวกเขาทำกันบ้าง หรือเราจะทำแซนวิชในมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะเลิกงาน (เพราะเราสังหรณ์ใจว่าฮันน่าจะไม่ยอมทำแซนวิชเตรียมไว้ขายวันพรุ่งนี้อีกแน่ๆ แล้วคนที่เขาต้องมารับแซนวิชไปเปิดร้านกาแฟอีกร้าน ก็เป็นอันไม่มีของขายกัน) เราตอบตัวเองว่า ให้เรานั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร เราทำไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าเราทำเป็นไม่สนใจ ก็เท่ากับเราทำตัวไม่ต่างอะไรกับพวกแย่ๆ รอบๆตัวเรา..กลายเป็นว่าเราทำตัวเองให้มาตรฐานตกลงว่างั้น..คิดได้ดังนี้ก็ไม่เอาดีกว่า..ทำงานไป ใครไม่ทำก็เรื่องของเขา ..ลอร่าเองพอมาคุมกะแล้วเจอลูกน้องที่ทำพฤติกรรมเหมือนตัวเองก็คงจะพอนึกขึ้นได้บ้างล่ะว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ (หวังว่าอ่ะนะ)


หลังจากบ่นเพื่อนร่วมงานให้เทรฟฟังกระบุงใหญ่ เราก็ขับรถถึงบ้านกันพอดี วันนี้เราเตรียมทำหมูย่างเกาหลีกินกัน เทรฟทำหน้าที่เตรียมเครื่องเคราสารพัด เพราะเป็นความเชี่ยวชาญและความชอบส่วนตัว เทรฟก่อไฟเตาบาร์บีคิวแล้วก็เอากะทะหมูกะทะที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยเมื่อครั้งไปเจอเราที่เมืองไทยรอบแรก (รอบนั้นได้กะทะหมูกะทะกับหวดกลับมา เทรฟชอบใจสุดๆ ฮ่าฮ่า) แล้วก็เอาหมูกับเนื้อหมักมาย่าง..เพียงแต่บรรยากาศมันออกแนวแปลกๆ นิดนึงเนื่องจากเตามันไม่ได้อยู่บนโต๊ะอย่างทุกที แต่อยู่ห่างออกไปต้องเดินไปสองก้าว อารมณ์กึ่งบาร์บีคิวแบบอังกฤษกับหมูกะทะแบบไทย เลยทำเอาทำตัวไม่ถูกเหมือนกันแฮะ เพราะปกติเราว่าบรรยากาศเฮฮาหน้าเตานี่แหละเด็ดสุด หนนี้มันต้องแบบเดินไปปิ้งๆ ย่างๆ แล้วมันก็ย่างแป๊บเดียวสุกไง ยังไม่ทันได้มีจังหวะคุย ย่างเสร็จก็ต้องกินเลยเดี๋ยวมันเย็น พอเอากลับมานั่งกินที่โต๊ะ อีกคนก็จะย่างอยู่ พออีกคนย่างเสร็จ เราก็กินหมดพอดี ได้เวลาเดินไปย่างใหม่อีกแล้ว..เอ้อ..แล้วแบบนี้มันจะได้คุยกันตอนไหนหว่า?? เราก็เลยตัดสินใจย่างที่เยอะๆจะได้นั่งกินนานๆ จะได้นั่งกินไปคุยไปกับเทรฟ..แฮ่..


อากาศช่วงนี้ดีถูกใจ มีแดดสดใส ฝนไม่ตก อากาศไม่ร้อนมากยังมีลมพอพัดมาเย็นๆให้ขนลุกได้อยู่ เป็นอากาศแบบที่เราชอบสุดๆ เพราะมันแห้ง มีแดด แต่ไม่ร้อน ดีสำหรับการตากผ้า ทำสวน และนอนกลางวัน ฮ่าฮ่า


ส่วนเทรฟหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาทั้งวัน ทั้งทำสวน ย้ายของ ทำลอฟท์ พอรับเรากลับมาแล้ว ก็ได้เวลาเลิกงาน เทรฟนั่งจิบเบียร์กลางแดดใส่แว่นตาดำ อ่านหนังสือพิมพ์หัวสี-Tabloid (หนังสือพิมพ์ประมาณไทยรัฐ เดลินิวส์บ้านเรา) ที่เราซื้อมาฝาก ไม่ใช่เพราะจะอ่านข่าว แต่จะเอาแผนที่ที่เขาแถมมากับหนังสือพิมพ์..ก็แหม..กำลังอยากได้แผนที่ไว้ขับรถไปสก็อตแลนด์พอดี จะซื้อแผนที่อย่างเดียวก็หลายตังค์ โปรโมชั่นนี้เลยเป็นที่ถูกใจเทรฟ ย้ำนักย้ำหนาให้เราเอามาฝากให้ได้ (อ่อ..งานที่เราทำมีร้านขายหนังสือพิมพ์รวมอยู่ด้วย) นอกจากหนังสือพิมพ์หัวสีแล้ว เราก็ซื้อหนังสือพิมพ์คุณภาพที่เขาเรียกว่า Broadsheet มาอีกฉบับ (อารมณ์เดียวกับมติชน กรุงเทพธุรกิจบ้านเรา) เพราะเรากำลังตามข่าวเรื่องงบประมาณฉุกเฉินของที่นี่อยู่ ฉบับนี้มีบทความน่าสนใจก็เลยหยิบมาด้วย อ่านหนังสือพิมพ์ที่นี่ต้องระวัง เพราะแต่ละฉบับจะมีจุดยืนทางการเมืองที่ต่างกันออกไป ทิศทางข่าวก็จะเอนเอียงไปตามนั้น อ่านปนๆกันไปก็จะพอได้ข้อเท็จจริงว่ามันมีอะไรอยู่บ้าง ใครเข้าข้างใคร ใครด่าใคร เราเลยต้องซื้อเวียนๆกันไปตั้งแต่ The Times, The Guardians, Daily Telegraphs, Independent ส่วนใหญ่จะดูก่อนว่าข่าวพาดหัวของแต่ละฉบับเป็นเรื่องอะไรแล้วค่อยซื้ออันนั้น


กินกันไป เมาท์กันไป เสร็จแล้วก็นั่งตากแดดอุ่นๆอ่านหนังสือพิมพ์กันอยู่ตรงนั้นจนแดดเริ่มหมด เราก็ย้ายตัวเองมานั่งในบ้านแทน นั่งดูทีวี ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรียกว่าเป็นบรรยากาศเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ได้มีเวลาอยู่กันสองคนบ้างหลังจากที่ทั้งอาทิตย์แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันยกเว้นตอนเข้านอน..เราเลยค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย..ฉะนั้นแหมว่าวันนี้ต้องอยู่บ้านคนเดียวก็เลยไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวก็หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย, ไปเรียนขับรถ แล้วก็รอเวลาเทรฟกลับบ้านมากินข้าวเย็นด้วยกันอีก..ดีจริงๆ เชียว
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:35 pm

22June2010 วันฟ้าใส?


สิบโมงเกือบครึ่งแล้ว วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2010 @ บ้านกรีนพาร์ค


ช่วงอาทิตย์นี้อากาศดีเกือบทั้งอาทิตย์ ฟ้าฝนเป็นใจ แดดจ้าฟ้าเปิดเราเลยถือเป็นฤกษ์ดีหวนกลับมาซ้อมวิ่งอีก หลังจากที่ร้างลามาเดือนกว่า ก็แหม..พอผ่าน 10K run ก็เลยหมดข้ออ้างและแรงจูงใจให้ออกไปวิ่ง ประกอบกับสองคนก็วุ่นวายกับเรื่องในบ้านไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น แต่แล้วร่างกายก็ส่งสัญญาณร้องเตือนว่า..ไม่ได้แล้วนะ ชักจะร้างลาการออกกำลังกายมานานเกินไปแล้ว วันนี้เลยเป็นวันที่สองแล้วที่เราออกไปวิ่งตอนเช้า วันนี้วิ่งได้สี่รอบสนาม ดีใจเป็นที่สุด ตั้งใจไว้ว่าจะซ้อมให้คงเส้นคงวาเผื่อปีหน้าจะมีหวังได้ไปร่วมวิ่งฮาร์ฟมาราธอน (Half Marathon)กับเขาบ้าง อ่อ..ระยะทาง 20 กิโลเมตรจ้า


เมื่อวานเริงร่าเพราะเป็นวันหยุด นอกจากหางานบ้านทำในระหว่างที่รอเวลาเรียนขับรถแล้ว พอเลิกเรียนกลับมาก็ได้เวลาสามีกลับบ้านพอดี เมื่อวานเย็นเรามีนัดไปซื้อของกัน ไม่ได้ไปซื้อของพร้อมกันนานมากแล้ว เพราะไม่เคยหยุดตรงกันซักที หนนี้มีเป้าหมายพิเศษคือ กล่องข้าวกลางวันเทรฟ..ปกติเทรฟจะทำแซนวิชไปกินที่ทำงาน แต่เราเห็นเทรฟกินแบบนี้มาเป็นหลายสิบปีแล้วก็เลยสงสัยว่า ไม่เบื่อบ้างเหรอ เทรฟก็ว่าเบื่อแต่ไม่มีเวลามากพอจะรังสรรค์อะไรหวือหวาให้ตัวเอง แต่หาอะไรทำง่ายๆ ไว้หยิบใส่ปากตอนกลางวันก็พอแล้ว..อ้อ อีกเหตุผลก็คือทำแซนวิชไปกินเองก็ประหยัดได้โขอยู่ เราสงสารเทรฟต้องทนกินแซนวิชชืดๆทุกวัน เราเลยอาสาว่า ปกติวันที่เราเข้างานกะบ่าย เราก็ต้องทำอะไรกินเป็นอาหารมื้อสายอยู่แล้ว (ต้องกินให้หนักพอที่จะอยู่ท้องได้จนถึงห้า-หกโมงเย็น เวลาเบรคปกติของเรา) ให้เราทำเผื่อไหม แล้วเดี๋ยวใส่กล่องเอาไปส่งให้ที่หน้าประตูที่ทำงาน เพราะยังไงที่ทำงานเทรฟก็เป็นทางผ่านเราไปทำงานอยู่แล้ว..เทรฟทำหน้าแปลกตอบๆกลับเรา..ตกลงจะเอาหรือไม่เอา เราถามซ้ำ..ดาร์ลิ่งไม่ต้องทำอาหารให้ผมกินทุกมื้อหรอก..อ่อ..ไอ้หน้าประหลาดๆ เมื่อกี้แปลว่าเกรงใจ..มะเป็นไรเทรฟ ยังไงโปร่งก็ต้องทำให้ตัวเองกินอยู่แล้ว ทำเผื่อเทรฟอีกคนก็ไม่ได้เสียเวลาเพิ่มขึ้นหรอก อีกอย่างเทรฟก็ได้กินกลางวันที่มันเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าแซนวิชอ่ะ ส่วนมื้อเย็นโปร่งไม่อยู่ เทรฟก็หากินเองอยู่แล้ว..พอเทรฟตกลงเห็นด้วย..เราก็เลยว่าเราต้องหากล่องใส่อาหารที่มันโยนเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟได้


เมื่อวานเราเลยได้ไปเยือนที่ช็อปปิ้งที่ใหม่ เว-โทส (Waitrose) ห้างไฮโซ ขายของแพงโครต แต่เค้กหน้าตาหน้ากินสุดๆ ..เลยเสร็จเรา เอาเลมอนชีสเค้กมาชิมกันซะดีๆ อ่ะฮ้า..อร่อย เปรี้ยวได้ใจ เนื้อเค้กนุ่มเนียนละมุนละไม ฮ่าฮ่าแบบนี้ต้องได้ไปเยือนกันบ่อยๆ แล้ว..อ่อ เราได้กล่องข้าวกลางวันกลับมาด้วย แหะ แหะ ยังไม่ลืมเป้าหมายเดิม..เหตุผลที่มาที่นี่แทนที่จะไปเทสโก้หรือห้างอื่นที่ถูกกว่า เพราะหนึ่งห้างอื่นมันไม่มีขาย สองถ้ามีขายก็คุณภาพไม่ค่อยน่าไว้วางใจ เราต้องการกล่องใส่อาหารที่คุณภาพดีพอสมควร ไม่งั้นมันจะมีกลิ่นพลาสติกหรือใช้ได้ไม่เท่าไหร่ก็ดูไม่เข้าท่า ต้องเปลี่ยนกันบ่อยๆ..(เราว่าลึกๆ เทรฟต้องไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ เพราะเป็นอันตรายกับเงินในกระเป๋า เอิ๊ก)


กลับมาถึงบ้านพร้อมกล่องอาหารสารพัดขนาดเป็นที่ถูกใจคุณเทรฟ เลือกซ้ายเลือกขวาหาขนาดที่มันจะใส่ลงในกระเป๋ากล่องข้าวกลางวันที่ได้มาจากเทสโก้วันก่อน กระเป๋ามันก็ใบไม่ใหญ่ กล่องเข้าคุณเทรฟก็เลยขนาดกระจ่อยร่อย เทรฟว่าเนี่ยขนาดกำลังดีซ้อนกันแล้วใส่กระเป๋าได้สบาย (อะไรก็แล้วแต่ขอให้ได้ใช้กระเป๋าใบนี้ เป็นความชอบส่วนตัวของเทรฟ) เรามองกล่องแล้วถามเทรฟว่า เทรฟจะกินอิ่มเหรอนั่น ..เอาน่า..ลองก่อน ถ้ามันเล็กไปไว้ค่อยว่ากัน..(บอกแล้ว! ว่าไม่ว่ายังไงก็ขอให้ได้ใช้กระเป๋า..ใจเราน่ะอยากใช้กล่องใบใหญ่กว่านี้แล้วก็เอากล่องใส่ถุงพลาสติกหูหิ้วเอาก็ได้..แต่อ่ะนะ)


เสร็จจากซื้อของก็ได้เวลาข้าวเย็น เมนูวันนี้้เราลองทำปลานึ่งสองรสชาติให้เทรฟทาน คือปลานึ่งมะนาว กับปลานึ่งบ๋วย ปลานึ่งมะนาวเทรฟกินบ่อยและชอบมาก ทำเป็นอีกต่างหาก ส่วนอย่างหลังยังไม่เคยทำให้กินเลยลองทำให้ทาน พอดีปลามันชิ้นใหญ่ ที่นึ่งเราก็เล็กน่ารัก เลยได้แบ่งครึ่งชิ้นปลาทำสองอย่างพอดี อ้อ มีแถมผัดคะน้ากับกะหล่ำปลีใส่น้ำมันหอยเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกจาน


อิ่มหมีพลีมันกันไปเสร็จก็มานั่งจ้องทีวีกันตามระเบียบ วันนี้รายการที่เราตั้งใจว่าต้องดูให้ได้คือรายการพิเศษเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดินฉุกเฉินที่จะประกาศโดยรัฐบาลเย็นวันนี้ (วันอังคาร)


รายการที่ว่านี้เป็นรายการที่สถานีโทรทัศน์จัดขึ้นเพื่อหยั่งเสียงประชาชนเรื่องการ "หั่น" งบประมาณครั้งใหญ่เพื่อประหยัดเงินให้ได้แสนล้านปอนด์ (?100 billion)


เราชอบรูปแบบการทำรายการของเขา เขามีคนดูจากทางบ้านเข้ามาร่วมรายการประมาณสองถึงสามร้อยคน พิธีกรจะหยิบยกประเด็นข้อเสนอต่างๆที่รัฐบาลจะทำการตัดงบและตัวเลขเงินงบประมาณที่คาดว่าจะประหยัดได้ พร้อมทั้งทางเลือกเกี่ยวกับประเด็นนั้น เช่น ประเด็นการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 17.5% เป็น 20% ก็จะมีทางเลือกว่าควรเพิ่มแต่ไม่ควรเพิ่มทุกสินค้า ให้ยกเว้นสินค้าประเภทอาหารและเสื้อผ้าเด็ก หรือขึ้นทุกอย่าง หรือไม่ต้องทำอะไรเลย เป้าหมายของรายการก็คือให้ประชาชนช่วยกันหาทางออกเพื่อที่จะหาเงินให้ได้แสนล้านปอนด์เพราะเงินส่วนนี้จะเป็นการช่วยลดการขาดดุลของงบประมาณแผ่นดิน


พิธีกรเริ่มต้นแต่ละประเด็นด้วยการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้คำอธิบายและเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นมาตรการอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วพิธีกรก็จะถามความเห็นคนในห้องส่ง แล้วก็โหวต..รูปแบบก็ง่ายๆ แค่นี้ แต่ที่น่าสนใจมีอยู่หลายประเด็นคือ
หนึ่ง ประชาชนเข้าร่วมรายการแสดงให้เห็นว่ามีการทำการบ้านมาดี พูดตอบด้วยความกระชับ ทุกคนแสดงความเห็นบนจุดยืนของตัวเอง เช่นถ้าตัวเองเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกคนเดียวแล้วต้องเสียผลประโยชน์จากมาตรการนั้นๆ เขาก็จะพูดตรงๆ ไม่มีท่าทีของการพูดให้ดูดีหรือให้ดูเป็นปัญญาชนเพราะตัวเองกำลังออกทีวี แต่ทุกคนมาจากหลากหลายอาชีพ ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไปจากมาตรการภาษีในรูปแบบและระดับต่างๆ เรานั่งดูแล้วชอบใจที่คนของเขา "ไม่ดัดจริต" ดี โดยเฉพาะเรื่องมาตรการเกี่ยวกับการเก็บภาษีโบนัสของนายธนาคารให้มากขึ้น นายธนาคารทั้งหลายก็ออกมาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ ก็บอกว่า เพราะพวกนายนั่นแหละที่ทำให้เศรษฐกิจพัง เพราะฉะนั้นรับผิดชอบมาซะดีๆ ฮ่าฮ่า นั่งดูแล้วสะใจโครต


สอง เรื่องการเมือง กฎหมาย แนวนโยบายต่างๆ ของที่นี่เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด ทุกคน (ส่วนใหญ่)จับจ้องว่าตนจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง เพราะภาระภาษีและค่าครองชีพที่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ รัฐบาลออกมาพูดถึงเรื่องการตัดงบฯในส่วนสวัสดิการของข้าราชการ, พูดถึงการตัดลดงบประมาณในส่วนการบริการทางการแพทย์, ตัดงบฯช่วยเหลือคนตกงาน, ตัดงบฯประกันสังคม ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีผลกระทบกับคนทั้งประเทศโดยตรงและทันทีเมื่อประกาศใช้ เพราะงี้คนที่สนใจและตื่นตัวจึงอยู่ในสัดส่วนที่มากกว่าเมืองไทยมากมายนัก


สาม สื่อทำหน้าที่ในการแปลภาษายากๆ ให้เป็นเรื่องเข้าใจง่ายๆ เราจำได้ว่าเมื่อครั้งทำงานที่รัฐสภาแล้วถึงเวลาอภิปรายเรื่องงบประมาณ ก็เห็นมีแต่คอการเมืองกลุ่มเล็กที่ตามข่าว แถมตามแบบเอามันว่าใครหยิบอะไรมาด่าใคร มากกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าไอ้งบตรงนั้นตรงนี้มันใช้ทำอะไร เพื่ออะไร แต่ที่นี่ทุกสื่อตอบโจทย์เดียวกันว่า เขาจะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้อย่างไรว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรกับเงินในกระเป๋าพวกเขา อืม..เป็นโจทย์ยากที่น่าคิดและอยากฝากไว้กับผองเพื่อนในแวดวงสื่อมวลชนจ๊ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:38 pm

23June2010 What a mad day!?


9.02 am Wed 23rd June 2010 @ home on Green Park road


เมื่อวานเวลาสามทุ่มสิบห้า เราปั่นจักรยานกลับถึงบ้าน เข็นรถเข้าเก็บ เดินเข้าประตูบ้าน ถอดหมวกกันน็อก เสื้อสะท้อนแสง เทรฟเดินออกมาทักทายเช่นทุกที..เป็นไงบ้าง..เราทักทายกลับ พร้อมกับจัดแจงรื้อของในกระเป๋าเก็บเข้าที่เข้าทางไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือกล่องข้าวกลางวัน


"วันนี้งานเป็นไง" เทรฟถามเหมือนทุกครั้ง เพราะเรามักจะมีเรื่องที่ทำงานมาบ่นให้ฟัง
"งานเป็นไงน่ะเหรอ? เทรฟง่วงยังล่ะ" เราถามกลับ เทรฟทำหน้างงพร้อมส่งแก้วชาให้เรา แล้วเราก็เริ่มบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟัง


- -
เราก้าวเท้าเข้าที่ทำงานยังไม่ถึงสองนาที แมรี่แอนน์ (Marryann) ผู้ช่วยผู้จัดการที่รักษาการทำหน้าที่ทุกอย่างของผู้จัดการ (ยกเว้นแต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ) ก็ตะโกนออกจากอีกด้านของห้องว่า "สาวิตรี วันนี้เธอต้องทำงานคนเดียวนะ ไม่มีพนักงาน ฉันพยายามจะหาคนมาทำงานให้อยู่"
"อะไรนะ? ล้อเล่นหรือเปล่า?" เรามั่นใจว่าเราฟังไม่ผิดแน่ๆ เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น เราเดินเข้าไปใกล้แล้วถามแมรี่แอนว่า ใครที่ไม่มาทำงาน "แอนดี้ (Andy)" แมรี่แอนด์ตอบกลับมา เราไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร รอฟังต่อว่าเธอจะว่าอะไร


ร้านเราประกอบด้วยสามร้านย่อยคือ Uppercrust-อัพเปอร์ครัสต์ ขายบะเก็ตและกาแฟตั้งอยู่ในห้องพักผู้โดยสารของสถานีรถไฟ, ร้านที่สองอยู่ติดกันชื่อ The Shop เป็นร้านขายขนม หนังสือพิมพ์ เครื่องดื่ม อารมณ์ก็เหมือนเซเว่นบ้านเรา แต่ไม่มีขนมจีบซาลาเปากะข้าวกล่อง อ้อ ไม่มีสเลอบี้ด้วย (อิอิ) ส่วนอีกร้าน Ritazza เป็นร้านกาแฟเล็กๆ (ขนาดแบบที่เขาฮิตตั้งกันช่วงหลายปีก่อนในเมืองไทย) ขายกาแฟกับแซนวิช ตั้งดักลูกค้าอยู่ชั้นล่างบริเวณโถงทางเดินของสถานีฯ


แอนดี้เป็นพนักงานในส่วนของ Shop (ที่ไม่ค่อยมีใครชอบขี้หน้า เพราะขี้โม้ อวดเบ่ง และชอบทำตัวเป็นเจ้านาย ทั้งๆที่ไม่ใช่ ..แหวะ) เพราะงี้เราเลยขาดคนทำงานที่ช็อป กะบ่าย (เริ่มตั้งแต่ราวๆ บ่ายโมง..เวลาเริ่มงานแต่ละกะของสามร้านไม่เหมือนกันทีเดียว) ปกติจะมีพนักงานทั้งหมดสี่คน คือหนึ่งคนที่ช็อป สองคนที่อัพเปอร์ครัสต์ และอีกคนที่รีทัสซ่า วันนี้ขาดคนทำงานที่ช็อป แผนแรกแมรี่แอนด์ว่า พอเดล (Dale) พนักงานอีกคนของอัพเปอร์ครัสต์เข้างาน ก็ให้เดลไปทำงานที่ช็อป ส่วนเราก็อยู่อัพเปอร์ครัสต์คนเดียว (ปกติต้องมีสองคนเพราะอีกคนทำบะเก็ท อีกคนขายของ)..ฟังดังนั้นแล้วเราก็ต่อรองว่า..อยู่คนเดียวก็ได้ แต่ต้องปิดร้านเร็ว (เวลาปิดปกติคือสองทุ่ม) แมรี่แอนด์ว่า ไม่ได้ ปิดเร็วไม่ได้ โทมัส (เจ้านายใหญ่) ไม่ยอม ระหว่างที่เจรจาอยู่นั้น แมรี่แอนด์ก็โทรหาโทมัสเป็นพัลวันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่ดีแน่ถ้าต้องทิ้งให้มีพนักงานอยู่ในร้านแค่ร้านละคน เพราะแต่ละคนจะไปพักเบรคไม่ได้ เพราะไม่มีใครไปเปลี่ยน


อีกแป๊บแมรี่แอนด์กลับมาพร้อมข่าวดีว่า พนักงานใหม่เอี่ยมคนล่าสุด ชอน (Sian) ซึ่งพึ่งมาเริ่มงานวันนี้ตอนสิบโมง ยินดีจะอยู่ทำงานที่ร้านให้ถึงห้าโมงเย็น พอหลังห้าโมงเย็นให้เราส่งเดลไปทำงานที่ช็อปถึงทุ่มนึง หลังทุ่มนึงให้เราไปเปลี่ยนเดล เพื่อปิดร้าน (ปิดร้านไม่ได้หมายความแค่ปิดประตู แต่หมายถึงเคลียร์เงิน เคลียร์สต็อค ล้างเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ฯลฯ) เราบอกว่าเราไม่เคยทำขั้นตอน Closing ปิดร้านที่ช็อปมาก่อน ไม่รู้ว่าต้องล้างเครื่องชงกาแฟยังไง, ต้องนับสต็อคตัวไหนบ้าง ต้องจัดการส่งคืนหนังสือพิมพ์ที่เหลือยังไง ฯลฯ แมรี่แอนด์เลยให้เราไปคุยกับเคลลี่พนักงานกะเช้าที่กำลังจะเลิกงานว่าต้องทำอะไรบ้าง


เราเดินเข้าไปในช็อปก็เห็นเคลลี่กำลังสอนชอนให้ใช้เครื่องคิดเงินในร้านเพราะไม่เหมือนกับเครื่องคิดเงินในรีทัสซ่าที่ชอนได้ฝึกเมื่อเช้า เราเข้าไปถามเคลลี่ว่าต้องทำอะไรบ้างตอนปิดร้าน เธอบรรยายสองสามอย่างซึ่งฟังแล้วก็รู้ว่าเคลลี่ไม่ค่อยเคยปิดร้านซักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่เคยมีใครบอกว่าต้องทำยังไงอีกต่างหาก เราฟังแล้วพยายามจำให้มากที่สุดที่จะมากได้ (ได้แต่บอกตัวเอง ได้แค่ไหนก็แค่นั้นละวะ) หลังจากที่ฟังพอข้อมูลที่ต้องการแล้ว เราต้องกลับไปที่อัพเปอร์คลัสต์เพื่อบอกเดลเรื่องนี้ (แมรี่แอนด์ยังคงโทรศัพท์วุ่นอยู่)


พอเราเจอเดลเราก็เล่าสถานการณ์ให้ฟังพร้อมกับแผนแก้ปัญหาฉุกเฉินที่ได้คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ พอเดลกำลังจะเริ่มงาน เราก็ได้ยินเสียงแมรี่แอนด์ตะโกนถามเรามาจากประตูหลังร้านว่า เห็นชอนไหม? เราก็..เห็นว่าไปเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ? ใช่ เขาบอกว่างั้น แต่นี่ไม่เห็นเลยอ่ะ แมรี่แอนด์ว่าต่อ
แล้วก็ผลุบหายออกไป อีกเดี๋ยวก็กลับมาใหม่พร้อมกับมารื้อๆล็อกเกอร์แล้วตะโกนถามเราอีกว่า..นี่ใช่กระเป๋าเธอหรือเปล่าสาวิตรี ..ไม่ใช่อ่ะ ของเราเป็นเป้.. อ้าวหาชอนไม่เจอเหรอ เห็นว่าไปห้องน้ำ แต่เอากระเป๋าไปด้วยนะ..ในห้องน้ำไม่มี แมรี่แอนด์ พร้อมกับเสริมต่อว่า..เธอออกไปแล้วล่ะสาวิตรี..อ้าว ไรอ่ะ ไปกันง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอ..เราฟังแล้วพยายามคิดตามอย่างงงๆ


สรุปก็คือ ชอนเผ่นไปเรียบร้อยแล้ว แผนการที่วางไว้เป็นกันยกเลิก แมรี่แอนด์เลยต้องกลับมาวิ่งวุ่นโทรศัพท์ใหม่อีกรอบ ในที่สุดแผนสำรองต่อมาก็คือ ปิดรีทัสซ่า แล้วให้ลิซ (Liz) ขึ้นมาทำงานที่ช็อปแทนจนถึงเวลาเลิกงานของเธอตอนหกโมงเย็น แล้วให้เดลไปทำตั้งแต่หกโมงถึงทุ่มนึง ส่วนเราก็ไปปิดร้านตอนทุ่มนึงตามแผนเดิม..โอเค แผนนี้พอไหว เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่โดนทิ้งให้อยู่ร้านคนเดียว


แต่ปัญหายังไม่หมด เพราะยังไงก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียว ปกติแล้วด้วยความที่ผังร้านเป็นเหมือนตัวยูนอนคะแคง มีหน้าร้านเป็นขานึงของตัวยู โต๊ะคอมอยู่ตรงส่วนโค้งๆของตัวยูแล้วครัวหรือหลังร้านก็เป็นอีกขาของตัวยูที่ขนานไปกับหน้าร้านแต่มีกำแพงกั้น พูดง่ายๆว่า ถ้าคุณทำอะไรหลังร้านคุณจะมองไม่เห็นเคาท์เตอร์ส่วนหน้า เพราะงี้จอกล้องวงจรปิด (ที่ไม่ได้มีเทปบันทึก) จึงช่วยได้มาก เพราะจะช่วยบอกว่ามีลูกค้ามายืนรอซื้อของที่หน้าร้านหรือเปล่า ถ้าเราวุ่นทำบ่ะเก็ตหรือล้างจานเราก็จะได้วิ่งออกไปเสริฟลูกค้าได้ แต่ปัญหาคือจอทีวีดันเสียซะงั้น พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีตาหลังแล้ว ถ้าจะทำอะไรหลังร้านก็ต้องคอยวิ่งกลับไปกลับมาเพื่อเช็คว่ามีลูกค้าหรือเปล่า แต่ถ้ามีใครนั่งทำงานที่โต๊ะคอมฯ เขาก็จะช่วยตะโกนบอกได้ แต่ถ้าอยู่คนเดียว ฮ่าฮ่า..ขำแต่หัวเราะไม่ออก..เพราะมันจะวุ่นไม่น้อย เพราะงานกะบ่ายอย่างเรา งานหลักก็คือทำความสะอาด ล้างกล่องใส่เครื่องปรุงสารพัดที่ใช้ทำบะเก็ต ถาดอบขนม อุปกรณ์จากเครื่องชงกาแฟ กวาดพื้น ทำความสะอาดตู้เย็น ฯลฯ สรุปก็คืองานหลังส่วนใหญ่อยู่หลังร้านนั่นเอง เพราะตกบ่ายแล้ว ร้านมักจะไม่ค่อยยุ่ง ส่วนงานทำความสะอาดส่วนหน้าร้านที่เป็นชั้นวางบ่ะเก็ตกับเครื่องชงกาแฟก็ทำอะไรมากไม่ได้นอกจากต้องรอทำหลังจากปิดร้านไปแล้ว


..เอาล่ะ ในเมื่อแผนการในการแก้ปัญหาเป็นที่ยุติ เราก็เริ่มจัดการแผนการปฏิบัติงานในส่วนของเรา เราพยายามทำความสะอาดร้านในส่วนที่ทำได้ให้มากที่สุด เพราะแมรี่แอนด์ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเป็นตาหลังให้เรา เราก็เร่งทำบ่ะเก็ตให้พอขาย (ทำมากก็ไม่ได้เพราะมันมีอายุการวางขายแค่สามชั่วโมง ทำมากขายไม่หมดก็ต้องทิ้ง เป็นต้นทุนร้านอีก เพราะงั้นต้องคิดให้ดี) บ่ายสามเป็นเวลาเบรคของลิซ พอลิซกลับมาจากเบรคเราก็รีบส่งเดลไปพักตั้งแต่ยังไม่สี่โมงเย็น (ปกติอัพเปอร์ครัสต์จะเริ่มพักราวๆ หลังห้าโมงเย็นไปแล้ว) เพราะไม่งั้นแล้วจะวุ่นจนไม่มีเวลาพัก (อ้อ..เวลาพักเป็นเรื่อง "ต้องมี" เพราะบริษัทคำนวณค่าจ้างจากจำนวนชั่วโมงในกะนั้นๆ ของพนักงาน หัก สามสิบนาที ซึ่งก็คือเวลาพัก หรือพูดอีกอย่างว่าบริษัทไม่จ่ายเงินให้สำหรับเวลาพัก เพราะงั้นก็ควรใช้เวลาสามสิบนาทีเป็นเวลาพัก เพราะถึงจะทำงานแต่บริษัทก็ไม่จ่ายเงินให้..งงไหมเนี่ย?)


พอเดลกลับมาจากพักเบรค ก็ได้เวลาเรากำลังวุ่นวายกับการทำบ่ะเก็ตล็อตถัดไปพอดี เราบอกเดลว่าเราจะรีบเตรียมของขายให้เสร็จอย่างด่วนเพราะเราจะได้ไปพักบ้าง ไม่งั้นหลังหกโมงไปแล้วเราสองคนจะไม่มีโอกาสได้พักอีกเลย เดลตกลงตามนั้น แต่สถานการณ์จริงมันดันไม่เป็นไปตามนั้นน่ะสิ..
แมรี่แอนด์แอบมาบอกข่าวร้ายเราว่า ของขายในช็อปเริ่มร่อยหรอ ต้องมีคนไปเอาสต็อคมาเพิ่ม ไม่งั้นชั้นมันก็จะดูว่างๆ นอกจากดูไม่ดีแล้ว ยังเสียโอกาสทางธุรกิจ เราก็โอเค จะพยายามยัดทุกอย่างให้ทันภายในเวลาหกโมงเย็น (ก่อนที่ลิซจะกลับบ้าน เพราะหมายความว่าอย่างน้อยก็ยังมีพนักงานที่ทำหน้าที่ขายของในร้านของทั้งสองร้าน ส่วนเราก็วิ่งวุ่นไป) เวลาตอนนั้นสี่โมงสี่สิบห้าแล้ว


ปัญหาอีกอย่างของการทำสต็อคหรือขนของจากห้องสต็อคขึ้นมาที่ร้านก็คือ มันต้องใช้กุญแจห้องเก็บของซึ่งลี (Lee) พนักงานคุมสต็อคเอากลับบ้านไปด้วยเช่นทุกที (จะทิ้งไว้ก็เฉพาะเย็นวันศุกร์ เพื่อให้คนทำงานเสาร์อาทิตย์จัดการสต็อคกันเอง) ลีโทรเข้ามาว่าจะเอากุญแจเข้ามาให้ อีกครึ่งชั่วโมงจะมาถึง ..หมายความว่าเรามีเวลาจัดการสต็อคก็ตั้งแต่ได้กุญแจจนถึงก่อนหกโมงเย็น..นี่ก็จะห้าโมงแล้ว บะเก็ตก็ต้องทำ ตัวเองก็ยังไม่ได้พัก ต้องทำสต็อคอีก..เอ้า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน


เราจัดการกับบะเก็ตก่อนเพราะเริ่มไม่มีของขาย จากนั้นก็รีบหาอะไรกินประกาศให้ทุกคนทราบว่า (จริงๆก็มีเดลคนเดียว) ข้าพเจ้ากำลังพัก (กรุณาอย่ารบกวน) แต่แล้วพอกินบะเก็ตไปได้แค่ครึ่งเดียว ลีก็มาถึง เรารีบแจ้นลงไปเอากุญแจเพราะพ่อคุณมาพร้อมกับน้องหมาอัลเซเชียนตัวยักษ์ ซึ่งไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้คนเท่าไหร่ ลีเลยไม่กล้าพาเข้าไปในตัวสถานี ได้กุญแจแล้วก็รีบเผ่นกลับขึ้นมาหวังใจว่าจะมารักษาผลประโยชน์ของตัวเองด้วยการกินอาหารเย็นให้เสร็จอย่างสงบสุข (ซักนิดนึงก็ยังดี)..แต่แล้วพระเจ้าก็ไม่เข้าข้าง..ลิซรีบส่งสัญญาณมาทันทีที่เราเดินผ่านหน้าร้านว่า เธออยากเข้าห้องน้ำ ..เราถอนใจ..เฮ้อ..ขอกินบะเก็ตให้เสร็จก่อนได้มะ อีกอย่างนี่ก็เวลาพักดิฉันด้วยนะคะ (มันไม่เหมือนเวลาพักซักเท่าไหร่เลยนะเนี่ย) ..เรากลับมานั่งกินบะเก็ตต่อก่อนที่มันจะเย็นชืดมากไปกว่านี้ ส่วนกล้วย โยเกิร์ต ส้ม แครอท ที่เอาใส่กล่องมากินด้วย สงสัยต้องเก็บไว้ก่อนแล้วล่ะ เพราะแค่บะเก็ตอย่างเดียวจะกินให้หมดก็แทบจะไม่มีโอกาส..เราจัดการตัวเองเสร็จก็รีบวิ่งไปรับช่วงต่อลิซ เพื่อให้เธอไปเข้าห้องน้ำ (ลิซเป็นเบาหวาน เพราะงั้นจะกลั้นฉี่นานไม่ได้ เพราะงี้ทุกครั้งที่เธอร้องขอการเข้าห้องน้ำ ห้ามปฏิเสธหรือปล่อยให้รอนาน เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพเพื่อนร่วมงาน..เฮ้อ)


ลิซไปห้องน้ำกลับมาแล้ว ก็ได้เวลาเราวิ่งวุ่นขนสต็อคขึ้นมาให้เร็วที่สุด สต็อคที่ว่าก็ได้แก่ พวกเครื่องดื่มน้ำอัดลมทั้งหลาย เพราะช่วงนี้อากาศร้อนของขายดี เวลาขอมาก็ต้องขนมาเป็นแพค แพคละสองโหล เพราะงั้นมันไม่เบาค่ะ แล้วของมันไม่ได้หมดอย่างเดียวนี่คะ สารพัดทั้งขนมถุงๆ และอื่นๆอีกมากมาย แต่เราเน้นหนักไปที่เครื่องดื่มมากกว่าเพราะมันต้องแช่ทิ้งไว้ให้เย็นด้วย เราเข็นรถเข็นขึ้นลง (ลิฟต์) ได้สามรอบก็หมดเวลา หกโมงเย็นได้เวลาซินเดอเรล่าลิซต้องกลับบ้าน เราวิ่งไปเปลี่ยนเดลที่ร้าน แล้วให้เดลไปทำงานที่ช็อปพร้อมกำชับว่า ถ้าไม่มีลูกค้าช่วยขนของขึ้นชั้นขายด้วย ไม่งั้นมันกองเกะกะเต็มไปหมด


ส่วนเราพอกลับมาร้าน ก็พยายามทำความสะอาดในส่วนที่ทำได้พร้อมกับต้องเดินกลับไปกลับมาเพื่อคอยดูหน้าร้านด้วย (ช่างเป็นอะไรที่เสียเวลาและไม่ได้งานสุดๆ เพราะพอจะเริ่มล้างจานก็ต้องคอยกังวลว่าจะมีลูกค้ามายืนคอยซื้อของ..คนที่นี่เขาไม่ตะโกนกันน่ะค่ะ ยกเว้นแต่เป็นลูกค้าที่สนิทๆกันเขาก็จะส่งเสียงให้เรารู้ ..แหม่..เกือบเขียนป้ายติดแล้วว่า..กรุณาตะโกนเรียก..แหะ แหะ แต่ไม่กล้า กลัวเผอิญเจ้านายผ่านมาตรวจร้านแบบไม่ตั้งใจ จะซวยกันไปใหญ่)


ในที่สุดอีกขั้นของความหฤหรรษ์ก็มาถึง ทุ่มนึง ได้เวลาปิดช็อป เดลเดินมาถามเราว่าต้องทำไงต่อ เราบอกเดลกลับมาอัพเปอร์ครัสต์เดี๋ยวเราไปปิดช็อปเอง แล้วเราก็ไปปิดประตูม้วนหน้าร้านลงมาครึ่งนึงเป็นการบอกให้ลูกค้ารู้ว่า ดิฉันปิดแล้วนะคะ..แต่ก็ยังไม่วายมีคนมุดเข้ามาจะมาซื้อของให้ได้..เฮ้อ..


เราวุ่นวายกับเครื่องชงกาแฟ นับเงินในลิ้นชัก นับหนังสือพิมพ์ที่เหลือเพื่อส่งคืน หมายใจว่าต้องทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเพื่อที่เราจะได้ไปจัดการปิดร้านของตัวเองบ้าง เพราะทิ้งเดลไว้คนเดียวคงทำอะไรไม่ได้เยอะ (ก็อย่างที่บอกไม่มีตาหลังคอยช่วยมอง เพราะงั้นเฝ้าหน้าร้านไว้เป็นดีที่สุด) ในที่สุดเราก็จัดการปิดช็อปไปด้วยความทุลักทุเล หาอะไรก็ไม่เจอซักอย่าง ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป เพราะยังไงมันก็ต้องทำอะไรซักอย่าง เราบอกตัวเองอย่างนั้น


เรากลับมาที่ร้านตัวเองอีกทีตอนสองทุ่ม (ช้ากว่าที่ตั้งใจไปหน่อย แต่..เอาวะ ทำดีที่สุดแล้วนี่..แถมผลออกมาจำนวนเงินในลิ้นชักที่นับได้ก็ดูจะมีปัญหาอีก..เฮ้อ) เดลปิดร้านแล้ว เราตะโกนบอกเดลว่าขนของทุกอย่างที่ต้องล้างมาเรียงกันไว้หลังร้านให้เราแล้วให้เดลเริ่มนับเงิน (Cash up) ไปได้เลย เราล้าง ล้าง ล้าง ด้วยสปีดสูงสุดเท่าที่เราทำได้ เดลทำหน้าตาเครียดสุดๆ เพราะวันนี้มันวุ่นวายเหลือใจ แถมร้านก็วุ่นขายดีเป็นกำลัง เดลแอบบ่นว่า วันนี้ต้องกลับบ้านช้าแน่ๆเลย..เรารีบตอบออกไปว่า ไม่หรอกเดล ถ้าเธอไว้ใจเราทำตามที่เราบอก เราจะไม่ปล่อยให้เธอกลับบ้านเกินสามทุ่ม-เวลาเลิกงานปกติ..เราบอกไปอย่างนั้นและเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แม้ว่าเราจะเริ่มทำความสะอาดร้านตอนสองทุ่มแทนที่จะเป็นหกโมงเย็นเช่นทุกที


และแล้วในที่สุดเดลก็ได้กลับบ้านเวลาสองทุ่มห้าสิบนาที..


เราปิดร้านเสร็จภายในเวลาและไม่ต้องกลับบ้านเลท..อืม..เจ๋งมากสาวิตรี
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:45 pm

14July2010 แหะ แหะ หนนี้หายไปนานจริงๆ?


บ่ายสามโมงสองนาที วันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2010 @ Green Park House


ทำงานบ้านเสร็จแล้ว เอามันแค่ห้องรับแขกกับโถงทางเดินก่อนแล้วกัน วันหลังค่อยว่ากันใหม่ ง่วงแล้วนี่นา วันนี้เข้างานตีห้าพึ่งเลิกงานกลับมาถึงบ้านเอาตอนบ่ายโมง


ช่วงที่หายไปไม่ใช่ไม่มีเรื่องให้เขียน แต่มีเรื่องเยอะจนไม่มีสมาธิจะเขียน เพราะต้องเอาหัวสมองไปจัดการกับเรื่องตรงหน้าก่อน วันนี้ถ้านึกอะไรได้ก็จะเล่าให้ฟังแล้วกัน เรียกว่าถ้าเรื่องมันกระโดดไปกระโดดมาก็อย่าถือสาคนกำลังง่วงนอน (ก็แล้วทำไมมันไม่ไปนอนซะล่ะ...ก็เพราะถ้าไปนอนก็จะเป็นอีกวันที่ไม่ได้เขียนไดอารี่นะจิ)


เริ่มตั้งแต่เรื่องลาพักร้อน (ที่นี่..ประเทศอังกฤษเรียกฮอลิเดย์ Holiday แต่อเมริกันเรียก vacation นะคะ) เทรฟดำริเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะตัวเองมีโปรแกรมต้องเดินทางไปเรื่องงานสองที่ด้วยกัน ที่แรกคือสก็อตแลนด์ ไปตรวจรับงานระบบเรดาร์ของเรือรบลำล่าสุดที่กำลังต่ออยู่ เป็นเรือรบที่ระบบเทคโนโลยีภายในเรือทันสมัยที่สุดเท่ามีอยู่ในปัจจุบัน มีระบบเรดาร์ที่ตรวจจับสัญญาณได้ทั้งระยะสั้นและระยะไกลกับอีกสารพัดเครื่องมือ (อย่าได้เผลอไปถามเทรฟเรื่องนี้เข้าเชียว เป็นเมาท์ให้ฟังไม่เลิก แถมจะคุยทับอีกว่าเรือที่ว่าก็มีหน้าที่เป็นแค่ "ฐาน"รองรับระบบเรดาร์ที่ตัวเองออกแบบเท่านั้นแหละ เพราะที่เจ๋งสุดของเรือก็คือระบบเรดาร์นี่แหละ..เฮ้อ..สามีดิฉัน) ถ้าเราติดสอยหอยตามไปด้วยได้ ก็จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมน้องสาวเทรฟที่ย้ายไปอยู่ที่สก็อตแลนด์ ..ส่วนเรื่องเรือเราไม่มีหวังได้ไปเหยียบเพราะถือเป็นเขตหวงห้ามพิเศษ..ก็แหม..เรือรบนี่คะ มะใช่เรือสำราญ จะได้ไปเดินชมวิวได้อ่ะเนอะ


ที่ที่สองที่จะไปก็คือฝรั่งเศส คุณสามีมีประชุมระดับนานาชาติเรื่องเรดาร์ (อีกแล้ว) ก็เลยจะพ่วงดิฉันไปด้วย เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตาบ้านนอกอย่างดิฉัน (ให้ไกลกว่าสหราชอาณาจักร)


ปรากฏว่าดิฉันจองวันลาพักร้อนไม่ได้ค่ะ ทริปแรกยังไม่เป็นไร เพราะเทรฟมองว่าเราสองคนก็คงไม่ค่อยได้เที่ยวด้วยกันเท่าไหร่เพราะเทรฟต้องทำงานตลอด แถมช่วงเย็นเราก็ต้องกินข้าวคนเดียว เพราะเทรฟคงต้องไปกินกับลูกค้า เมื่อจองวันพักร้อนให้ตรงกับกำหนดการของเทรฟไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ค่อยจองอาทิตย์ถัดไปก็ได้..ปัญหานี้ก็ตกไป


ส่วนทริปที่สองไปฝรั่งเศส เทรฟมีกำหนดประชุมช่วงปลายเดือนกันยายน เราก็ไปจองวันพักร้อนตามสั่ง ปรากฏว่าก็จองไม่ได้อีก เพราะมีคนจองไว้ก่อนแล้ว ..เราโทรไปบอกเทรฟ เทรฟเคืองใหญ่ว่า..ไรฟะ วันนู้นก็ไม่ได้วันนี้ก็ไม่ได้ โปร่งลองเช็คใหม่อีกทีดิ เผื่อคนที่เขาจองไว้ก่อนอาจจะไม่อยากใช้วันที่จองไว้แล้วก็ได้นะ..อ้าว เทรฟ ถ้าเขาจะไม่ใช้วันพักร้อนวันนั้นแล้วเขาจะจองไว้ทำไมอ่ะ..เราก็อู้อี้เถียงไป...จะว่าไปนี่ขนาดจองล่วงหน้าตั้งเกือบสามเดือนนะเนี่ย ยังช้ากว่าชาวบ้านเขาอีก


พูดถึงเรื่องลาพักร้อน เรื่องนี้มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่อย่างคือตอนที่ไปจองวันลาพักร้อนกับแมรี่แอนด์ อย่างเดียวที่เราต้องทำก็คือเอาแบบฟอร์มมากรอกว่าต้องการลาวันไหนถึงวันไหน แล้วจะพร้อมกลับมาทำงานวันไหน แล้วแมรี่แอนด์ก็จะเช็คดูว่าวันที่ต้องการมีคนลาไปก่อนล่วงหน้าแล้วหรือยัง อย่างตอนนี้ที่ร้านขาดคนก็เลยจะมีคนลาพักร้อนในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าสองคนไม่ได้ ถ้ามีคนลาแค่คนเดียว เราก็ลาได้..ว่างั้น


ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า การลาพักร้อน (ซึ่งเราเหมารวมเอาเองว่าที่ทำงานอื่นๆของประเทศนี้ก็คงมีหลักเกณฑ์คล้ายๆกัน) เขาไม่สนใจว่าคุณจะลาไปไหน ไปทำอะไร ไปกี่วัน (ตราบเท่าที่คุณยังมีสิทธิลาได้อยู่ และไม่ขัดกับกฎของบริษัท) คุณจะลาไปเที่ยว ไปเยี่ยมญาติ ไปทำธุระที่สำคัญอย่างที่สุดหรือไม่สำคัญเลยเขาก็ไม่สน เพราะสิ่งที่เขาสนคือ เมื่อคุณมีสิทธิคุณก็ใช้สิทธิของคุณเท่านั้นเอง ไม่เหมือนกับที่เรารู้สึกตอนอยู่เมืองไทยว่า ..ถ้าจะลาพักร้อนก็ต้องไปเลือกเอาช่วงงานไม่ชุก หรือมีคนอยู่ทำงานแทน ไม่ใช่ช่วงนั้น ช่วงนี้ของปี ฯลฯ เรียกว่าต้องคิด ต้องเกรงใจกันสารพัด ไปๆ มาๆ ก็เลยไม่ได้ลาพักร้อนกันซะที เลยใช้วิธีเลี่ยงบาลีด้วยการลาหัวลาท้ายพ่วงวันหยุดยาวเอาซะงั้น ซึ่งเราว่าอย่างหลังนี่มันออกจะดูขี้โกงหน่อยๆ (อิอิ) ลีน่าเพื่อนที่ทำงานพูดกับเราประโยคนึงว่า..ก็ถ้าเราอยากลาพักร้อน ก็เพราะเราอยากพักร้อน ไม่เห็นต้องไปสนใจเลยว่าจะมีใครมาทำงานไหม เพราะเมื่อเราแจ้งล่วงหน้า (ที่นี่แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยสี่สัปดาห์) ก็เป็นหน้าที่ของบริษัทที่ต้องหาคนมาทำงานแทนเรา ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปกังวลซะหน่อย..เออ จริงด้วยเนอะ


หมดจากเรื่องลาพักร้อน ซึ่งสุดท้ายทางออกของเรื่องนี้ก็คือ ในที่สุดเราก็ได้วันลาพักร้อนที่ตรงกับทริปไปฝรั่งเศสของเทรฟ เพราะคนที่เขาจองไว้ล่วงหน้าคนนึงเขาเกิดลาออกจากงาน เราก็เลยยื่นขอไปใหม่..เมื่อมีคนลาช่วงเวลานั้นเหลือแค่คนเดียว..เพราะงั้นเราถึงได้สิทธิอีกหนึ่งที่ที่เหลือ..ฮี่ฮี่ ฟลุคไป


นอกจากเรื่องลาพักร้อนแล้ว ก็มีเรื่องหางานใหม่ที่ยังคงเป็นประเด็นอยู่อย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีประเด็นใหม่เอี่ยม (ถอดด้าม) เพิ่มเข้ามา..


..เทรฟ..เรามีลูกกันดีมะ?..เราถามเทรฟขึ้นมาลอยๆ ตอนนั่งดูทีวีด้วยกัน แต่ไม่ใช่ถามไปงั้นๆ เพราะหนนี้เราหมายความตามนั้นจริงๆ ..


ประเด็นของเราเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลูกแต่เป็นประเด็นต่อเนื่องจากเรื่องนี้ต่างหาก..ใครจะไปคิดว่าเรื่องมีลูก เรื่องหางานใหม่ และเรื่องวันลาจะมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง

ฮ่าฮ่าฮ่า..เรื่องนี้ขอติดไว้เล่าในฉบับต่อไปแล้วกันนะ เกริ่นเรียกน้ำย่อยไว้ก่อน อิอิ


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:49 pm

15July2010 กลับมาเล่าต่อ..ฮี่ฮี่?


เกือบสองทุ่มแล้ว วันพฤหัสฯที่ 15 กรกฎาคม 2010 @ Green Park House


เราชวนเทรฟมีลูกด้วยความรู้สึกว่า "พร้อม" แล้วจริงๆ เป็นความรู้สึกล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับการมีบ้าน มีงานทำ หรือแม้แต่เรื่องสถานะภาพทางการเงิน เรากลับรู้สึกเอาเข้าจริงๆ เรื่องความรู้สึกของตัวเองนี่แหละสำคัญที่สุด เพราะเราอยากรู้สึกว่า "ลูก" เป็นส่วนหนึ่งของแผนการในอนาคต ไม่ใช่ภาระหรือตัวถ่วงที่อาจทำให้แผนที่อยากทำมีเหตุให้ต้องล่าออกไป เราอยากรู้สึกว่า ลูกจะเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนในอนาคตต่างหาก อ้อ คนละความหมายกับที่ว่า "วางแผนในอนาคตให้ลูก"นะคะ..มะเป็นไร ความรู้สึกเรื่องนี้ซับซ้อนแล้วก็ตีความต่างกันออกไปได้ต่างๆ นานา อีกอย่างเราก็ยังไม่ได้กำลังท้อง บางทีถึงเวลานั้นจริงๆ ความรู้สึกเราอาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้..ยังไงซะ นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่อยากเล่าวันนี้ ..อ่ะ เข้าเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า


การมีลูก การหางานใหม่และวันลา..อืมสามเรื่องนี้มาเกี่ยวกันก็ตรงที่..
พอเราคิดเรื่องมีลูกขึ้ันมาเราก็เกิดฉุกใจเรื่องวันลาคลอดขึ้นมา เพราะที่ผ่านๆ มาเคยมีคนรอบข้างพึ่งกลับมาทำงานหลังจากลาคลอดไปอยู่หลายคน แต่เราไม่เคยสนใจเรื่องนี้จริงๆ จังๆ เพราะตอนนั้นไม่เคยคิดเรื่องมีลูก


เราเกิดสงสัยขึ้นมาว่า เอ๊ะ เราจะเลี้ยงลูกไปทำงานไป หรือว่าเราควรจะลาออกมาเลี้ยงลูกอย่างเดียวดีกว่า..แต่คำถามนี้ตอบง่ายว่า ถ้าสามารถเลี้ยงลูกไปด้วยพร้อมกับยังมีรายได้เข้ามาด้วยมันก็ต้องดีกว่าขาดรายได้อยู่แล้วจริงมะ..พอประเด็นเรื่องยังคงมีรายได้ในขณะที่เลี้ยงลูกผุดขึ้น คำว่า "ลาคลอด" ก็เลยผุดเข้ามาในหัว แล้วเราก็เกิดสงสัยว่าเราเองมีสิทธิลาคลอดกับเขาหรือเปล่า เทรฟติงด้วยข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า งานแบบจ่ายรายชั่วโมงอย่างเราอาจไม่ได้สิทธิลาคลอด แล้วยิ่งเราเซ็นสัญญา (ชั่วโมงทำงานขั้นต่ำ) แค่ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่ากับชั่วโมงทำงานแบบพาร์ทไทม์ (Part time) กับอีกข้อก็คือตามสิทธิของประเภทวีซ่าที่เราถือ เราจะมีสิทธิได้ลาคลอดหรือเปล่า?? อืม น่าสนใจ (แม้ว่าเราจะค่อนข้างมั่นใจว่าประเภทวีซ่าไม่ควรจะมีผลกับเรื่องนี้ก็ตาม..มะเป็นไร จะลองไปเช็คดู)


วันรุ่งขึ้นเราก็เลยไปถามเรื่องนี้กับแมรี่แอนด์เพราะในคู่มือพนักงานเขียนว่า ให้ถามกับผู้จัดการเพราะข้อมูลเรื่องนี้อยู่ในระบบฐานข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของบริษัท..แล้วแมรี่แอนน์ก็ได้คำตอบมาให้เรา..คำตอบที่เราได้ตรงหน้าเป็นคำอธิบายยืดยาวหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ จนเราไม่สามารถทำความเข้าใจได้ในทันทีที่เราอ่านมันบนหน้าจอคอมฯ เราขอให้แมรี่แอนน์ปริ๊นท์ออกมาให้เรา เพื่อเราจะได้เอาไปอ่านทำความเข้าใจอีกที..


สรุปใจความให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ พนักงานคนใดที่ทำงานให้กับบริษัทตั้งแต่ 26 สัปดาห์ (ราวหกเดือนครึ่ง) มีสิทธิลาคลอดได้ ซึ่งจะเริ่มลาคลอดได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณหกเดือนขึ้นไป และสามารถลาได้นานถึงหนึ่งปี (ว้าว) โดยที่ประมาณ 6 เดือนแรกของการลา (ถ้าจำตัวเลขไม่ผิด) จะได้ค่าจ้าง 90%ของค่าจ้างปกติ จากนั้นหากลาต่ออีกจะได้แค่ ?97 (ราวเกือบห้าพันบาท) ต่อสัปดาห์แต่จะได้เงินถึงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น จากนั้นส่วนที่เหลือจะลาได้แบบไม่ได้เงิน ฯลฯ รายละเอียดยังคงมีอีกยาวเหยียด ..แต่ประเด็นใหญ่ใจความก็อยู่ที่...โห! ลาได้ตั้งปีนึงแน่ะ บางคนฟังแล้วก็บอกว่า งั้นก็ลาเอาเท่าที่เขาจ่ายเงินให้สิ เขาเลิกจ่ายเมื่อไหร่ก็กลับไปทำงาน แต่เรากลับมองว่า ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ได้เงินหรือไม่ได้เงินอย่างเดียว เพราะถึงแม้ลาแบบไม่ได้เงินแต่ลูกต้องมีคนดู ถ้าเรากลับไปทำงานเราก็ต้องหาที่ฝากลูก (ที่นี่ไม่ได้มีพ่อตา แม่ยายเป็น 'in-house-baby-sister' ไว้เป็นที่พึ่งอย่างเมืองไทย ที่ว่าปู่ย่า ตายายถือเป็นพี้เลี้ยงเด็ก(หลาน)แบบ24/7 ไม่ว่าจะโดยเต็มใจหรือจำยอม และไม่ว่าจะเป็นแบบได้ค่าตอบแทนหรือควักเงินจ่ายเอง(อีกต่างหาก) อิอิ) เพราะงี้ที่พึ่งก็จะกลายเป็นสถานรับดูแลเด็กอ่อน ซึ่งที่เหล่านี้ไม่ใช่ถูกๆ เผลอๆ ทำงานมาก็เอามาจ่ายค่าเลี้ยงลูกหมด ..เพราะงี้บางทีการมีตัวเลือกว่าเราลาเลี้ยงลูกต่ออาจจะถูกกว่า(และดีกว่า) เสียด้วยซ้ำ


เมื่อประเด็นเรื่องอายุงานมามีผลกับสิทธิในการลาคลอด เพราะงี้การย้ายงานใหม่ในช่วงเวลาที่กำลังวางแผนจะมีลูกก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่มีทางรู้ว่าเราจะได้งานใหม่เมื่อไหร่ หรือเรากำลังมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในพุงตอนไหน แต่ถ้าเราทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆ ก็มั่นใจว่าเราได้สิทธิลาคลอดแน่ๆ ว่างั้น


เฮ้อ..ใครจะคิดว่าแค่ความคิดเรื่องการมีสมาชิกใหม่ตัวเล็กๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้ต้องคิดเยอะขนาดนี้เนอะ


(นี่ขนาดยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับแผนเรื่องลูกโดยตรงนะเนี่ย อืม..)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:54 pm

18July2010 ..ตาจะปิด..:O?


เกือบหกโมงเย็นแล้ว วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 2010 @ Green Park House


เฮ้อ...ลืมตาจะไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะอิ่มจัดหรือเพราะเมา ..เมาทีไรเป็นง่วงนอนทุกที.. ก็แหม วันนี้มีเมนูพิเศษทำเลี้ยงปลอบใจตัวเองให้หายเซ็งซะหน่อย หลังจากที่นอนหลับไม่สนิท กระวนกระวายใจไปทั้งคืนตั้งแต่เมื่อคืน


ก็จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ..ถ้าไม่ใช่ที่ทำงานสารพัดปัญหา เมื่อวานตอนเย็นฮันน่าโทรมา (ด้วยความหวังดี)ว่าโทรมาเตือนให้ทราบล่วงหน้าว่าโทนี่สาวน้อยผู้สมควรจะมาทำงานตอนเช้าวันอาทิตย์ (วันนี้) เกิดไม่สบายโทรมาลาป่วย เพราะงั้นเราจะไม่มีพนักงานที่ทำหน้าที่ขายของในช็อป เราฟังแล้วก็อืมๆๆ แล้วก็วางสายไป พอวางสายไปแล้ว เราก็ออกแนวงงๆว่า แล้วมันจะโทรมาบอกเราทำไมวะเนี่ย โทรมาบอกแต่ปัญหาแต่ไม่มีทางออกหรือทางเลือกอะไรมาให้ โทรมาให้เรากังวลใจ นอนไม่หลับซะเปล่าๆ (เฮ้อ)


ใจเราฟังแล้วก็ไม่อยากคิดอะไรมาก แต่สันดานเดิมมันแก้ไม่หาย พยายามคิดหาทางออกไปเรื่อย สุดท้ายก็ได้คำตอบ(ที่คิดว่าทำให้ตัวเองสบายใจที่สุด) ก็คือ มันไม่รู้หรอกว่าจะแก้ยังไงเพราะต้องดูว่าพรุ่งนี้เราเข้างานกับใคร อีกอย่างอย่างแย่ที่สุดก็แค่เปิดร้านไม่ได้..ก็ปิดมันไว้อย่างนั้นจนกว่าพนักงานกะถัดไปจะเข้างานก็แค่นั้น


ตอนเช้า..เราขอให้เทรฟไปส่งเราเข้างานเช้ากว่าปกติ เพราะเราอยากมีเวลามากขึ้นอีกหน่อยที่จะแก้ปัญหาที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว


เราเข้าไปในอัปเปอร์ครัสต์ตามปกติ อบขนมปังเตรียมของขายอย่างทุกที พอขนมปังเข้าเตาอบเราก็เริ่มลงมือโทรหาคนนั้นคนนี้ให้วุ่น เราส่งข้อความหาพนักงานสองสามคนเพื่อขอให้เขามาเข้างานแทน แต่เช้าวันอาทิตย์ตอนเจ็ดโมงเนี่ยนะ จะไปหาใครมาทำงานแทน (หาคนตื่นมารับโทรศัพท์ยังยากเลย) แล้วเราก็โทรไปหาผู้จัดการที่สาขาเทมเพิ่ลมีดส์ (Temple Meads) ซึ่งจริงๆ ก็โทรไปตามหน้าที่เพราะต้องรายงานสถานการณ์ให้ทราบ (เพราะร้านเรายังไม่มีผู้จัดการเป็นของตัวเอง) แล้วก็โทรไปบอกโทมัส (Thomas) Operations Manager นายใหญ่ที่คุมทั้งร้านเรา (แบบจำยอม) และที่เทมเพิ่ลมีดส์..ก็อีกตามเคย ไม่มีใครรับโทรศัพท์ เราก็ทิ้งข้อความไว้ตามธรรมเนียม..รู้หรอกว่ามันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครใส่ใจจะแก้ปัญหาให้ใครเท่าไหร่หรอก..คนแถวนี้น่ะ (เราเริ่มชินซะแล้ว)


ลำพังไม่มีคนเปิดช็อปก็แย่พออยู่แล้ว เราแอบหวังใจว่าเผื่อคนที่เข้างานกับเราที่นี่มาถึง เราจะได้วิ่งไปเปิดช็อปแล้วทิ้งอีกคนไว้ที่นี่ การณ์ปรากฏว่า..คนที่เข้างานกับเราคือมิสเตอร์ดีน (ไม่ใช่มิสเตอร์บีน เพราะไม่ทำให้ขำ..มีแต่ขำไม่ออก) Dean เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่อายุยังไม่ถึง 17 ด้วยความที่อายุยังน้อยนี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะดีนขายเครื่องดื่มอัลกอฮอล์และบุหรี่ไม่ได้ มันผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นไอ้ที่คิดว่าจะส่งดีนไปทำงานในช็อปก็พับไป ส่วนจะทิ้งให้อยู่ที่นี่ทำบะเก็ตขายไปก็ไม่ได้อีกเพราะพ่อหนุ่มไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้มีด ผิดกฏหมายอีกเช่นกัน (ครั้งแรกที่ได้ยินกฎนี้ อยากจะเถียงใจแทบขาดว่า..ลองถ้าเด็กคนไหนมันใช้เงินเป็น ซิ่งมอเตอร์ไซค์ได้แล้ว เรื่องเอามีดหั่นขนมปังแค่เนี้ย ไม่ทำให้ถึงตายหรอก..ฮึ่ม) แต่ก็นั่นแหละ กฎก็เป็นกฎ เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา โทษร้ายแรงถึงติดคุกได้ทีเดียว


..เฮ้อ..หมดปัญญา..ในที่สุดเราก็หาใครมาเปิดช็อปไม่ได้..ที่ทำได้ก็คือ..เราพยายามรีบทำบะเก็ตขายให้เสร็จ ส่งดีนไปพักเร็วหน่อย (เพราะตามกฎหมายคุณเธอต้องได้พักภายในสี่ชั่วโมงแรกของการ ทำงานอยู่แล้ว ไม่ใช่หกชั่วโมงอย่างคนทำงานทั่วไป) หวังใจว่าถ้าเตรียมของขายให้ดีนมากพอเราจะแวบไปเปิดช็อป ไปๆ มาๆ ทำได้ก็แต่จัดหนังสือพิมพ์ขึ้นชั้น..หนังสือพมพ์วันเสาร์อาทิตย์ของที่นี่จะมีพวกนิตยสารและคอลัมน์พิเศษพวกที่กินที่เที่ยวสารพัด หนาเป็นตับ ปัญหาอยู่ตรงที่ Supplement พวกนี้มาแยกกับตัวหนังสือพิมพ์หลัก เราต้องเอามันมาประกบร่างกัน..แล้วไอ้หนังสือพิมพ์ที่ขายมันมีอยู่ฉบับเดียวที่ไหนล่ะ มันมีตั้งหลายหัว หัวละเป็นสิบฉบับ กว่าจะจัดเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยไปเลย..เราจัดหนังสือพิมพ์ไปก็ต้องคอยตอบคำถามลูกค้าที่มุดลอดประตูม้วนเข้ามาถามเป็นระยะๆ ว่าร้านยังไม่เปิดเหรอ? ยังค่ะ..ยังไม่เปิดค่ะ ฯลฯ..เฮ้อ..


จัดหนังสือพิมพ์ จัดแซนวิชขึ้นชั้นเสร็จ จากเดิมที่กะว่าจะเตรียมตัวเปิดช็อปก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะกลายเป็นว่าอัปเปอร์ครัสต์ขายดี บะเก็ตไม่พอขาย เราต้องเร่งทำของขายก่อน ช็อปเชิ่ปเอาไว้ที่หลังแล้วกันนะ ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนี่


..แล้วในที่สุด..ก็ถึงเวลาบ่ายโมง..เคลี่ (Keyleigh) พนักงานที่มาเข้างานกะบ่ายของช็อปก็มาถึง ..พอรู้ว่าสถานการณ์วันนี้เกิดอะไรขึ้น..ก็นั่นแหละ..บ่นเป็นหมีกินผึ้ง อย่างนั้นอย่างนี้ ..เราก็ฟังไปงั้นๆ แหละ ..ชินแล้ว..ใครทำงานที่นี่เจอเหตุการณ์แบบนี้ (ซึ่งเกิดขึ้นบ๊อยบ่อย) ก็บ่นกันเป็นเรื่องปกติ พอบ่นมาถึงเรื่องว่าตัวเองต้องมาจัดหนังสือพิมพ์ เราก็รีบแทรกว่า เราทำเสร็จแล้ว แต่เปิดหน้าร้านก็ขายของได้เลย เพราะเราเตรียมทุกอย่างไว้ ตั้งใจจะไปเปิดร้านเองแต่ทำไม่ได้เพราะบะเก็ตขายดีมาก เคลี่เลยค่อยยิ้มออกมานิดนึง (แฮ่...)


พอหมดเวลาทำงาน..เรารีบชวนเทรฟกลับบ้าน เพราะวันนี้ตั้งใจจะทำอาหารมื้อพิเศษปลอบใจตัวเองให้หายเซ็งซะหน่อย เป็นอารมณ์แบบ..ถ้าอยู่เมืองไทยก็ไปกินส้มตำ หมูกะทะ อะไรทำนองนั้น..อยากกินอะไรเผ็ดๆ แซ่บๆ


เพราะงี้เมนูเย็นนี้เลยมี..กุ้งอบวุ้นเส้น หมูน้ำตก และตำแตง...ฮ่าฮ่า..อร่อยมาาากกกก สะใจ (ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เพราะไม่เคยทำมาก่อนเหมือนกัน ฮี่ฮี่)


อ้อ เทรฟมีข้าวเหนียวแถมมาด้วย..กินกับพุงกางพร้อมกับจิบไวน์ขาวไปด้วย เริ่ดดดดม๊ากกกค่ะ


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 10:58 pm

25July2010 หยุดงานวันอาทิตย์..?


หกโมงครึ่ง เย็นวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2010 @ Green Park house


อืม...นานๆ จะได้หยุดวันอาทิตย์พร้อมกับสามีซะที วันนี้เลยถือว่าค่อนข้างเป็นโอกาสพิเศษสำหรับเราสองคน


หลังจากที่ตื่นแต่มืดมาเกือบทั้งอาทิตย์เพราะเราเข้างานเช้า (เทรฟก็พลอยตื่นมาด้วย) เช้านี้เราไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องตื่นเช้า เราสองคนเลยนอนอืดกันตามสบาย ได้กลิ้งเกลือกไปมาตามใจชอบอย่างที่อยากทำ ไม่ต้องรีบลุกขึ้นไปทำงานหรือแม้แต่งานบ้าน เพราะเทรฟจัดการไปหมดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน หลังจากที่นอนอืดกันจนหิว เราสองคนก็ได้เวลาไต่บันไดลงมาหาอะไรกินเป็นอาหารเช้า (ซึ่งก็ปาไปเกือบอาหารเที่ยง อิอิ)


วันนี้เทรฟมีโปรแกรมพิเศษ ชวนเราไปปั่นจักรยานเพื่อเป็นการออกกำลังกาย หลังจากที่อู้ไม่ได้ไปวิ่งด้วยกันมาหลายอาทิตย์ นอกจากเอาจักรยานออกปั่น (พร้อมกันสองคน..เพราะปกติเราปั่นจักรยานไปทำงานอยู่แล้ว) เทรฟจัดแจงเตรียมของกินออกไปปิคนิคกันด้วย เทรฟทำแซนวิช แพคผลไม้ ขนม น้ำ เราเตรียมสลัด (ซึ่งทำยาาากกกมาาากกก ..หั่นผักกาดแก้วกับแตงกวา เหอะ เหอะ) ทุกอย่างแพคใส่กระเป๋าเป้ใบเก่งของเทรฟ แล้วเราก็ปั่นจักรยานออกจากบ้านกัน


เทรฟให้เรานำทางไปจนถึงวงเวียนแอ็บบี้วู้ด (Abbeywood) เพราะเป็นเส้นทางปกติที่เราปั่นไปทำงาน พอถึงวงเวียนเทรฟก็นำต่อ เพราะเส้นทางที่เหลือเราไม่เคยไป (เทรฟก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่เทรฟทำการบ้านศึกษาแผนที่มาอย่างดี) ปั่นจักรยานที่นี่โดยเฉพาะในบริสตอลค่อนข้างสะดวกสบายเพราะเมืองนี้รณรงค์ให้ปั่นจักรยาน ถนนส่วนใหญ่ที่นี่จะมีทางจักรยานร่วมด้วย ไม่ก็จะเป็นทางจักรยานที่แบ่งครึ่งกับทางเดินเท้าปกติ เพราะฉะนั้นทางเท้าที่นี่จะมีกว้างและเรียบมาก พร้อมกับทำขอบทางเท้าบางส่วนให้เป็นทางลาดเพื่อให้ขึ้นลงได้สะดวกด้วย


วันนี้อากาศดี แดดอ่อนได้ที่พอกำลังอุ่น ไม่ร้อนจัดจนเราตาหยี ลมพัดอ่อนๆ เย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป เราปั่นจักรยานกันไปเรื่อยๆ จุดหมายคือปราสาทสีเหลืองบนยอดเนินเขาที่เรามักเห็นเวลาขับรถบนมอเตอร์เวย์เข้าซิตี้เซ็นเตอร์ ตอนที่เทรฟบอกว่าจะมาที่นี่ทีแรกเราแอบคิดไปว่า..โห..ไกลจัง แต่กลายเป็นว่าปั่นจักรยานไปไม่ทันไรเราก็ถึงจุดหมายโดยไม่ทันรู้ตัว เนินหญ้ารอบๆ ปราสาทเรียบ กว้าง เขียวขจีน่านอนเล่น เราปั่นจักรยานตัดทุ่งกว้าง (ซึ่งจริงๆ ก็คือพื้นที่ว่างริมมอเตอร์เวย์!) ขึ้นเนินเขาใกล้ๆ ที่เรียงตัวซ้อนกันชันขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็เลือกเอาเนินนึงเป็นที่หยุดพักปิคนิคกัน ไม่ต้องมองหาร่มต้นไม้ให้ยากเพราะไม่มี มีแต่ทุ่งหญ้ากว้างกลางแดด (อุ่น)นี่แหละ เริ่ดสุดแล้ว เราสองคนล้มจักรยานลงกับพื้น (พื้นดินมันไม่แน่นพอแม้แต่จะตั้งขาตั้ง) แล้วเทรฟปลดเป้วาง คว้าผ้าห่มจากกระเป๋าเป้ออกมาสะบัดปูเป็นเสื่อ แล้วเราก็กินกลางวันกันกลางเนินหญ้าสีเขียวสดกันนี่แหละ แม้ว่าจะมีเสียงรถวิ่งไปมาบนมอเตอร์เวย์เป็นแบคกราวน์ แต่ว่าวิวรอบๆ ก็โล่งกว้าง สดชื่น และสงบเงียบไม่น้อย มีคนมาเดินเล่น ปั่นจักรยานให้เห็นเป็นระยะๆ ด้วยความที่มันกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ก็เลยจะไม่รู้สึกแออัดหรือวุ่นวายอะไรเลย


เรากินแซนวิช ขนม น้ำ ฯลฯ กันแล้ว เราก็ออกเดิน (จูงจักรยาน)กันต่อ พื้นดินมันยวบๆ ไม่แน่ใจว่าเพราะความชื้นข้างใต้หรือเพราะความหนาของหญ้า แต่มันทำให้ปั่นจักรยานยาก เราก็เลยจูงจักรยานขึ้นเนินกันแทน ..แหะ แหะ ก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าพ้นยอดเนินหญ้านี้ไปเราจะเจออะไร เราสังเกตเห็นสองพ่อลูกบนเนินเขาข้างหน้าไกลๆ แอบสงสัยว่าไหงหยุดยืนคุยกันบนทางชัน ทำไมไม่ไปคุยกันบนที่ราบๆ แต่พอตัวเองลากจักรยากขึ้นเนินไปได้แค่ครึ่งทางก็เข้าใจว่าทำไม..ก็แหม่..มันหมดแรงอ่ะดิ จะอะไรซะอีก อิอิ


เราสองคนยังคงยืนหยัดเข็นจักรยานขึ้นเนินไปเรื่อยๆ (เพราะยังไม่พ้นยอดเนิน ก็บอกแล้ว มันมีเนิน และเนิน และเนิน ขึ้นไปอีก) คนพ่อเห็นเราเข็นจักรยานผ่านจุดที่เขานั่งพักก็ตะโกนถามเราว่า..นี่จะเข็นขึ้นเนินกันต่ออีกเหรอ?? น้ำเสียงบอกให้รู้ว่า..แค่นี้ยังไม่หมดแรงอีกเหรอ? เราตะโกนตอบไปว่า..ก็ไม่รู้เหมือนกัน..แล้วก็เข็นจักรยานขึ้นเนินกันต่อไปอีก..เทรฟว่าใกล้ถึงยอดแล้ว..เอ..มันจะมีอะไรอยู่บนนั้นน้าาา (คำตอบก็คือ..อีกเนินนึงน่ะสิ อิอิ..แฮ่..ล้อเล่นน่า)


ในที่สุดเราก็มากันถึงยอดเนิน แต่อย่างที่บอกมันยังมีเนินเขาอีกอันอยู่ถัดไปไกลๆ เรามองไปรอบๆ เริ่มเห็นหลังคาบ้านคนอยู่ไม่ไกล..เราชวนเทรฟไปกันต่อแทนการย้อนกลับไปทางเดิม เทรฟกางแผนที่แล้วก็ออกเดินกันต่อ ในที่สุดเราก็มาถึงย่านบ้านคนแล้วก็ถนนปกติ เทรฟเช็คแผนที่แล้วก็ร้องออกมาว่า..ว้าว..นี่อยู่ไม่ไกลบ้านเราเลยนี่..จริงๆ ด้วยเราปั่นขึ้นทางถนนได้อีกไม่ไกลก็ถึงถนนแถวบ้าน สรุปแล้ววันนี้เราได้ปั่นจักรยานกันเป็นวงกลมรอบใหญ่ ทั้งหมดใช้เวลาไปไม่ถึงสองชั่วโมง


ต้องบอกว่ากิจกรรมวันนี้สนุกสนานรื่นรมย์ดีทีเดียว เพราะเราสองคนส่วนใหญ่หมดเวลาวันหยุดไปกับการทำงานบ้านหรือไม่ก็ซ่อมนู่น ทำนี่ในบ้านตลอดเวลา พอวันนี้ไม่ต้องทำอะไรเดิมๆ ชีวิตก็เลยดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกเยอะเลย


เรากลับถึงบ้าน จิบชายามบ่ายพร้อมบิสกิต แล้วก็ทำอะไรหน้าคอมฯนิดหน่อย ก็ได้เวลาอาหารเย็น เย็นนี้เราลองเมนูแปลกๆ ที่เจอในใบปลิวโฆษณาของห้างฯ แล้วก็ทอดเกี๊ยวซ่าที่ซื้อมาเก็บไว้นานแล้ว กับของกินอื่นที่มีเหลือในตู้เย็น..กลายเป็นว่าเมนูหน้าตาแปลกๆวันนี้ ผลลัพธ์ออกมาอร่อยใช้ได้เลย


เราสองคนแฮปปี้ดี้ด้ากันมากวันนี้เนื่องจากถือเป็นวันสบายๆ ของเราสองคนที่ไม่บ่อยนักที่เราจะมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลแม้แต่งานบ้าน หรืองานที่เทรฟเอากลับมาทำที่บ้าน


เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็ควรจบอีเมล์ฉบับนี้ได้แล้ว เพราะเราทิ้งคุณสามีมานั่งอยู่หน้าคอมฯนี่นานเกินไปแล้ว ..ไปละนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 11:05 pm

27July2010 ตื่นเช้ามาทำไมเนี่ย วันนี้วันหยุดนะ!!?


หกโมงกว่าๆ วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2010 @ Green Park House


วันนี้วันหยุด จริงๆ ต้องบอกว่าขอเขาหยุดเพราะมีธุระต้องไปขอวีซ่าไปฝรั่งเศส ต้องเข้าลอนดอน (สถานเดียว) มองหน้ากันกับสามี กระบวนการนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ก็เรายังไม่ได้ถือพาสปอร์ตอังกฤษนิ เลยยังบินไปบินมาเข้าออกประเทศนั้นประเทศนี้ไม่สะดวกเหมือนเทรฟ) เทรฟออกแนวเซ็งเล็กน้อยเพราะไปฝรั่งเศสแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ก็ยังต้องวุ่นวายขอวีซ่า เสียทั้งตังค์เสียทั้งเวลา (เฮ้อ) ..อ่อ ค่าวีซ่าไม่เสีย เสียค่าเดินทางเข้าลอนดอน (ที่โครตแพง)นี่แหละที่โครตเซ็ง ซื้อตัวไปลอนดอนวันเดียวสองคนหมดไปกันเกือบร้อยปอนด์ ฮือๆๆ กระซิกๆๆ ..พอๆ เลิกบ่น อยากไปเที่ยวก็ต้องลงทุน..เอิ๊ก..


อยู่บ้านนี้เมืองนี้มาพักใหญ่ เห็นอะไร เจออะไร รู้สึกอะไรก็เก็บมาเล่าในอีเมล์ฝากเพื่อนพ้องน้องพี่ วันดีคืนดีมีคนเขียนมาคุย (สาธุ ภาวนาทุกวันให้มีคนเขียนตอบ จะได้ไม่รู้สึกเหมือนพูดคนเดียว ฮี่ฮี่) แลกเปลี่ยนทัศนะกันเลยพึ่งรู้ว่า ไอ้ความรู้สึกที่มีคนคิดว่า "อยู่เมืองนอกเหรอ แหม น่าอิจฉาจังเลย" มันมีอยู่จริงๆ ด้วย..เราฟังแล้วแอบคิดแบบงงๆ มันน่าอิจฉาตรงไหนเหรอ เพื่อนตอบกลับมาว่า..แหม..แก เมืองนอกระบบระเบียบอะไรก็ดีกว่าเมืองไทย ทำอะไรเขาก็มีหน่วยงานช่วยเหรอ รองรับ แก่ไปรัฐบาลก็เลี้ยง..อืม..ฟังแล้วก็แบบว่า..มันเป็นความจริงนะ แต่จริงแค่ด้านเดียว


เราตอบเพื่อนกลับไปว่า จริงอยู่ว่าระบบข้อมูลและการให้บริการหลายๆเรื่องมีหน่วยงานรองรับและข้อมูลที่รอบด้านและครบวงจรกว่าบ้านเรา บ้านเมืองเขาก็ดูเป็นระเบียบ สวยงาม ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาฟรีๆ คุณต้องจ่าย..หมายความยังไง..ก็เอาง่ายๆ วันก่อนเจ้าอรเพื่อนซี้โทรมาบ่นว่า "เฮ้ย แก รัฐบาลจะขึ้น VAT จาก 7% เป็น 8% โหย..จะบ้าตาย ฯลฯ" เราฟังแล้วเฉยๆ ได้แต่ตอบกลับไปว่า "แกจะบ่นอะไร มาอยู่บ้านฉันไหม VAT 17.5% และกำลังจะขึ้นเป็น 20% มีผลบังคับใช้ต้นปีหน้าทันที" ..ถูกต้องแล้วครับ เขาก็ขึ้นภาษีเอามาจ่ายค่าดูแลต่างๆ เพื่อทำให้มันดูดีอย่างที่คุณๆ คนไทยทั้งหลายเข้าใจนั่นแหละ แต่ปัญหามันไม่ได้หมดแค่นั้น เพราะนั่นไม่ใช่ภาษีตัวเดียวที่คุณเสีย คุณต้องเสียภาษีรายได้ที่แพงมหาประลัยต่ำสุดคือ 20-22% (ราวๆ นี้) หัก ณ ที่จ่ายทันที ซึ่งอัตรานี้ถือเป็นอัตราขั้นต่ำ ถ้าเป็นบ้านก็เทียบได้กับลูกจ้างรายเดือนอัตราเงินเดือนต่ำกว่าปริญญาตรี หรือประเภทไม่เกินหมื่นห้าราวๆ นั้น แต่ถ้าคุณได้เงินเดือนสูงกว่านั้น (ซึ่งส่วนใหญ่ใครๆก็อยากได้ใช่มะ) คุณก็ต้องจ่าย 40% กระโดดไปเลย ไม่มีอัตราคั่นตรงกลางระหว่างนั้น หรือถ้าโชคดีจัดเป็นลูกจ้างระดับเศรษฐีประมาณว่าเงินเดือนเดือนละแสนขึ้นก็ควักจ่ายกันไปเลยครึ่งนึง..เอาไหมล่ะ ได้เงินเยอะๆ แล้วก็จ่ายภาษีกันเยอะแบบนี้ ย้อนถามเพื่อนกลับแบบนี้ทีไร เห็นอึ้งตั้งหลักกันไม่ทันทุกทีไป


ยังไม่พอ ภาษีสองตัวที่ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย (แต่จ่ายไปไม่น้อย) ที่ยังไงก็ต้องเสียแหงๆ แต่ที่แน่กว่านั้นก็คือภาษีท้องถิ่น อยู่เขตไหน อำเภอไหนก็ต้องจ่ายกันไปตามอัตราของแถวนั้น พูดง่ายๆ เขาก็เอาเงินตัวนี้มาดูแล้วบ้านเมืองให้น่าอยู่ (ไม่ใช่แค่ตัวอาคาร ถนน ต้นไม้นะ บริการส่วนท้องถิ่นอื่นๆด้วย เช่น เก็บขยะ รีไซเคิลขยะ การจัดการชุมชน ฯลฯ) นอกเหนือไปจากบริการสาธารณะที่ภาษีส่วนกลางดูแลแต่ครอบคลุมไม่หมด


จะเห็นว่าความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตในระดับที่ "แตกต่าง" กันนี้มีมูลค่าราคาของมันแฝงอยู่ทั้งนั้น อย่าตัดสินอะไรแค่เพียงภาพภายนอกฉาบฉวย มองฝรั่งหรือเมืองนอกดีกว่าเมืองไทยไปเสียหมด จริงอยู่ว่าโดยรวมมันน่าอยู่ น่าอาศัยกว่าเมืองไทยในหลายๆด้าน แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าคุณอยากได้คุณต้องเตรียมตัวจ่าย ไม่ใช่ตั้งหน้าจะเอาฝ่ายเดียว อยากให้รัฐบาลทำนั่น หน่วยงานรัฐทำนี่ แต่ตัวเองไม่เคยทำหน้าที่ตามสิทธิตามเสียงของตัวเองที่มี เพราะอะไร??เพราะทุกอย่างรอบตัวได้มาง่ายดายเหมือนได้เปล่า คุณเลยไม่รู้สึกว่าจริงๆ แล้วคุณน่ะกำลังจ่ายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาอยู่ทุกวี่วันนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้ตระหนักหรือสนใจที่มาที่ไปของมันต่างหาก ใครจะทำอะไรกับเงินที่เขาควักเอาจากกระเป๋าคุณไปก็ปล่อยเขาไป..พูดแบบนี้ไม่ใช่กำลังบ่นเรื่องการเมือง แต่นั่นเป็นอีกเรื่องที่คุณควรจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรหรือไม่ อย่างไร ..อยากจะบอกว่าคนที่นี่เขาไม่ได้สนการเมืองเพราะมันดูดีหรือมันดูเป็นปัญญาชนหรือทรงปัญญาอะไรหรอก แต่เขาติดตามเพราะมันกระทบกับเงินในกระเป๋าจังๆ ต่างหาก.. เพราะงี้ถ้านักการเมือง คนทำงานภาครัฐ (ที่กินเงินเดือนจากภาษีเขา) ซี้ซั้ว ลูบหน้าปะจมูก เขาก็โวยไม่เลี้ยง เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณที่ได้บริการหรือต้องมาเกรงใจพระเดชพระคุณอะไรกัน แต่เขากำลังเรียกร้องในสิ่งที่เขาสมควรได้ต่างหาก..ค่านิยมตัวนี้ต่างหากที่ทำให้เกิดขึ้นได้ยากในเมืองไทย..ไม่ใช่แค่เปิดทีวีดูข่าวภาคค่ำหรืออ่านหน้งสือพิมพ์คอลัมน์การเมืองอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ (บางคนแอบเถียงในใจ..เอาแค่เรื่องนี้ก็ยังยากเลย อิอิ)


เมื่อคืนดูรายการทีวีสารคดีของพานอรามา (ประเทศนี้) แล้วสะท้อนใจ เขาพูดถึงเรื่องชีวิตหลักเกษียณ
เราส่วนใหญ่มีภาพฝัน ภาพหวังว่าแก่ตัวไปขอให้มีเงินเหลือจะได้เที่ยวอย่างสบายใจ ถ้าโชคดีหน่อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ อยู่บ้านเลี้ยงหลานสบายๆ ..ใช่ครับ มันเป็นภาพฝัน เพราะหลายทีเราก็ลืมไปว่าเมื่อแก่ตัวขึ้น สุขภาพก็ไม่ได้ดีสมบูรณ์เต็มร้อยอย่างที่เราต้องการเสมอไป (และส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ) โรคภัยตามกันมาชนิดฟูลแพคเกจ ตั้งแต่ไขมันในเส้นเลือด หัวใจ ความดัน เบาหวาน ฯลฯ ปัญหาเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึง แต่บางคนที่โชคร้ายกว่านั้นเมื่อแก่ตัวไป ร่ายกายเสื่อมสภาพอยู่ในภาวะที่ต้องมีคนดูแลติดตามชนิด 24 ชั่วโมง เป็นบ้านเราเมืองไทย ใครแก่แล้วเขาก็ให้อยู่บ้าน อย่าออกไปไหนเดี๋ยวรถราจะชนเอา หนักเข้าความจำเลอะๆ เลือนๆจะกลับบ้านไม่ถูกเอา..แต่ยังไงซะสังคมเมืองไทยก็ยังให้ความรู้สึกถึงความเอื้ออาทรและดูแลบุพการีผู้สูงวัยกันอย่างใกล้ชิด การเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นการตอบแทนหลังจากที่ท่านตรากตรำทำงานหนักเลี้ยงเรามา (พ่อแม่คนไหนที่เขาไม่ได้สนใจเลี้ยงเรามาก็ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ก็ดูแลท่านเป็นการตอบแทนไปแหละ เป็นความดีกับตัวเอง) ค่านิยมเรื่องความกตัญญูนี้เป็นเรื่องน่าชื่นชม..ควรรักษาไว้ (อืม อะไรที่บ้านเราเมืองเรามีดีกว่าฝรั่งเขาก็หมั่นทำๆกันไว้ ไม่ต้องไปตามกระแสตะวันตกกันซะหมดหรอก)


สารคดีสะท้อนให้เห็นว่า ประชากรวัยเกษียณที่นี่กำลังประสบปัญหาเรื่องการจัดการกับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตัวเอง หรือแม้แต่แค่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันธรรมดาๆนี่แหละ เพราะคนวัยนี้มีค่าดูแล "ความเสื่อม" ที่เกิดขึ้นมากกว่าคนอื่นๆ บางคนต้องมีคนมาช่วยดูแลช่วงพักฟื้นจากการบาดเจ็บ เช่น ถ้าเผลอเดินหกล้มกระดูกหัก ก็ต้องมีคนมาช่วยดูแล..อย่างน้อยเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ..เราว่าเอาเข้าจริงๆ ลูกๆ รวมทั้งพ่อๆแม่ๆ ทั้งหลายก็ตระหนักกันดีอยู่แล้วว่าช่วงวัยนี้ "แพง" ไม่น้อยกว่าวัยไหนๆ..ว่าแต่เราเตรียมความพร้อมรับมันแค่ไหน??


คนที่นี่แต่เดิมฝากความหวังไว้ที่รัฐบาล (ใช่ครับ รัฐบาลจ่าย แต่..) เพราะเขาจ่ายภาษีและเงินเขากองทุนบำนาญมาทั้งชีวิต (ใช่ครับ ต้องจ่ายอีกแล้ว) เขาก็คาดหวังให้รัฐบาลเลี้ยงเขายามแก่เฒ่า แต่ปัญหาก็คือ เศรษฐกิจตกต่ำ คนอายุยืนขึ้น ค่ารักษาพยาบาลดูแลรวมถึงค่ายาที่แพงขึ้น เมื่อจำนวนความต้องการมันมากกว่าความสามารถที่จะจ่าย แน่นอนว่า..รัฐบาลก็เริ่มผลักภาระ การตัดงบประมาณในส่วนนี้กลายเป็นลำดับต้นๆ ที่รัฐบาลไม่ลังเล (เห็นมะ..ว่าการเมืองเข้ามาเกี่ยวยังไง) ระบบเงินบำเหน็จบำนาญซึ่งแต่เดิมเคยทำไว้อย่างดี มีรัฐจ่าย มีนายจ้างร่วมจ่ายสมทบ เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งรัฐบาลและนายจ้างก็เริ่มลดอัตราการจ่ายสมทบลงเรื่อยๆ รวมทั้งเงินที่จ่ายคืนเมื่อเกษียณอายุก็น้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่ค่าครองชีพก็ถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน..ผลก็คือ..แล้วคุณจะจัดการกับชีวิตในวัยชราของคุณอย่างไร เมื่อคุณแก่ตัวลงรายรับน้อยลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น บางคนก็ต้องทำงานต่อไปแม้ว่าตัวเองจะอายุเลยวัยเกษียณ (ต้องถือว่ายังโชคดีนะนั่น เพราะแปลว่าสุขภาพยังดี) แต่ถ้าโชคไม่ดี แก่เกินแกง ดูแลตัวเองยังลำบาก อย่าคิดว่าจะออกไปทำงานให้ลำบาก(คนอื่น)เลย ค่าหยูกยารักษาตัวเองจะเอามาจากไหน ทั้งไหนจะค่าอาหารการกิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส (และภาษี) อีกจิปาถะ..ผลก็คือ คนแก่จำนวนไม่น้อย "ขายบ้าน" เพื่อเอามาจ่ายค่ารักษาตัวเอง..ฟัง (อ่าน) ไม่ผิดหรอก.. คนจำนวนไม่น้อยที่นี่ต้องตัดสินใจขายบ้านที่อยู่มาทั้งชีวิต เพื่อเป็นค่าหมอเพราะตัวเองอยู่ในสภาพที่ต้องการการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง บางคนโชคดีหน่อยไม่ได้ป่วยขนาดนั้น แต่ก็เลือกที่จะขายบ้านเพื่อไปซื้อแฟลตเล็กๆที่ราคาแพงหูฉี่แต่แวดล้อมไปด้วยบริการและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับคนวัยนี้ (เห็นแล้วก็นึกถึงคนที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรจะขาย มีแต่หนี้ก้อนโตที่ยังจ่ายไม่หมด จะหวังพึ่งลูกหลานก็ดูท่าจะไปไม่รอดเท่าไหร่ เพราะลำพังตัวพวกเขาเองก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากพออยู่แล้ว..คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่อยู่ในสภาพแบบนี้ คงหนีไม่พ้นความรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออก)


นี่แหละชีวิตวัยหลังเกษียณของคนที่นี่ที่กำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้


เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองว่า..แล้วตัวเองล่ะ เตรียมตัวรับสภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในวัยนั้นมากน้อยแค่ไหน...อืม..ถ้าโชคดี (เอ๊ะ หรือว่าโชคร้าย)..ได้อยู่จนถึงวันนั้นอ่ะนะ


อิอิ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พฤหัสฯ. ส.ค. 26, 2010 10:13 pm

ก๊อก ๆ ๆ ๆ รอนานแล้วน๊ะ ครับ #( #(
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 12:01 pm

จัดไป #(

8Aug2010 one step further?


ตีห้าห้าสิบนาที วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2010 หน้าคอมฯ ที่บ้านที่เดิม


วันนี้ตื่นเช้าเชียวแม้ว่าจะเป็นวันหยุด ส่วนนึงต้องเป็นเพราะความเคยชินกับการตื่นตีสี่ไปทำงานแน่ๆเลย เพราะพอเวลาประมาณนี้ทีไร ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วก็แอบไม่ง่วงซะงั้น (แต่ก็สามารถฝืนใจหลับต่อไปได้..แหม..ลำบากจิงจิ๊ง อิอิ)


วันนี้มีข่าวมารายงานความคืบหน้าหลังจากที่หายไปหลายวัน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไปสอบข้อเขียนสำหรับใบขับขี่ (ที่นี่เรียกว่าสอบภาคทฤษฎี) เราสอบผ่านแล้วนะ ดีใจจริงๆเชียว แต่ก็รู้สึกงงๆอยู่นิดๆ ไม่ใช่งงตัวเองว่าผ่านมาได้ไง เพราะรู้ว่ายังไงต้องเอาจนผ่าน แต่งงเพราะความรู้สึกก่อนสอบกับหลังสอบไม่ค่อยต่างกัน คือมันเฉยๆ สอบเสร็จได้ผลมากลับบ้านยังรู้สึกเหมือนฝันไป เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เอาเป็นว่าเก็บเรื่องความรู้สึกเอาไว้ก่อนดีกว่า เล่าเรื่องสอบนี่ให้ฟังดีกว่า


สอบใบขับขี่ที่นี่แบ่งเป็นสองส่วนคือสอบทฤษฎีกับสอบปฏิบัติ


สอบทฤษฎี แบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนที่เป็นข้อสอบแบบตัวเลือก (Multi-choices) กับส่วนที่สองเป็นภาพวีดีโอให้ดูเรียก Hazard Perception test


เล่าอันแรกก่อน ส่วนแรกก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ก็เป็นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการขี่รถ แต่เป็นรายละเอียดที่มากกว่าเมืองไทยมากมายนัก เพราะมีตั้งแต่ส่วนที่คล้ายๆกันก็คือพวกป้ายสัญญาณจราจรต่างๆ แต่ที่นี่จะแบ่งเป็นป้ายสัญญาทั่วไปกับบนทางด่วนด้วย เรียกว่าต้องบอกว่าเป็นกฎกติกาการใช้ถนนถึงจะถูกเพราะไม่ใช่แค่จำป้ายมาสอบ มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการใช้รถที่ถูกต้อง รวมทั้งมารยาทในการขับขี่ เช่น การระวังเพื่อนร่วมทางอย่างคนเดินถนน จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถบรรทุก รถใหญ่อื่นๆ รถม้า รถราง รถไฟ รถพ่วง ฯลฯ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขับรถ เช่น ป้ายวงกลม (ที่ติดหน้ากระจก ที่นี่เรียกย่อๆว่า Tax-disc) ทะเบียนรถ ประกันรถยนต์, ความรู้เกี่ยวกับการขับรถในสภาพอากาศต่างๆ อุปสรรคที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การจัดการเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเมื่อเห็นอุบัติเหตุ เช่น จะรู้ได้ไงว่าเป็น Black ice (คือสภาพถนนที่ผิวหน้าเป็นน้ำแข็งแต่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้เนื่องจากความใสของน้ำแข็ง), เวลาเลี้ยวรถส่วนไหนของรถที่อาจเป็นอุปสรรคในการมอง?, ถ้ารถไฟไหม้ในอุโมงควรจะ? ถ้าเปิดไฟสูงหรือไฟตัดหมอกในเวลาที่ไม่จำเป็นจะมีผลอย่างไร? ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เรียกว่าหลายคำถามพอมองตัวเลือกแล้วก็ดูออกอ่ะนะว่าน่าจะตอบข้อไหน เพียงแต่ว่าเรามองว่า อย่างน้อยถ้าคนสอบตอบถูกก็อาจจะเป็นการปลูกฝังข้อมูลหรือทัศนคติที่ถูกต้องในการขับรถด้วย (ถ้ายินดีปฏิบัติตามอ่ะนะ)


ลักษณะถนนที่นี่จะใช้ระบบวงเวียนแทนการใช้ไฟจราจรตามแยกต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนไฟจราจรก็มีใช้แต่ใช้ในทางตรงแทนหรือแยกเล็กๆเท่านั้นเอง ซึ่งข้อนี้เป็นข้อต่างที่สำคัญสำหรับการขับรถที่นี่กับเมืองไทย แรกๆเราไม่ค่อยคุ้นกับระบบแบบนี้ก็ต้องฝึกหัดกันอยู่พักใหญ่ ไอ้ที่ว่า "ให้รถในวงเวียนไปก่อน" ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยเข้าใจพอมาขับรถที่นี่ถึงค่อยถึงบางอ้อ เพราะที่นี่เขาใช้กฎว่าให้รถทางขวาไปก่อน ขวาของเรานั่นแหละ ฉะนั้นทุกครั้งที่ถึงวงเวียนก็จ้องขวาไว้ให้ดี ปลอดภัยเมื่อไหร่ค่อยโผล่ออกไป ซึ่งจากที่สังเกตถ้าทุกคนไม่มั่วกติกา การจราจรจะเคลื่อนตัวไปได้อย่างดี เพราะจะเป็นการแบ่งๆกันไป อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย..เราโชคดีเป็นพิเศษที่มี Double roundabout หรือหมายถึงวงเวียนสองอันที่อยู่ด้วยกัน อยู่ตรงทางเข้าบ้าน เพราะงั้นเลยได้มีโอกาสหัดกันทุกวัน (ฮ่าฮ่า) เรียกว่าต้องจ้องกันให้ดีเชียวว่าใครได้ไปก่อนไปหลัง แอบมั่วไปหลายหนโดนคนข้างๆ บ่นเลย (ไม่ว่าจะเป็นครูสอนขับรถหรือเทรฟอ่ะนะ)


วกกลับมาเรื่องสอบภาคทฤษฎีต่อ จบจากข้อสอบแบบตัวเลือกแล้ว ก็จะเป็นส่วนที่สองที่เรียกว่า Hazard Perception Test หรือคลิปวีดีโอเพื่อทดสอบการตื่นตัวเพื่อรับรู้ถึงอันตรายที่อาจจะเกิด อ้อ ลืมบอกไปว่าข้อสอบส่วนแรกที่ว่าอ่ะ เขาไม่ได้ใช้กระดาษหรอกนะ ทุกคนสอบผ่านหน้าคอมฯด้วยระบบจอสัมผัส เพราะงั้นส่วนคลิปวีดีโอนี่ก็เลยไม่มีปัญหา


ลักษณะข้อสอบก็ให้ดูวีดีโอสั้นๆ เหมือนเราเป็นคนขับรถ เห็นอะไรบนท้องถนนที่น่าจะเป็นอันตรายหรือต้องระวังเป็นพิเศษก็ให้คลิกเมาส์ ทีนี่การคลิกเมาส์มันก็คะแนนไม่เท่ากัน คือถ้าสังเกตเห็นไว เช่นเห็นรถที่มาจากทางแยกตั้งแต่ไกลๆ แล้วคลิกเลยก็จะได้คะแนนเยอะเพราะถือว่ามีการรับรู้ที่ดี แต่ถ้ารอจนอันตรายที่ว่าเข้าใกล้มากขึ้นจนคนขับรถในวีดีโอต้องทำอะไรซักอย่างเช่น ชะลอรถ หรือเบี่ยงรถหลบแบบนี้ก็ถือว่าช้าเกินไป ถ้าคลิกตอนนี้แล้วก็ไม่ได้คะแนน เพราะงี้เวลาคลิกก็ต้องมีเทคนิคคลิกให้ได้จังหวะที่ระบบจะเริ่มนับคะแนน เช่นถ้าเราเห็นเร็วก็อาจจะคลิกเลยแล้วรอจังหวะซักนิดแล้วคลิกอีกที อีกที อะไรแบบนี้ แต่จะคลิกแบบรัวๆไม่ได้ เพราะระบบจะถือว่าเราคลิกมากเกินความจำเป็นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าไม่รู้ว่าอะไรเป็นอันตรายของจริงหรือว่ามั่วหรือว่าโกงก็แล้วแต่ ระบบจะขึ้นภาพเตือนว่าเราคลิกมากเกินความจำเป็นแล้วก็ไม่นับคะแนนข้อนั้นให้


คลิปวีดีโอมีทั้งหมด 14 คลิปคะแนนเต็ม 75 ต้องได้อย่างน้อย 44 เราได้ 61 (เย้)
ส่วนส่วนแรกมีทั้งหมด 50 ข้อ 50 คะแนนมีเวลาให้ทำ 57 นาที ต้องได้อย่างน้อย 43 เราได้ 47 (เย้..อีกที)


อายุของผลสอบมีเวลาสองปีที่จะต้องผ่านภาคปฏิบัติให้ได้ ไม่งั้นก็ต้องมาเสียเงินสอบใหม่ (ไม่ใช่ถูกนะคะ ?35 หรือราวๆ เกือบสองพันบาท)
เพราะงี้ตอนนี้ก็ต้องขยันซ้อมขับรถจะได้ไม่ต้องเสียเงินสอบหลายหน สอบปฏิบัติก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่างหาก ครูสอนขับรถของเราบอกว่า จะส่งสอบก็ต่อเมื่อเขากับเรารู้สึกมั่นใจพอๆกันว่าสมควรได้เวลาสอบได้แล้ว ไม่งั้นลงสอบไปก็เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆ อ้อ จองวันสอบปฏิบัติต้องรอตั้งหลายอาทิตย์กว่าจะได้คิว ไว้ได้ไปสอบเมื่อไหร่จะเก็บมาเล่าให้ฟังนะ วันนี้เอาภาคแรกไปก่อนละกัน


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน