ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. พ.ย. 18, 2010 3:21 pm

22Oct2010..ปารีสวันที่สาม..เมื่อไหร่จะเล่าจบวะเนี่ย..


สิบโมงกว่าวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2010 @ home


แหะ แหะ รู้สึกเริ่มเซ็งตัวเองที่หาเวลาอัพเดทไดอารี่ได้ยากเย็น ไอ้ครั้นไม่เล่าให้จบก็ค้างคาใจ พล็อตเรื่องใหม่ๆ ก็ค้างอยู่เต็มหัว..ว่าแล้วรวบรัดตัดความเล่ากันให้เสร็จๆไปแล้วกัน


--
ปารีสวันที่สามเป็นวันศุกร์ที่คุณสามียังต้องไปเข้าร่วมสัมมนา แต่เทรฟว่าคงจะเลิกเร็วเลยนัดแนะกันให้ไปเจอกันที่ศูนย์ประชุม (อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟฟ้าไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์แต่ให้คูณสามหรือห้า เพราะใหญ่กว่านั้นมากมาย..อาณาบริเวณประมาณสยามเซ็นเตอร์ยาวไปถึงเซ็นทรัลเวิร์ล..เดี๋ยวไปดูรูปเอา...ถ้าพอเดาได้) ศูนย์ประชุมที่ว่าเทรฟว่าให้ไปที่ CNIT เป็นตึกนึงในบริเวณนั้น เราก็เออๆ ออๆ ไปตามเรื่อง จำแต่สถานีรถไฟเป็นพอ แต่ก่อนจะไปเจอกันตอนบ่าย ช่วงเช้าก็เที่ยว (คนเดียว) ก่อนตามระเบียบ เมื่อวานรายงานให้เทรฟฟังว่า ไม่กล้าเข้าไปกินข้าวกลางวันตามร้านอาหารเพราะมันแพงก็เลยกินแต่เครป เทรฟว่ากินไปเถอะ กินให้มันเป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่ากินขนมไปเรื่อยเปื่อย..ได้คำอนุมัติตามนั้น วันนี้ก็เลยมีเป้าหมายว่าจะหาข้าวกินตามร้านให้เป็นที่เป็นทาง (แปลว่าไม่ใช่คว้าแซนวิชหรือบ่ะเก็ตแล้วถือเดินกินนั่นเอง..เอ่อ..บ่ะเก็ต..ไม่กินค่ะ เบื่อ..)


เช้านี้เป้าหมายอย่างเป็นทางการคือสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางปารีส จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว ที่นี่แหละคือที่ที่เทรฟแนะนำให้มาตั้งแต่ทีแรกแต่เราเดินมั่วไปมั่วมาจนมาไม่ถึง สวนแรกที่เห็นเมื่อวันก่อนเป็นขนาดย่อมๆ อันนี้ใหญ่จริงและการจัดสวนสวยงามกระจ่างใจ..ใครไม่ค่อยได้เห็นสวนสวยที่เขาออกแบบไว้นั่งชิลโดยเฉพาะก็จะกรี๊ดขาดใจ..แต่เอ่อ..ในอังกฤษมันก็พอมีความตื่นเต้นเลยลดไปหน่อย (เก็บรูปมาฝากเยอะเลย ไม่ได้เขียนคำบรรยาย แต่ก็น่าจะเดาได้เนอะ)


เดินเล่นรอบสวนไปเรื่อยเปื่อย พอเมื่อยได้ทีก็หาเก้าอี้นั่งชิลกินแซนวิชรองท้องก่อนไปหาข้าวกินเป็นเรื่องเป็นราวต่อไป


เดินออกจากสวนไปเรื่อยๆ เป้าหมายในใจก็ยังไม่มีเพราะกะเวลาไว้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ต้องนั่งรถไฟไปหาเทรฟแล้ว คงไปไหนไม่ได้ไกลก็เลยเดินเล่นหาร้านอาหารที่ถูกใจกินกลางวันแทน โปรแกรมเย็นนี้เราว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ลูฟท์กัน (รอตั๋วรอบเย็นตอนหกโมงเย็นราคาจะถูกกว่ากันเยอะเลย) เพราะงี้ต้องหาอะไรกินให้อยู่ท้องไว้ก่อนเพราะได้ยินมาว่าลูฟท์กว้างใหญ่ไพศาลเดินวันเดียวไม่มีทางทั่ว


เราเดินวนไปวนมา ร้านนู้นก็ไม่ดี ร้านนี้ก็ไม่่น่าอร่อย ร้านนี้คนเยอะ เข้าใจเอาเองว่าสวนสาธารณะคงอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยอะไรซักแห่งเพราะเห็นเด็กวัยรุ่นเยอะเลย ดูแล้วให้บรรยากาศมหาวิทยาลัย ยิ่งพอเดินไปรอบๆ ดูร้านค้าที่ประกอบไปด้วยร้านเครื่องเขียนและของแฟชั่นก็ยิ่งมั่นใจว่าน่าจะใช่ (เห็นแล้วคิดถึงท่าพระจันทร์ แต่เอ่อ..หรูหรากว่าเยอะเลย) เราเดินหาข้าวกลางวันเอาตอนพักเที่ยงเสียด้วยสิ คนในร้านแซนวิชแน่นชนิดคิวยาวออกนอกประตู เราไม่พิสมัยแซนวิชอยู่แล้วก็เลยไม่แล (แม้ว่าแอบสงสัยว่าร้านนั้นมันต้องอร่อยมากแน่เลย) เดินจนเมื่อยขาก็วนๆไปโผล่เอาซอยเล็กๆ เงียบๆ ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เห็นเชฟยืนเตร่อยู่หน้าร้านเราก็เลยตัดสินใจ..เอาวะ ร้านนี้แหละ ..มันดูเป็นร้านๆ เป็นเรื่องเป็นราว อาหารน่าจะโอเค ไปยืนเมียงๆมองๆ เมนูกระดานดำหน้าร้าน..ไม่ต้องสงสัย อ่านไม่ออกหรอก แต่อยากดูราคามากกว่า ดูเลาๆ เอาวะน่าจะจ่ายไหว (บางอันก็อ่านไม่ออกเพราะเขียนเบียดกันจนไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่) เราถามเชฟว่าร้านเขาเปิดหรือยัง เขาเปิดแล้ว เราก็เลยเดินเข้าไป


เชฟหันมาถามเราว่าจองโต๊ะไว้หรือเปล่า เราว่าเปล่า แล้วโอเคไหมอ่ะ..ถามก่อนเผื่อโต๊ะเต็มจะได้ไม่ถอดแจ๊คเก็ตเก้อ ..เขาส่ายหน้าพยักเพยิดให้เรานั่ง ..ร้านขนาดไม่ใหญ่และไม่ลึกไปกว่าห้องแถวห้องเดียว (ประมาณว่าส่วนที่นั่งขนาดเท่าห้องเล็กๆ ห้องนึงเท่านั้นเอง) โต๊ะขนาดนั่งได้สองคนวางเรียงชิดกันติดข้างฝาด้านละหกตัว เราออกอาการอึดอัดเล็กน้อย เพราะทำตัวไม่ถูกจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวในก็ไม่รู้จะทำยังไง มาถึงบางอ้อ เมื่อเชฟเลื่อนโต๊ะตัวนึงออกมาเปิดทางให้เราสอดตัวเข้าไปนั่ง เราถอดโค้ทออกแล้ววางกระเป๋าถือไว้ข้างๆ ตัว ซึ่งจริงๆมันก็หมายถึงที่นั่งสำหรับโต๊ะถัดไปนั่นเอง เชฟรีบบอกว่ากระเป๋าเราวางไว้บนชั้นด้านหลังได้ (แปลว่าเธออย่ามาวางของให้เกะกะที่นั่งโต๊ะตัวอื่นนะจ๊ะ) เราเกร็งเล็กน้อยเหมือนทำตัวไม่ถูกที่ถูกทาง พอจะเริ่มสั่งอาหาร พนักงานเสริฟสาวน้อยก็เปิดประตูหน้าร้านไปคว้าเมนูกระดานดำมาตั้งตึ้งบนโต๊ะติดๆกันให้เราดู เรารีบบอกว่าเราอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก เธอก็ดีเหลือแสน (ภาษาอังกฤษก็ดีด้วย) แปลให้เราฟังทุกอันเลย ..อย่างว่า กินตามร้านอาหารก็สั่งเซ็ท มีสตาร์ทเตอร์ (Starter) อาหารจานหลัก(Main course) และของหวาน(Dessert/Pudding) ก็ไม่จำเป็นต้องกินทุกอย่างหรอกนะ เลือกเอาตามแต่หิวมากน้อย เราตั้งใจจะลองกินอาหารที่นี่เป็นหลักก็เลยเลือกสั่งสตาร์ทเตอร์กับอาหารจานหลัก สาวน้อยเจื้อยแจ้วว่าวันนี้มีอาหารพิเศษเป็นเนื้อนกยูงจะลองทานไหม (มันไม่อยู่บนบอร์ด) เราก็ว่าเอาก็ได้ แล้วเราก็สั่งซุปเนื้อกระต่ายหรืออะไรซักอย่างจำไม่ได้แล้วเป็นสตาร์ทเตอร์กับเนื้อนกยูงมาเป็นอาหารจานหลัก..ส่วนเครื่องดื่ม..อ่ะนะมาถึงปารีสเมื่อแห่งอาหาร (นอกเหนือไปจากแฟชั่น) เขาก็ต้องดื่มไวน์ พอเราบอกเราอยากได้น้ำเปล่าก็พอทำเอาทั้งพ่อเชฟและสาวเสิร์ฟทำหน้างง (ก็หนูไม่ดื่มอย่ามาบังคับนะ) อีกแป๊บซุปก็มาเสริฟ (ดูรูปที่ถ่ายพร้อมกับตะกร้าขนมปังนะ) อืม..รสชาติแปลกๆ เอาวะ สั่งมาแล้วก็ต้องกิน เรากล้ำกลืนกินซุปที่ไม่เหมือนอย่างที่คิดไปจนเกือบหมด ระหว่างนั้นก็มีลูกค้าเริ่มทะยอยเข้ามา อืม..ท่าทางลูกค้าจะเยอะเหมือนกันแฮะ อย่างนี้เขาต้องทำอาหารอร่อยแน่เลย นั่งเหม่อดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยจนสะดุดตาเอากับสติ๊กเกอร์วงกลมสีแดงที่ติดอยู่ที่ประตูร้าน อ่านจากภาพสะท้อนได้ใจความว่า "Michelin Guide 2010" แปลว่าร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารแนะนำของมิชิลิน..ตายๆๆๆ เราตาโตหันรีหันขวางเอ่อ..ยกเลิกอาหารที่สั่งไปจะทันไหม..จะมีตังค์จ่ายไหมเนี่ย..ร้านอาหารที่ตรามิชิลิน..ตรานี้ก็ประมาณแม่ช้อยนางรำ หรือห้าดาวของหมึกแดง แต่ว่าอินเตอร์เป็นสากลกว่ากันเยอะ พูดง่ายๆว่าเชฟไหนๆก็พยายามสุดฝีมือให้ตนได้ตรามิชิลินมาประดับเพื่อการันตีทั้งคุณภาพ ชื่อเสียง และอาจรวมถึงราคาที่ไม่ธรรมดา.แฮ่..แพงเกินธรรมดา..


แล้วเนื้อนกยูงก็มาเสิร์ฟ..เอ่อ..ไหงหน้าตามันเหมือนต้มจับฉ่ายที่บ้านฉันล่ะเนี่ย เอาวะมันต้องมีอะไรพิเศษล่ะ..โอ้วววแม่เจ้า กินสตูว์จานนี้แล้วรู้เลยว่าคนทำเคี่ยวมันไว้หลายชั่วโมงอยู่ (เดาว่าเนื้อนกยูงคงไม่นุ่มละมุนเหมือนเนื้อไก่) เพราะเนื้อเปื่อยแต่ผักที่ปรุงด้วยไม่เละ แสดงว่าต้องกะเวลาใส่ผักเป็นอย่างดี รสชาติเข้าหอมเครื่องเทศสารพัด เรียกว่าทั้งกลิ่นทั้งรสหอมขึ้นจมูก..เอาวะ แพงเท่าไหร่ก็ต้องยอมจ่ายล่ะ ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้กิน (และจะกล้ากิน)ร้านอาหารที่มีตรามิชิลิน (นี่ถ้าเห็นก่อนก็ต้องสองจิตสองใจว่าจะเข้าดีไหมอยู่ดี เพราะใจก็อยากลอง แต่ก็รู้ว่ามันคงแพงเหลือใจ)..แล้วในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็ทำลายสถิติราคาอาหารทุกมื้อที่ผ่านมา เพราะอาหารจานหลักจานเดียวราคา 22 ยูโร (ราวพันกว่าบาท) ชาตินี้เกิดมายังไม่เคยกินอาหารจานเดียวอะไรแพงขนาดนี้..เอาวะถือเป็นประสบการณ์ขั้นสุดยอด (มิน่าคนมากินถึงต้องโทรจอง)


และแล้ว..เราก็เล่าทริปปารีสไม่จบจนได้ ต้องไปทำงานแล้ว..ไว้เก็บมาเล่าต่อนะ เรื่องต่อจากนี้ไม่มีอะไรมาก มีแต่เที่ยว กับเที่ยว และเที่ยว แล้วจะส่งรูปไปให้ดูละกัน ไปล่ะ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. พ.ย. 18, 2010 3:36 pm

27Oct2010 แอบหายไปนานอีกแล้ว


เกือบทุ่มนึงแล้ว วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2010 @home


พึ่งกินข้าวเย็นเสร็จ..อิ่มได้ที่ทีเดียว วันนี้ทอดหมูกรอบของโปรดคุณสามีให้เขาทาน วันนี้เราหยุดเพราะมีเรียนขับรถส่วนเทรฟก็ทำงานที่บ้าน ก็เลยได้มีโอกาสได้กินข้าวเย็นพร้อมกัน..ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาหลายวันแล้วเพราะเราทำงานกะเย็น..โฮๆๆ เมนูมื้อนี้นอกจากหมูกรอบแล้ว ก็ต้องมีข้าวเหนียวที่เทรฟชอบกินคู่กัน เทรฟชอบข้าวเหนียวมากกว่าข้าวสวยแล้วก็เลยเป็นคนรับหน้าที่นึ่งข้าวเหนียวด้วย เพราะเรานึ่งไม่เป็น อุตส่าห์หอบอุปกรณ์พื้นบ้านทั้งหวดทั้งหม้อนึ่งมาจากเมืองไทยเพื่อประกอบการนึ่งข้าวเหนียวอย่างมืออาชีพ...อะฮึ่ม.. แล้วก็ทำได้ดีซะด้วย


ช่วงนี้ห่างหายไปเพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมขับรถ วันจันทร์หน้าจะสอบใบขับขี่แล้ว..ตื่นเต้นๆๆๆ หลายคนอาจสงสัยว่ากะอีแค่สอบใบขับขี่ทำไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ ก็เพราะการได้ใบขับขี่สำหรับเรามันไม่ใช่แค่ใบขับขี่น่ะสิ มันหมายถึง..


หนึ่ง รายจ่ายที่ลดลง เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเรียนขับรถ มาจนถึงวันนี้เราจ่ายค่าเรียนขับรถไปแล้วราวเกือบห้าหมื่นบาท..ใช่แล้วเกือบห้าหมื่นบาท นี่ยังไม่รวมค่าสอบทั้งข้อเขียนและสอบปฏิบัติ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องจ่ายค่าเรียนต่อไป..เฮ้อ..ไม่อยากคิดเชียว


สอง โอกาสในการได้งานที่ดี มีรายรับเพิ่ม เพราะหลายงานต้องการคนที่ขับรถได้ และเป็นหนึ่งในปัจจัยของการตัดตัวเลือกผู้สมัครที่สำคัญเลยล่ะ


สาม ค่าใช้จ่ายในรูปของเงินประกันรถยนต์ก็ลดลง เพราะระดับความสามารถของผู้ทำประกัน (ขณะนี้เราอยู่ในฐานะที่ถือใบขับขี่สำหรับคนพึ่งหัดขับ เพราะงั้นเบี้ยยังแพงอยู่) พอผ่านได้ใบอนุญาตแบบสมบูรณ์ เบี้ยก็จะลดลง


สี่ ใบขับขี่ถือเป็นหลักฐานแสดงตัวสำคัญเทียบเท่ากับพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนในประเทศไทย เพราะธนาคาร สถาบันการเงินหรือการติดต่อกับหลายหน่วยงานไม่ให้การรับรองพาสปอร์ตบางประเทศ (อาจเพราะเจอปลอมบ่อย) การมีใบขับขี่เป็นบัตรประจำตัวให้ภาษีในแง่ว่า "คนนี้ไม่เป็นพิษเป็นภัย" ดีกว่ากันเยอะ


เพราะอย่างนี้แหละเราถึงตื่นเต้นกับการได้ใบขับขี่มาก..อ้อ จริงๆ คนทั่วไปที่นี่ก็ให้ความสำคัญกับใบขับขี่ไม่แพ้กัน เรียกว่าพอสอบผ่านก็มีการฉลองกันเป็นเรื่องเป็นราว ถือกันว่าเป็นหนึ่งขั้นตอนของความสำเร็จในชีวิตกันเลยทีเดียว เพียงแต่เขาจะให้ค่าว่ามันเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้คุณมีอิสระ (ในการเดินทาง)มากขึ้น เป็นการแสดงถึงการพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ซึ่งสำคัญมากสำหรับบรรดาวัยรุ่นอายุ 18 ทั้งหลาย (อายุขั้นต่ำที่อนุญาตให้ขับรถได้อย่างถูกกฎหมาย)


ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานอกจากจดจ่อเรื่องขับรถแล้ว พอมีเวลาว่างก็พยายามหาเวลาพักผ่อนหย่อนใจตัวเองบ้างด้วยการทำกิจกรรมโปรด นั่นคือ การเข้าครัว


เมนูสุดพิเศษล่าสุดที่ได้หัดทำก็คืออบขนมเค้ก ในชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสทำเพราะมองว่ามันยุ่งยากวุ่นวาย อีกอย่างบ้านเราก็ไม่ได้ใช้เตาอบทำกับข้าวกันจริงๆ จังเหมือนที่นี่ เพราะงี้พอได้ใช้ชีวิตที่นี่ เตาอบถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นประจำครัว..อย่ากระนั้นเลย..มาทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์จำเป็นอันนี้กันเสียหน่อย..ปกติเรามักจะทำกับข้าวไทยหรือจีนให้เทรฟกิน เพราะเทรฟชอบ เราก็ถนัดทำ เพราะง่ายและเร็ว อาหารที่ต้องเข้าเตาอบส่วนใหญ่ใช้เวลานาน..เปลืองไฟ อิอิ หนนี้เรารวบรวมความกล้าไปซื้ออุปกรณ์อบขนมแล้วก็เริ่มจากสูตรที่ง่ายที่สุดคือ Sponge Cake เราเรียกมันว่าขนมไข่นั่นแหละ เราชอบเค้กอันนี้เพราะรสชาติมันเรียบง่ายเหมาะกับกินกับชาร้อนๆ อืม..ว่าแล้วก็อยากกินอีก


เราผสมแป้ง ส่วนผสม ฯลฯ ตามสูตรไปเรื่อย ทำไปก็แอบกังวลใจนิดๆว่าจะต้องตีแป้งนานขนาดไหนถึงจะรู้ว่ามันใช้ได้หนอ จินตนาการในใจว่าอยากได้เค้กเนื้อนุ่มรสชาติกำลังดี หอมเนย แถมกลิ่นเลมอนนิดๆ จินตนาการเยอะๆ แล้วก็ "ใส่ใจ" ลงมาให้มาก..ในที่สุดเค้กก้อนแรกในชีวิตของเราก็ออกมาอย่างที่ต้องการ..อืม..แอบภูมิใจตัวเอง..เทรฟหัวเราะชอบใจเราใหญ่ตอนเรานั่งลุ้นอยู่หน้าเตาด้วยความตื่นเต้นว่าเค้กก้อนแรกของเราจะฟูฟ่อง หรือแฟบไม่เป็นท่า พอผลลัพธ์ออกมาดี เราก็เลยเริ่มฮึด ตอนนี้มองหาสูตรอื่นทำต่ออีก อิอิ เมนูต่อไปเป็นอะไรไว้จะเก็บมาเล่าให้ฟังอีก


อ่ะ ทีนี่ก็กลับมาเรื่องที่ค้างไว้นานแสนนาน นั่นก็คือปารีสวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับอังกฤษ


วันเสาร์ เป็นวันที่เทรฟไม่มีประชุม เป็นวันที่เราจะได้เที่ยวกันอย่างกระหนุงกระหนิงเป็นคู่กับเขาซ้าาากกที เราลงความเห็นว่าเราจะล่องเรือไปตามแม่น้ำเพราะเขามีทัวร์ทางเรือแบบที่ซื้อตั๋ววันแล้วก็โดดขึ้นโดดลงแวะดูสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำตามใจชอบ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของปารีสส่วนใหญ่อยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ (อารมณ์ละม้ายคล้ายล่องเจ้าพระยา กระโดดขึ้น-ลงแวะดูวัดพระแก้ว-วัดอรุณฯ-สะพานแขวน ฯลฯ ทำนองนั้น) เราเริ่มต้นวันด้วยการนั่งรถไฟไปที่หอไอเฟล เพราะเราอยากปีนขึ้นไปบนหอไอเฟลดูวิวเมืองปารีส อีกอย่างอากาศช่วงเช้ายังมีเมฆไม่มากมองเห็นวิวได้ไกลดี (อากาศช่วงที่ไปฝนตกเป็นระยะ เพราะงั้นเมื่ออากาศเริ่มดีต้องรีบฉกฉวย)


เมื่อเดินไปถึงใกล้บริเวณหอไอเฟลก็เป็นธรรมเนียมที่ต้องถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล และประเด็นสำคัญต้องให้เห็นทั้งหอด้วยใช่มะ ไม่งั้นเรียกว่าไร้ความสามารถด้านการถ่ายภาพ อิอิ


เราชักภาพกันเสร็จแล้วก็เดินไปที่ตัวหอเพื่อขึ้นไปชมวิว พอเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นก็มองเห็นผู้คนเรือนร้อยมากไกลๆ ความรู้สึกแรกตกใจคิดว่ามีประท้วงพอเดินไปถึงจริงๆ ถึงรู้ว่าเขารอต่อคิวขึ้นไปจุดชมวิวข้างบนกันนั่นแหละ ที่น่าสนใจคือคิวแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆ คือขึ้นลิฟต์ไปดู กับขึ้นบันไดไปดู แน่นอนว่าแบบขึ้นบันไดไปราคาก็ถูกกว่า แถวสั้นกว่า ส่วนบรรดาผู้สูงวัยหรือคนกระเป๋าหนัก(กว่า)ก็เข้าคิวขึ้นลิฟต์กันไป เรากับเทรฟ...ไม่มีทางซะล่ะจะขึ้นลิฟต์ สองหนุ่มสาวอย่างเราต้องพิสูจน์ฝีมือด้วยสองขาเราเอง..เอ่อ..จริงๆ คืองกค่ะ เพราะตั๋วราคาถูกกว่ากันเกินครึ่ง แหะ แหะ แต่เดินขึ้นบันไดเขาให้ขึ้นไปได้แค่ชัั้นสอง (ตามที่เขาเรียก) ถ้าต้องการดูจุดสูงสุดของหอต้องขึ้นลิฟต์ต่อไปอีก และแน่นอนว่าต้องจ่ายตังค์เพิ่ม


เราไต่ระดับตามขั้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงเป้าหมายแล้วก็ไปนั่งจิบกาแฟ กับขนมปังร้อนๆ ตรงที่นั่งพัก..น่าประทับใจตรงที่แม้จะขึ้นมาบนนี้ของกินข้างบนก็ยังราคา (แพง)เท่าข้างล่าง คือเขาไม่ถือโอกาสขึ้นราคาแม้ว่าจะขายอยู่เจ้าเดียวก็ตาม เราสองคนเลยไม่ลังเลที่จะนั่งพักจิบชา กาแฟให้เหงื่อแห้ง..เอ่อ..แม้ว่าอากาศวันนั้นจะค่อนข้างเย็นแต่ไต่บันไดมาหลายร้อยขั้นก็เรียกเหงื่อได้ไม่น้อยนะคะ


หลังจากอิ่มหนำสำราญก็ถึงเวลาชมวิว...ว้าวว..อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าวิวเมืองปารีส ได้เห็นตัวอาคารสไตล์ยุโรปแบบชัดๆ ค่อยรู้สึกเหมือนได้มาปารีสหน่อย ที่ชั้นจุดชมวิวนี้เราสามารถเดินได้รอบตัวหอ เรียกว่าได้เห็นวิวปารีสทั่วเมือง (เพราะเมืองไม่ใหญ่) หลังจากตากลมจนหนาวได้ทีเราก็เคลื่อนตัวลงบันไดไปยังเป้าหมายต่อไป


เป้าหมายต่อไปคือท่าเรือสำหรับทัวร์ทางเรืออย่างที่บอก เราซื้อตั๋วแล้วก็วางแผนกันว่าเป้าหมายต่อไปคือจุดที่เรียกว่า Notre-Dame ซึ่งมีคาร์ทีดอร์ (Cathedral) หรือโบสถ์สำคัญตั้งอยู่ โบสถ์นี้มองจากข้างนอกดูอลังการดี แต่พอเข้าไปข้างในบรรยากาศค่อนข้างมืดทึม มีส่วนที่น่าประทับใจคือกระจกสีที่เขาเรียกว่า rose window สีสวยสดเด่นมาเลยทีเดียว


ออกจากโบสถ์มาก็ได้เวลาหาข้าวกลางวันกิน วันนี้สองคนตกลงกันว่าจะหาอะไรกินเป็นเรื่องเป็นราวที่ไม่ใช่แค่แซนวิช เราเดินกันไปเรื่อยเปื่อยตามสัญชาตญาณว่า อยากกินอาหารดีๆ ต้องไปตามตรอกซอกซอย..อย่าแวะตามร้านบนถนนสายหลัก เพราะร้านพวกนั้นดีแต่ดักนั่งท่องเที่ยวเพราะงั้นอาหารจะเป็นแบบทำทีเยอะๆ คุณภาพไม่ค่อยถึง ต้องร้านที่เขาทำไว้ขายคนท้องถิ่นถึงจะเป็นเป้าหมายที่เราต้องการ (เอ่อ..ทฤษฎีเป็นความเชื่อส่วนตัว กรุณาพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจเชื่อตาม อิอิ) แล้วในที่สุดเราก็สะดุดตาเข้าที่บาร์แห่งหนึ่ง มองเผินๆ เหมือนร้านขายเหล้าหรือคาเฟ่ทั่วๆไป แต่พอเดินเข้าไปข้างในถึงเห็นว่าเขามีส่วนที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านใน และคนก็แน่นมากเสียด้วย..อ่ะฮ้า..น่าสนใจ..แบบนี้อาหารต้องอร่อยแน่เลย..แล้วยิ่งเมื่ออ่านเมนูยิ่งตกลงใจว่าต้องกินที่นี่แหละเพราะ หนึ่งมีเมนูหอยทาก (Snails) แบบที่เราอยากลอง และสองมี Poached Pear หรือสาลี่ต้มซอสไวน์แดงแบบที่เราอยากลอง..ผลปรากฏว่า อาหารมื้อนี้อร่อยและหรูหรา (ด้านรสชาติ)ได้ใจมากๆ ราคาก็โอเค ไม่ถูกแต่ไม่แพงจนเกินรับ เทียบกับคุณภาพแล้วถือว่าเกินคุ้ม..


หลังจากแวะที่จุดนี้แล้ว เป้าหมายสำคัญสุดท้ายที่เราต้องไป Champs-Elys?e อ่านแบบเดาๆว่า ชองส์ เอลิเซ่ หรือถนนสายสำคัญในปารีสที่ต้องไปเยือนซักหน ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึงปารีส เราอยากไปเห็นเพราะถือว่าถนนสายนี้เป็นต้นแบบของถนนราชดำเนิน (ซึ่งก็ได้ใจมากๆ เพราะระหว่างเดินเล่นริมแม่น้ำ หลายทีให้อารมณ์นึกไปถึงเดินเล่นอยู่ริมราชดำเนิน ต่างกันที่อากาศเย็นกว่าเท่านั้นเอง..อ่อ่ ที่นี่รถติดได้ใจไม่น้อย) เรากับเทรฟเดินเล่นไปเรื่อยแล้วก็ไอเดียบรรเจิดอยากถ่ายรูปมีประตูชัยที่ตั้งอยู่สุดถนนเป็นแบรคกราวด์ ปัญหาคือมันจะต้องไปยืนถ่ายอยู่กลางถนนน่ะสิ..ฮ่าฮ่า ปรากฏว่าไอเดียนี้ไม่ใช่มีเราคู่เดียวที่คิด เพราะบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายก็คิดแบบเดียวกัน เพราะงี้ ณ เกาะกลางถนนอันสุดท้ายของถนนจึงเต็มไปด้วยนักท่องเทียวผู้ยอมเสี่ยงตายไปยืนล่อรถเพื่อถ่ายรูปสำคัญกัน เรียกว่าหวาดเสียวทั้งคนทั้งรถ เพราะเกาะกลางถนนที่ว่ามันไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย (ฮา)


จริงๆ จะว่าไปเดินเล่นไปตามถนนสายนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะเขาทำถนนสายนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ช็อปปิ้งสำคัญของเมืองเลยทีเดียว ที่สะดุดตาเราสุดๆก็คงจะหนีไม่พ้นบรรดาร้านค้ายี่ห้อดัง Designer Brands ทั้งหลาย อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าตึกส่วนใหญ่ในปารีสเขาจะปล่อยให้ร้านค้าเช่าชั้นล่างแล้วทำชั้นสองขึ้นไปที่ที่พัก เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ที่นี่แพงไม่น้อย เราแวะเข้าไปในห้างที่รวมเฉพาะแบรนด์ดังราคาแพง (เท่านั้น) น่าแปลกมากว่า..ที่หายากกว่าที่ช็อปปิ้งคือห้องน้ำ ไอ้ครั้นจะมั่วนิ่มเข้าร้านกาแฟอย่างที่เคยทำ..ก็อย่าหวัง..เพราะเจ้าของร้านเขาฉลาด บอกว่าโค้ดประตูห้องน้ำจะมีอยู่บนใบเสร็จที่ท่านซื้อของเรา (เท่านั้น)..แหะ แหะ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเราไม่เห็นใบเสร็จทิ้งเกลื่อนกราดอย่างทั่วๆไป ..ก็เขาก็ต้องเก็บทิ้งอย่างดีน่ะสิ อิอิ


ออกจากห้างนั้นด้วยความประหลาดใจปนโล่งใจ (เพราะหาห้องน้ำเข้าได้ในที่สุด) ที่ประหลาดใจคือ ทำไมเราไม่เห็นแบรนด์หลุยส์ วิตตอง อย่างที่คิด..อ่อ คำตอบอยู่นั่นไง


เขามีอาคารสามชั้นตั้งตระหง่านเป็นโชว์รูมของตัวเอง (โอ้ว..แม่เจ้า) ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือคิวที่รอเข้าไปซื้อของในร้านยาวไม่น้อย นับเร็วๆ มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าคน เทรฟแอบแซวว่านี่เขามีช่วงลดราคาหรือไงเนี่ย..ไม่ใช่จ๊ะ..ราคาปกติ..มารู้ทีหลังจากพี่สาวว่าเขาถึงขั้นแจกบัตรคิวและจำกัดจำนวนการซื้อกันเลยทีเดียว แถมห้ามวนเข้าไปซื้ออีกด้วย โอ้..อะไรจะขนาดนั้น นี่ขนาดของราคาไม่ถูกนะเนี่ย..


เดินกันจนสุดถนนแล้วเราก็มีแผนอันน่าสนใจ..นั่นคือเดินกลับโรงแรม..เทรฟอธิบายง่ายๆว่า โปร่งเราอยู่ตรงนี้ๆๆนะ ถ้าเดินไปตรงนี้ๆๆๆ เราก็จะถึงโรงแรมในที่สุด เราก็อ่อๆๆๆ แล้วก็เดินตามเทรฟไป ในใจคิดว่าดีเหมือนกัน ได้เดินชมเมืองปารีสเต็มๆ ..แต่กว่าจะรู้ตัวว่า "ไอ้แค่ตรงนี้" น่ะมันไม่ใช่ใกล้ๆ เพราะรวมๆ จากประตูชัยจนถึงโรงแรมเราก็เดินกันร่วมชั่วโมงกว่า..รวมกับที่เดินมาตลอดบ่าย..ก็ไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง..เพราะงี้พอใครถามถึง How was your making baby plan in the most romantic city in the world?..เราก็ได้แต่ตอบว่า..เดินเที่ยวกันเยอะไปหน่อย..เลยหมดแรงทำอย่างอื่น!! (ฮา)

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ พ.ย. 19, 2010 10:21 pm

31Oct2010 Happy Halloween day?


หกโมงครึ่ง..วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2010 @ home


พึ่งจะหกโมงครึ่งเองแต่บรรยากาศมืดเหมือนสามทุ่มครึ่ง วันนี้ทั่วประเทศปรับเวลาเข้าช่วงหน้าหนาวแล้วนั่นคือถอยหลังไปอีกหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เวลาที่นี่เลยห่างจากเมืองไทย 7 ชั่วโมงอย่างเป็นทางการ วันนี้วันฮาโลวีน..อืม เป็นครั้่งแรกที่ได้สัมผัสบรรยากาศเทศกาลนี้ในฐานะคน "อยู่บ้าน" แปลว่าพอฟ้ามืดเด็กตัวเล็กตัวน้อย (ฟังดูเหมือนไม่ใช่คนแฮะ) ก็พากันแต่งตัวแฟนซีเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านเพื่อเอาขนมเป็นของแลกเปลี่ยน..สนุกดี ไม่เคยอยู่บ้านที่เป็นบ้านของตัวเองมาก่อนเลยไม่มีโอกาสสัมผัสอะไรแบบนี้..เทรฟเตรียมตัวรับเทศกาลนี้ด้วยการตุนขนมเก็บไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน (ก่อนที่จะลืมซื้อ) เทรฟว่าถ้าไ่มีใครมาเคาะประตูก็ไม่เป็นไร เรากินกันเองก็ได้..ฮะฮ่า เพราะงี้ขนมที่ตุนไว้เลยมีแต่ของโปรดของเราทั้งสอง


วันนี้วันอาทิตย์วันหยุดอย่างเป็นทางการของเรา ที่บอกว่าเป็นทางการเพราะน้อยมากที่เรากับเทรฟจะได้หยุดตรงกัน พอได้หยุดตรงกันเราก็จะหาอะไรสนุกๆทำด้วย โปรแกรมวันนี้คือ..ทำบราวนี่ อิอิ


เรากางสูตรให้เทรฟดูตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน เทรฟก็ใจดีอุตส่าห์พาไปหาซื้ออุปกรณ์และส่วนผสม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังได้ไม่ครบเพราะขาด tin cooked chestnut หรือเกาลัคปรุงสุกแบบกระป๋อง ไปถามหาซื้อที่ไหนๆก็มีแต่แบบบดหรือไม่ก็แบบดิบ.. ต้น chestnut ที่นี่มีให้เห็นเยอะตามข้างทาง แต่น่าเสียดายไม่ใช่พันธุ์ที่กินได้ Horse Chestnut เป็นพันธุ์ที่ดีแต่ร่วงรกถนน อย่างดีก็เก็บลูกมันมาเล่น conkers วิธีการก็คือเจาะรูลูกเชสท์นัทแล้วร้อยเชือกผูกปมด้านนึงให้กลายเป็นเหมือนลูกตุ้ม ผู้เล่นสองฝ่ายต่างฝ่ายต่างมีลูกตุ้มเชสท์นัทหรือconkers (อ่านคองเคอร์ส)เป็นของตัวเอง วิธีเล่นคือ ฝ่ายนึงถือปลายนึงของเชือกปล่อยคองเคอร์สนิ่งๆ ส่วนอีกฝ่ายที่เป็นฝ่ายเล่นก่อนเหวี่ยงคองเคอร์สของตัวเองให้โดนคองเคอร์สอีกฝ่ายเป้าหมายคือ คองเคอร์สของใครแข็งกว่าจนสามารถตีของอีกฝ่ายแตกกระจายก็จะชนะ ผลัดกันเล่นไปเรื่อยจนได้ผู้ชนะ ..จริงๆ เกมส์แบบนี้ในเมืองไทยก็มีคล้ายๆกัน คลับคล้ายคลับคลาว่าใช้ลูกอะไรซักอย่างจำไม่ได้แต่วิธีการเล่นแบบเดียวกัน..ค่อนข้างจะเป็นเกมส์พื้นบ้าน เพราะเป็นการเอาของใกล้ตัวมาเป็นของเล่นนั่นเอง


วันนี้เรากับเทรฟได้พักผ่อน มีวันสบายๆ ร่วมกัน เราตื่นเช้าชวนกันไปวิ่งออกกำลังกายหลังจากที่อากาศและเวลาไม่อำนวยมาหลายสัปดาห์ เสร็จจากออกกำลังกายก็ได้เวลาเสริมสวย เราผลัดกันตัดผมให้กันเป็นนโยบายประหยัดเงินอย่างยอดเยี่ยม จากนั้นก็จัดการงานบ้านนิดๆหน่อยๆ ก่อนออกไปซื้อของมาทำบราวนี่ก่อนที่ห้างจะปิดตอนสี่โมงเย็น..ไม่ชอบวันอาทิตย์ตรงนี้แหละ..ร้านค้าปิดเร็ว


วันนี้อ้อนเทรฟให้พาไปซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม..เทรฟว่าวันก่อนก็พาไปไม่เห็นได้อะไรมาเลย..เรายิ้มแผล่บอก ก็มันเกิดอาการขี้เกียจเดินซะก่อนน่ะสิ..นิสัยแบบนี้ถือว่าเป็นข้อดีช่วยประหยัดเงิน เพราะเราเป็นคนไม่ชอบเดินซื้อเสื้อผ้า จะไปเมื่ออยากได้อะไรจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ถ้าให้ไปเดินดูเฉยๆ เดินได้ไม่นานก็ออกอาการเซ็งขึ้นมาซะงั้น ประมาณขี้เกียจลองเสื้อน่ะแหละ..วันนี้มีเป้าหมายอยากได้เสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงนี้..เรื่องเสื้อผ้าประจำฤดูนี่..(เนื่องจากรอบนี้ยังอยู่ไม่ครบรอบทุกฤดู เสื้อผ้าเลยยังมีไม่เยอะ) เรามักจะรอให้พอรู้ก่อนว่าอากาศจะประมาณไหนถึงจะได้เวลาออกไปช็อปปิ้ง..คำว่าอากาศประมาณไหนสำหรับเราหมายถึงว่า ส่วนใหญ่อากาศจะเป็นแบบไหน ฝนตกมากน้อยแค่ไหน (ตกมากก็ต้องหาเสื้อผ้าที่มันกันน้ำ ตกน้อยก็ใส่อะไรก็ได้ที่มันแห้งเร็วๆ) ลมแรง แดดออกบ่อยแค่ไหน เพราะถ้าใส่หนาเกินไปพอเวลาอากาศเปลี่ยนมันก็จะร้อน ใส่เสื้อผ้าบางเกินไปพอเวลาแดดหาย ลมมามันก็จะเย็น จะเตรียมทุกแบบในกระเป๋าก็คงพะรุงพะรังกันน่าดู


หนนี้ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าหาเสื้อกันหนาวแบบสวมหัวหรือ Jumper หรือ Fleece-ฟลีซ-เสื้อกันหนาวแบบเนื้อผ้าสำลี กับถุงน่องหรือเลกกิ้งที่ใส่แนบเนื้อหรือลองจอห์นก็ได้ส่วนผ้าพันคอกับหมวกไหมพรมมีเตรียมไว้ก็ไม่เสียหลาย ใช้ได้ดีทั้งเวลาฝนตกแบบพรำๆ กับลมแรง เพราะแห้งเร็วแล้วก็กันลมได้ดี..พอมีไอเดียในหัวเรื่องเดินช็อปปิ้งเลยไม่ค่อยน่าเบื่อ (เอ่อ..เสื้อผ้าประเภทที่ใช้ใส่แบบแนบเนื้อแล้วสวมเสื้อผ้าอื่นทับหรือที่เรียกว่า Undergarment โดยเฉพาะที่ใช้สวมก่อนนุ่งกางเกงเนี่ยมีตัวเลือกเยอะมาก..วันนี้ไปเดินแล้วพึ่งกระจ่างกับตัวเอง เพราะมันมีตั้งแต่ถุงน่อง (Tight) ซึ่งก็คือเนื้อบางๆแบบที่เรารู้จักในเมืองไทยไปจนถึงหนาหน่อย-เขามีขนาดความหนาของเนื้อผ้าระบุให้รู้-แล้วก็มี Legging ซึ่งก็คล้ายถุงน่องแต่เนื้อหนามากขึ้น นิยมใส่แทนกางเกงได้เลย..ถ้าสังเกตบางแฟชั่นที่ใส่เสื้อตัวยาวหรือกระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้นก็ใส่คู่กับ Legging ช่วยทั้งกันโป๊และกันหนาว บางแบบก็เหมือนกางเกงมากขึ้นไปอีก คือเนื้อหนาขึ้นและบางทีมีการเย็บเอวเหมือนกางเกงบางๆเลย มีให้เลือกสารพัดขนาด สี ทั้งแบบมีส่วนเท้ากับแบบที่ยาวถึงข้อเท้า แล้วยังมีแบบที่เหมาะกับอากาศหนาวมากๆอีก..ก็แล้วแต่จะดีไซน์กันออกมาเพื่อล่อในกระเป๋านักช็อปอ่ะนะ)


วันนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเสื้อผ้าตามร้านรวงที่เดินผ่านอย่างมาก เพราะเขาเริ่มขายเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวกันแล้ว เราชอบฤดูหนาวในเมืองหนาวอย่างนี้เพราะเวลาแต่งตัวจะมีลูกเล่นหรือ accessories ให้เล่นเยอะ ไม่ว่าจะเป็นส่วนเสื้อที่ใส่ได้ทั้งเสื้อตัวใน ตัวนอก เสื้อคลุมทั้งแบบยาวแบบสั้น สารพัดเนื้อผ้า, ส่วนท่อนล่างก็เป็นได้ทั้งกางเกง กระโปรง และอย่างที่บอกด้วยความที่มันใส่เสื้อผ้ามากกว่าหนึ่งชั้นเพราะงี้จะโปะ จะพันจะใส่อะไรมันก็มีให้เล่นเยอะ แล้วยังมีผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า หมวก ฯลฯ สนุกสนานมาก สีสันก็เลือกเอาตามใจชอบ แม้ว่าสีอาจไม่ฉูดฉาดบาดใจ แต่บรรดาเนื้อผ้าสารพัดเลือกก็ช่วยให้การช็อปปิ้งมีสีสันขึ้นเยอะ วันนี้เทรฟใจดีช่วยเลือกผ้าพันคอผืนใหม่ให้ด้วย (ปกติจะเอาแต่แซวว่า คอก็มีอยู่คอเดียวจะเอาไปทำไมหลายผืน) ผ้าพันคอผืนนี้น่ารักถูกใจมากเพราะสีสันแดงขาวเข้ากับคริสตมาสแถมมีหมวกหรือ Hood ติดมาด้วย เยี่ยมไปเลย นอกจากผ้าพันคอแล้วเราก็ได้ถุงเท้าใหม่ด้วย เป็นถุงเท้าขนๆ นุ่มๆ น่าใส่มากๆ เอาไว้ใส่นอนเพราะเท้าเรามักจะเย็นกว่าส่วนอื่น..จริงๆ ตั้งใจไปซื้อ Legging มาเพิ่ม แต่พอเดินดูแล้วถึงได้เห็นลูกเล่นอย่างอื่น (แหะ แหะ เล็งไว้ก่อน ไว้มาซื้อวันหลัง) เพราะเราชอบใส่กางเกงขาสั้นกับกระโปรงสั้นมากๆ ใส่ขาสั้นแล้วมีเลกกิ้งไว้ด้านใน ไม่โป๊ไม่หนาว แถมเดี๋ยวนี้เขามีอุปกรณ์เพิ่มความอุ่นให้ขาโดยเฉพาะยิ่งน่าใส่เข้าไปใหญ่ (จริงๆ เขาก็มีมานานแล้วล่ะ แต่ไม่เคยสนใจ) เรียกว่าใส่เลกกิ้งสีเรียบๆ แล้วสวมถุงขาแบบขนๆทับ..น่ารักดี..อึ๊ยยย อยากกด้ายยย..แหะ แหะ เก็บไว้ก่อน


เพราะงี้วันนี้เลยเอ็นจอยช็อปปิ้งเป็นพิเศษ..ก็แหม..ถึงแม้จะหนาวก็ไม่ได้แปลว่าสวยไม่ได้จริงมะ อิอิ


ป.ล. บราวนี่ที่ทำออกมาหน้าตาน่ากินมาก แต่ยังไม่ได้ชิมเลย รสชาติเป็นไงจะเก็บมาเล่าให้ฟังนะ..ว่าแล้ว..ไปชิมก่อนดีกว่า ไปล่ะ


ส่วนตัวเป็นคนชอบผ้าพันคอ หมวกและถุงมือเป็ฯ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ พ.ย. 19, 2010 10:25 pm

1Nov2010 Nerve-racking day?


บ่ายสองโมงกว่า วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2010 @ home


---
สามทุ่มกว่าแล้ว คืนนี้คืนวันอาทิตย์..พรุ่งนี้ก็วันจันทร์ โอ๊ยยยย...วันสอบใบขับขี่..โอ๊ยย..ไม่อยากจะคิดเลยยยย


อยู่ดีๆ เราก็เกิดอาการวิตกจริตอย่างแรง..จริงๆกังวลมาทั้งวันแหละแต่พอตกดึกมันชักเยอะจนเกินควบคุม..กลัวววว..น้ำตาร่วง ร้องไห้ เทรฟตกใจรีบถามว่าเป็นอะไร เราบอกเรากลัววันพรุ่งนี้ วันสอบใบขับขี่..


---


เช้านี้สภาพจิตใจสงบขึ้นมาก แน่ล่ะก็ต้องมีแอบตื่นเต้นอยู่บ้างแต่ไม่มากมายอะไร พยายามกินให้เยอะ (แบบพอดีๆ) จะได้ไม่หิวตอนสอบเพราะสอบตอนบ่ายโมงแปดนาที (ช่างเป็นเวลาแปลกๆ)
ริชาร์ดครูสอนขับรถมารับตามเวลาที่นัด..สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า..ตามแผนก็คือเราจะหัดขับรถกันรอบสุดท้ายก่อนจะถึงเวลาสอบเป็นเวลาหนึ่ังชั่วโมง ริชาร์ดทวนมานูเวอร์ (Manoeuvres แปลตามศัพท์ว่าการเปลี่ยนทิศทางรถหรือการเปลี่ยนระดับความเร็ว) ทั้งหมด ได้แก่ การกลับรถบนถนน (Turn in the road), กลับรถโดยถอยหลังเข้าซองหรือเข้าถนนสายรอง (Turn around the corner), ถอยรถจอดริมถนน (Reverse parking) และการหยุดรถแบบฉุกเฉิน (Emergency stop) มานูเวอร์ทั้งสี่จะมีการทดสอบเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ส่วนแบบทดสอบที่สองคือให้ดูแผนที่ตามทิศทางที่กำหนดแล้ว Examiner หรือคนที่ควบคุมการสอบจะปล่อยให้เราขับเอง อีกแบบคือจะบอกเป้าหมายที่ต้องไปแล้วให้ดูป้ายบอกทางบนถนนเอาเอง


เราขับซ้อมไปเรื่อยๆ ริชาร์ดพาไปซ้อมบริเวณวงเวียนเป็นหลักเพราะเรามักจะสับสนขับผิดเลน พอทำความเข้าใจกันดีแล้วก็เปลี่ยนไปฝึกอย่างอื่นต่อไป จนใกล้เวลาสอบ เราก็ไปจอดรถบริเวณใกล้ศูนย์สอบ ศูนย์สอบที่นี่เป็นแค่ห้องออฟฟิศเล็กๆที่มีเก้าอี้ให้นั่งรอจำนวนนึงกับห้องน้ำแล้วก็ห้องพักคนคุมสอบเท่านั้นเอง ไม่ได้มีไว้ทำอย่างอื่น ใครมาก็จอดรถไว้ข้างนอกแล้วมานั่งรอเรียกชื่อตอนถึงเวลาสอบ (เวลาสอบกำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนจองเวลาสอบเมื่อสองเดือนก่อน!! คิวยาวมากมาย) เราใจเต้นไม่เป็นส่ำ..บอกตามตรงว่า กลัว..ริชาร์ดทวนเรื่องการตอบคำถาม Tell me and Show me อีกรอบ เป็นการตอบคำถามความรู้เกี่ยวกับตัวรถได้แก่ เปิดฝากระโปรงแล้วสามารถบอกได้ว่า ที่เติมน้ำมันเครื่องอยู่ตรงไหน วัดระดับยังไง, น้ำมันเบรค, ถังน้ำระบายความร้อน, ส่วนเติมน้ำยาล้างกระจก, น้ำมันพาวเวอร์สำหรับพวงมาลัย, การตรวจเช็คสภาพยางและลมยาง, การตรวจเช็คสภาพรถโดยทั่วไป เช่น การทำงานของไฟเลี้ยว ไฟเบรค ไฟหน้า ไฟตัดหมอก ปุ่มต่างๆบนแผงควบคุมรถ ฯลฯ คำถามเหล่านี้ผู้คุมสอบจะเลือกตามแค่สองคำถาม..ก็เรียกว่าต้องรู้หมดแล้วก็ไปวัดดวงเอาว่าจะโดนถามอะไร (ซึ่งเอาจริงๆ เราว่ามันก็มีประโยชน์มากนะ เพราะขับรถถ้าไม่รู้จักรถตัวเองให้ดี ดีแต่ขับอย่างเดียวคงไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่)


พอทวนคำถามกันอีกรอบเป็นที่เรียบร้อย เราก็ไปนั่งรอให้ห้องรอสอบ..พอถึงเวลาผู้คุมสอบก็เรียงหน้ากันออกมาโดยมีแฟ้มอยู่ในมือมาคนละแฟ้ม ผู้คุมสอบขานชื่อของคนที่รอสอบของตัวเอง แล้วก็มีการเซ็นเอกสารกันเล็กน้อย ก่อนออกจากศูนย์ไปทำการสอบขับรถ..คำถามแรกคือต้องตรวจวัดสภาพสายตาด้วยการให้อ่านแผ่นป้ายทะเบียนที่อยู่ห่างออกไป 25 เมตร ถ้าอ่านได้ก็แสดงว่าสภาพสายตาปกติ (อันนี้ไม่เกี่ยวกับอ่านหนังสือไม่ออก ฮี่ฮี่)


จากนั้นก็เดินไปที่รถ ถามคำถาม Show me and Tell me..อ่ะนะ ซ้อมมาอย่างดี อันนี้ไม่ค่อยใช่ปัญหา


อ้อ ลืมบอกว่าผู้คุมสอบจะต้องตรวจ Provision License หรือใบขับขี่สำหรับผู้พึ่งหัดขับ คู่กับผลการสอบภาคทฤษฎี (ซึ่งแน่นอนว่าต้องผ่าน) ว่าชื่อที่อยู่ตรงกันและรูปตรงกับตัวจริง กระดาษที่ให้เซ็นชื่อเป็นการยืนยันเรื่องว่าถูกคน และในหน้ากระดาษนั้นจะมีข้อประเมินทักษะการขับรถในแง่ต่างๆ ถ้าเราทำอะไรผิดพลาดแต่ไม่ร้ายแรงหรือเสี่ยงอันตราย ผู้คุมสอบก็จะติ๊กว่าเป็นความผิดพลาดสถานเบาหรือ Minor fault ความผิดแบบนี้ให้ผิดได้ไม่เกิน 15 คะแนน เกินกว่านี้ก็สอบตก ถ้าความผิดพลาดนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ร่วมใช้ถนน เช่น ลืมมองข้างก่อนออกรถแล้วมีรถวิ่งมาพอดีจนผู้คุมต้องเหยียบเบรคช่วย หรือลืมหยุดรถตรงทางม้าลายแล้วผู้คุมสอบต้องเหยียบเบรค หรือแม้แต่ผู้คุมต้องเข้าหักพวกมาลัยช่วย ฯลฯ ความผิดพลาดเหล่านี้ส่งผลให้สอบไม่ผ่าน..อ้อ แล้วบรรดามานูเวอร์ทั้งหลาย ถ้าทำแล้วมีการถอยหรือขับชนขอบถนนหรือทางเท้าก็มีผลให้สอบตกเหมือนกัน..เพราะงั้น..ไม่หมูอย่างที่คิด


เมื่อตอบคำถามเรียบร้อย เราก็ออกตัวเมื่อพร้อม..ผู้คุมสอบจะบอกทางเป็นระยะๆ ยกเว้นแต่ช่วง Independent drive ที่ให้ดูแผนที่แล้วจำทางเอาเอง แล้วก็ขับไปตามนั้นโดยผู้คุมสอบจะไม่พูดอะไรเลย เราขับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็มีการให้หยุดเป็นระยะๆ เรารู้ว่าผู้คุมทดสอบว่าเรามีการเช็คกระจกหลัง เช็คระยะห่างและดูว่าพื้นที่เหมาะกับการจอดหรือไม่เป็นระยะๆ รวมทั้งการมองกระจกซ้ายขวา และรอบตัวก่อนออกรถด้วย..แล้วด่านหินด่านแรกก็มาเยือน Turn around the corner เรารู้ว่าลักษณะขอบถนนเป็นแบบเปิด แต่เอาเข้าจริงๆ เราถอยหลังเข้ามุมได้แย่มากๆ ผิดแผนจนเราขอผู้คุมว่าให้เราเริ่มต้นใหม่ได้ไหม ผู้คุมว่าเริ่มใหม่ไม่ได้ แต่ให้แก้ไขให้อยู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ ..เราก็..เอาวะ..แล้วก็ผ่านไปด้วยดี ไม่ได้ชนขอบถนนหรือใครตาย อิอิ


ขับต่อไปก็มีการให้ดูแผนที่อย่างที่บอก ครั้งแรกเข้าใจว่าจะเจอโจทย์นี้เพียงครั้งเดียว แต่กลายเป็นว่าเจอสองด่าน เราเลยแบบ..เอาวะ แบบนี้จะเจอให้อ่านป้ายบอกทางเอาเองอีกไหมเนี่ย เราแอบคิด..พอขับครบสองด่าน..ผู้คุมสอบชักเริ่มเงียบถึงเงียบ เรียกว่าไม่พูดอะไรเลยซักคำ เราเริ่มกังวล แต่พอเหลือบตามองนาฬิกา อ้อ ใกล้หมดเวลาสอบแล้ว นี่ก็คงกำลังขับกลับศูนย์แล้ว..ระยะเวลาการขับสอบยาวประมาณ 40 นาที..เราเริ่มเครียดเพราะเวลาที่รอคอยใกล้มาถึงแล้ว..ผลการสอบ


เราจอดรถในตำแหน่งที่ผู้คุมบอก แล้วผู้คุมก็บอกให้ดับเครื่อง ทำตัวตามสบาย..ขอแสดงความยินดีด้วย คุณสอบผ่าน! เย้!!!!!!!!!!!!!!!!


ดีใจสุดยอด เขาพูดอะไรต่อจากนั้นเรื่องเอกสารเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง..ริชาร์ดเดินเข้ามาสมทบแล้ว..แล้วยิ่งพอรู้ผลในรายละเอียดว่าคะแนนคือ..1 Minor fault! ว้าวว ยิ่งเยี่ยมเข้าไปใหญ่ (นี่ถ้าทำมานูเวอร์ได้เพอร์เฟ็คนี่จะเท่ากับไม่มีข้อผิดพลาดเลย..โอ้ววไม่อยากจะเชื่อ)


ทั้งเราและริชาร์ดต่างแฮปปี้กันทั้งคู่...ในที่สุด อีกหนึ่งด่านหินก็ผ่านไป เย้ๆๆๆๆๆ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ พ.ย. 19, 2010 10:35 pm

7Nov2010..Happy birthday to my sis. :)?


สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2010 @ home


วันนี้วันเกิดพี่นิดนี่หว่า..สุขสันต์วันเกิดนะค้าา


แต่เมื่อวาน 6 พฤศจิกายน..วันครบรอบวันแต่งงานของเรา :)


จริงๆ ต้องบอกว่าเรากับเทรฟยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะนับวันไหนเป็นวันครบรอบการเริ่มต้นชีวิตคู่ของเราเพราะ..


6 พ.ย.- วันจดทะเบียนสมรส
15 พ.ย.- วันฉลองมงคลสมรส
19 พ.ย.- วันที่ได้วีซ่าคู่สมรส (หลังจากยื่นขอวีซ่าไปแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์ So amazing!)
24 พ.ย.- เดินทางถึงประเทศอังกฤษ เพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเป็นทางการ


และวันที่สำคัญมากที่สุดสำหรับเราสองคนอีกวันก็คือ 13 ธ.ค. วันที่เราสองคนเจอกันครัั้งแรก..อืม เพราะงี้เราเลยตัดสินใจไม่ถูกว่าเวลาเราฉลองครบรอบวันแต่งงานหรือครบรอบการคบกันจะนับวันไหน..ในที่สุดเราก็ตัดสินใจฉลองกันทั้งเดือนพฤศจิกายนไปเลยละกัน..ยาวไปจนถึง 13 ธันวาคม แหะ แหะ..


เมื่อวานเราไปฉลองกันด้วยการไปค้างคืนที่ผับชื่อ The Dog Inn เป็นผับที่มีบริการห้องพักที่เรียกว่า Bed&Breakfast หรือ B&B ผับนี้เทรฟเคยมาใช้บริการเป็นครั้งคราวเวลาต้องมาประชุมหรือทำงานที่ออฟฟิศสำนักงานใหญ่ที่ Wotton-under-Edge (วู๊ดท่อน อันเด้อ เอจ์ด..ออกเสียงประหลาดๆเนอะ) ..เอ่อ งานของเทรฟคือเป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมระบบและเรดาห์ งานส่วนใหญ่จะนั่งประจำที่ออฟฟิศลูกค้า อันได้แก่บริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมระบบป้องกัน (ประเทศ) จำพวกมิซไซน์..เขียนไงเนี่ย (Missile) หรือระบบเรดาห์สำหรับอุปกรณ์ป้องกันภัยทางอากาศหรือทางเรือ..อุ๊บ..ลืมไปว่างานส่วนใหญ่เป็นความลับระดับประเทศค่ะ แหะ แหะ พูดมากไปไม่ดี เอาเป็นว่า..ด้วยงานเลยทำให้เทรฟต้องเดินทางตลอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ก่อนแต่งงานกันเทรฟเดินทางไปแล้วมากกว่า 22 ประเทศทั่วโลก..น่าอิจฉาจริงๆ) พึ่งกลับมาอยู่อังกฤษช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง..เอ๊ะ ไปๆ มาๆ มาโม้เรื่องเทรฟทำไมเนี่ย..จะเล่าเรื่องผับไม่ใช่เหรอ


อ่ะ เข้าเรื่องต่อ..ความน่าสนใจของเดอะด็อกผับอยู่ตรงที่การให้บริการผับและบีแอนด์บีนี่แหละ ผับนี้ประกอบด้วยตัวอาคารสามส่วนหรือจะพูดให้ถูกก็คือบ้านสามหลัง หลักแรกและหลังหลักเป็นส่วนที่เป็นผับมีเมนูยาวเหยียดให้เลือกตั้งแต่อาหารสไตล์ผับอังกฤษทั่วไป เช่น ฟิชแอนด์ชิบ (fish and chip ก็ปลาชุปแป้งทอดกับมันฝรั่งทอดนั่นแหละ), สเต็ก, แซนวิช, ซุป ฯลฯ ไปจนสารพัดอาหารนานาชาติทั้ง จีน เม็กซิกัน อิตาเลียน ฝรั่งเศส รวมไปถึงอาหารทะเล (สไตล์อังกฤษ) อีกสารพัดเลือก หลากหลายจริงๆ แถมด้วยเมนูของหวานอีกเกือบสิบอย่าง..ความน่าตื่นเต้นนอกจากเมนูที่มีสารพัดให้เลือกแล้ว ประเด็นหลักที่เราอยากมาดูวันนี้คือการจัดการเรื่องที่พักและระบบใบเสร็จ


ตัวผับเองก็มีส่วนห้องพักอยู่จำนวนหนึ่งเป็นส่วนต่อเติมอาคารด้านหลังเป็นเหมือนห้องแถวชั้นเดียวที่มีห้องน้ำในตัว การตกแต่งและขนาดห้องของห้อง กว้างขวางสะดวกสบาย สะอาดและดูเรียบร้อยดี ตัวอาคารอีกหลังที่อยู่ตรงข้ามหน้าตาก็เหมือนบ้านสไตล์ค็อทเทจ (Cottage ให้จินตนาการบ้านในชนบทของอังกฤษที่สร้างด้วยกำแพงหิน หน้าตาเป็นกล่องๆ ดูน่ารัก อบอุ่น รายล้อมไปด้วยต้นไม้สาระพันธุ์ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ยิ่งตอนนี้เหล่าต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลือง ทอง ส้ม แดง ยามต้องแดดยามเช้าชวนให้ต้องตาเพลินใจน่าดู..แหะ แหะ ขออภัยลืมถ่ายรูปมาให้ดูอีกแล้ว) บ้านหลังนี้หลังจากแอบสัมภาษณ์เล็กน้อยก็ได้ความว่า ตอนนี้เจ้าของบ้านเองไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้แล้ว แต่เปิดเป็นห้องพักทั้งหลังจำนวน 10 ห้อง ชั้นล่างติดกับห้องครัวเป็นส่วนต่อขยายที่เรียกว่า Conservatory หรือเรือนกระจกที่ทำได้กว้างขวางขนาดวางโต๊ะกินข้าวขนาด 8 ที่นั่งและชุดโซฟาเข้าไปได้ บริเวณนี้ใช้เป็นส่วนบริการอาหารเช้าสำหรับแขกที่มาพักไม่ว่าห้องพักจะอยู่ในส่วนอาคารไหนก็ตาม..ตอนนั่งกินให้อารมณ์เหมือนไปนอนบ้านเพื่อนแล้วเพื่อนทำข้าวเช้าให้กินมากกว่าไปนอนโรงแรม แหะ แหะ ..ให้บรรยากาศแบบอยู่บ้าน..แนวอบอุ่นๆ มากๆ


ส่วนบ้านอีกหลังเป็นบ้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับบ้านหลังนี้..พูดง่ายๆก็คือบ้านสามหลัง(รวมผับ) ตั้งอยู่คนละหัวมุมถนนของสี่แยกนั่นเอง บ้านอีกหลังที่เหลือก็เปิดเป็นบีแอนด์บีเหมือนกัน แต่เจ้าของบ้านยังคงอาศัยอยู่ในบ้าน ส่วนที่แขกพักเป็นส่วนต่อเติมอาหารด้านหลังอีกเหมือนกัน ความน่าสนใจของระบบการจัดการที่นี่ก็คือ ทุกห้องพักและการเช็คอินทำผ่านผับ ซึ่งเทรฟชอบมากเพราะผับเปิดบริการตั้งแต่สายยันดึกและมีคนทำงานประจำอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าคุณจะโทรมาจองห้องพักหรือเข้าเช็คอินเมื่อไหร่อย่างไรก็ได้ สะดวกสบายกว่าโทรไปจองห้องพักที่เจ้าของบ้านดูแลเองเพราะบางทีก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์หรือไม่ก็ต้องนัดเวลาการเข้าพักซึ่งอาจไม่สะดวกนัก


รวมไปถึงบิลค่าห้องพัก เครื่องดื่ม อาหาร ทั้งหมดไม่ว่าคุณจะดื่มที่ผับ พักอีกบ้าน กินอาหารเช้าอีกที่ (ภายในบ้านสามหลังนี้) บิลทั้งหมดจะรวมเป็นบิลเดียวแล้วและแจ้งให้ลูกค้าทราบยอดรวมหลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้ว..เยี่ยมไปเลย


ความลับของการดำเนินการที่นี่ก็คือเพราะบ้านทั้งสามหลังมีเจ้าของเป็นคนในครอบครัวเดียวกันนั่นเอง เพราะงี้ความไว้วางใจจึงมีเต็มๆ แต่ส่วนที่เราชอบที่สุดก็คือบ้านหลังที่ทำหน้าที่บริการอาหารเช้า บ้านหลังนี้มีห้องพักสิบห้องด้วยกัน ดูแลโดยคุณสุภาพสตรีผู้เสริฟอาหารเช้าเรานี่แหละ เธอทำตั้งแต่เตรียมอาหารเช้า ทำห้อง ทำความสะอาด ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน ฯลฯ เรียกว่าคนเดียวทำทุกอย่างแต่ทำให้ฐานะลูกจ้างนะ..แหม เห็นแล้วอยากได้แบบนี้ไว้ซักคน ทำสารพัดแล้วไว้ใจได้ ส่วนตัวเจ้าของบ้านตอนนี้ย้ายไปอยู่เยอรมันเรียบร้อยแล้ว


นอกจากการนัดเดทเพื่อฉลองวันครบรอบการแต่งงานครั้งนี้แล้ว เรายังมีเรื่องตื่นเต้นอีกเยอะ ไว้จะเก็บมาเล่าให้ฟังใหม่นะ..ไปเตรียมอาหารกลางวันให้คุณสามีก่อน ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ พ.ย. 19, 2010 10:41 pm

7Nov2010 (2) เรื่องราวของคนเล็กๆ รอบๆตัว?


เกือบบ่ายสองโมง วันอาทิตย์ที่ 7พฤศจิกายน 2010 ที่บ้าน หน้าคอมฯตัวเดิม


วันนี้มีเวลาต้องรีบอัพเดทเรื่องราวที่อยากเล่าให้ฟัง..เตรียมไว้นานแล้ว แต่ไม่ว่างเขียนซักที..(เฮ้อ)


---
วิลหรือวิลเลี่ยม ชายร่างสันทัด ผมสีบรอนขาวบ่งบอกถึงวัยที่ล่วงเลย..บางทีวิลอาจจะแค่ดูแก่กว่าอายุจริง ทุกวันวิลจะมาทำงานทำความสะอาดที่สถานีรถไฟ วิลก็เหมือนคนทำความสะอาดทั่วไปที่มีถังน้ำ ไม้ถูพื้น ผ้าขี้ริ้วเป็นอุปกรณ์ประจำตัว เครื่องแต่งกายสีกรมท่าหม่นมีตราบริษัทอยู่ที่มุมซ้ายของเสื้อเพื่อบ่งบอกสังกัดของงานที่ทำ วิลเดินขึ้นเดินลงชั้นบนชั้นล่าง โถงทางเดิน บันไดและสารพัดที่ภายในตัวสถานีเพื่อปฏิบัติภารกิจของตัวเอง ผู้โดยสารรายรอบที่ผ่านมาและผ่านไปเพื่อใช้บริการนี้คงไม่มีใครใส่ใจหรือสังเกตเห็นวิลเท่าไหร่ จะสะดุดตา สะดุดใจเอาก็เวลาที่มีป้ายกั้นไม่ให้ใช้บันไดหรือพื้นที่บางส่วนเพราะวิลกำลังทำความสะอาด หรือเวลาที่ห้องน้ำไม่สะอาดสมดังใจ ใครต่อใครก็อาจจะก่นด่าคนทำความสะอาดอยู่ในใจ..ว่ามันหาย (หัว)ไปอยู่ไหนวะ ทำไมไม่มาดูแล


ตั้งแต่เราเริ่มไปทำงานที่อัปเปอร์ครัสต์ เราก็สังเกตเห็นวิลเป็นระยะ เพราะเราทำงานที่สถานีรถไฟเดียวกัน เดินไปเดินมาก็ต้องสวนกัน เห็นกันเป็นธรรมดา แรกเริ่มเดิมทีเราก็ต่างคนต่างทำงานของตัว ไม่ได้สนใจกันเท่าไหร่ จนกระทั่งเราสังเกตเห็นวิลเป็นประจำ เราก็เริ่มยิ้มทักทายตามประสาเรา วิลผู้ไม่คุ้นเคยกับการคุยกับใครมากนักก็หลบสายตาก้มหน้างุดทำงานต่อไป..ปฏิกิริยาของวิลสะกิดใจเราว่า..เอ้อนะ คนเหล่านี้เขาเป็นคนที่ "ไม่มีพื้นที่ยืน" ในสายตาของคนทั่วไปมากนัก ก็อย่างที่บอกใครเขาจะมาสนใจคนทำความสะอาด ถ้าไม่บังเอิญไปเจออะไรที่มันเลอะเทอะรุงรังเข้า วิลเองก็คงเคยชินกับการถูกเมินเฉยหรือมองข้ามจากคนทั่วไป เพราะงั้นเมื่อเรายิ้มให้วิลคงไม่คิดว่าเราคงพยายามทักเขา.. เรายิ้มให้และทักทายวิลทุกครั้งที่เดินสวนกัน จนกระทั่งความพยายามของเราเป็นผล วิลเริ่มสังเกตว่าเราพูดกับเขาจริงๆ วิลหันมายิ้มตอบแล้วทักกลับ..สิ่งที่เราเห็นและได้รับกลับมาชนิดคาดไม่ถึงก็คือ แววตาที่เปล่งประกายของวิล แววตาที่บ่งบอกถึงความมีตัวตน บ่งบอกถึงความรู้สึกว่า "เฮ้..มีคนทักเราด้วย เขาสังเกตเห็นเราด้วย!!!" แววตามแบบนี้ทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจอย่างประหลาด


ทุกวันวิลตื่นเช้ามาทำงาน ทำความสะอาดทุกอย่างทุกพื้นที่ในสถานี พอตกบ่ายวิลจะมาแวะที่ร้านเราเพื่อซื้อบ่ะเก็ต ณ วันนั้น บะเก็ตที่ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ ?1.99 หรือราวร้อยกว่าบาท วิลมักมาถามหาบ่ะเก็ตชีสกับมะเขือเทศอุ่นร้อน (ไม่รู้ว่าชอบกินหรือเพราะว่ามันถูกสุด) กับแฟนต้าทวิสต์ (Fanta twist) หรือแฟนต้ารสน้ำผลไม้รวมแช่เย็นจากตู้เย็นในร้านเรา ราคาขวดละ ?1.50 (ราว 75บาท) เราไม่รอช้ารีบบอกวิลว่ามันมีโปรโมชั่นซื้อสองขวดแค่สองปอนด์ แล้ววิลก็จะซื้อไปสองขวดทุกครั้ง สรุปทุกมื้อกลางวันหรือมื้อเบรคของวิลจะตกราวๆ สี่ปอนด์ (สองร้อยกว่าบาท) บอกตามตรงว่าราคาขนาดนี้สำหรับคนทำงานกินรายชั่วโมงอย่างเราหรือโดยเฉพาะอย่างวิลที่กินค่าจ้างแค่อัตราขั้นต่ำถือว่าแพงไม่น้อย เราเองยังไม่เคยนึกจะซื้อข้าวกลางวันกินด้วยราคาขนาดนี้ (เราจะเตรียมมาจากบ้านเสมอ ยกเว้นก็แต่บ่ะเก็ตที่เรากินฟรีจากที่ร้าน)


วิลคว้าบ่ะเก็ตจากร้านเราพร้อมแฟนต้าในมือสองขวดไปนั่งทอดหุ่ยบริเวณที่นั่งพักผู้โดยสารที่ตัวเองนั่นแหละเป็นคนดูแลความสะอาดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สายตาที่เหม่อมองไปไกล พร้อมด้วยแววตาที่ผ่อนคลายลง บ่งบอกให้รู้ว่า อ่าา..นี่เวลาพักของฉันนะ เวลาที่ฉันรอคอยมาทั้งวัน หลังจากที่กรำงานหนักมาตลอดเช้า..บ่ะเก็ตร้อนๆ กับแฟนต้าเย็นๆในมือจึงเป็นเสมือนรางวัลให้กับชีวิตของตัวเอง..


หลายครั้งที่เรารอบน้ำตารื้นเวลามองวิล..ผู้ชายธรรมดาท่าทางงกๆ เงิ่นๆที่ไม่มีใครสนใจ มาทำงานที่่ไม่ค่อยมีใครอยากทำและดูจะไม่มีค่าในสายตาใคร แต่เขาก็ยังคงทำงานอย่างหนักไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร เพื่อเงินที่อาจจะไม่มากมายในสายตาใครแต่ก็เพียงพอที่จะดำรงชีพในแต่ละวัน..แซนวิชและเครื่องดื่มโปรดเย็นๆ เป็นทั้งพลังงานของวันและรางวัลแห่งการทำงาน ณ วันหนึ่งที่มีคนมองเห็นเขา ทักทายเขา เรียกชื่อเขา และทำให้เขารับรู้ว่า เขาไม่ใช่ตัวคนเดียวในพื้นที่เล็กๆของโลกใบนี้..วันที่ทำให้เขารู้ว่าเมื่อเขายิ้มกลับมาก็มีคนรอมองรอยยิ้มนั้นอยู่เสมอ..เขาไม่เดียวดาย และเขาไม่ใช่ "คนไม่สำคัญ" อีกต่อไป..


---


แซนดร้า (Sandra) เพื่อนร่วมงานผู้แสนเศร้า แซนดร้ามาทำงานพร้อมกับการพร่ำบ่นถึงความโชคร้ายในชีวิตของตัวเองเสมอ ทุกคำพูด ทุกความคิด ของผู้หญิงผู้สูงวัยคนนี้ต่างเต็มไปด้วยความหดหู่ เศร้าสร้อย และเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยมีใครอยากทำงานกับแซนดร้าเพราะแซนดร้าบ่นไม่หยุด พร่ำรำพรรณแต่เรื่องแย่ๆ มองชีวิตแต่แง่ลบอยู่ตลอดเวลา..เฮ้อ..เศร้า


แรกๆ เราทำงานกับแซนดร้าเราก็รำคาญ และพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตลอด ทำเป็นไม่สนใจ ไม่ฟังซะก็บ่อยไป..จนกระทั่งช่วงเดือนที่ผ่านมาเราต้องเข้างานกะเย็นเป็นหลักเพราะต้องเรียนขับรถตอนเช้า ทำให้เราต้องเข้างานเจอกับแซนดร้าเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยได้มีเวลาคุย มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น


"แซนดร้า ยูอายุเท่าไหร่แล้วอ่ะ"
"64"
..อ้าว แล้วทำไมยูยังไม่เกษียณอีกล่ะ คือเราเห็นวิน(เพื่อนร่วมงานอีกคน) ตื่นเต้นดีใจเตรียมตัวเกษียณต้นปีหน้านี่แล้ว..อืม..เกษียณไม่ได้น่ะ ไม่งั้นไม่พอกิน..เราฟังคำตอบแล้วก็อึ้งไปเลย


เรามีโอกาสสัมภาษณ์แซนดร้าอีกนิดหน่อยในวันต่อๆมาที่ได้ทำงานด้วยกัน เรารู้สึกว่าเรารู้จักแซนดร้ามากขึ้น เข้าใจเธอมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เห็นใจแซนดร้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน


แซนดร้าผู้หญิงที่ถ้าคิดแบบคนไทยก็ถือว่าอยู่ในวัยอยู่บ้านเลี้ยงหลานแล้ว แต่ยังต้องขับรถมาทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินในร้านขายของในสถานีรถไฟเพียงเพื่อให้มีรายรับเพียงพอที่จะจ่ายบิลค่าน้ำค่าไฟ ค่าแก๊ส หรือพูดง่ายๆก็คือให้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองนั่นเอง ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวแม้ว่าจะเคยผ่านการแต่งงาน แต่ก็กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับเธอ ถูกสามีทารุณกรรมขังเธอทิ้งไว้ในบ้านก่อนที่จะหายตัวไป จนเธอเองต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย (แซนดร้าเล่าเสียงเครือพร้อมด้วยแววตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกอันโหดร้ายที่ก่อเกิดในวันวาน..เรารู้ทันทีว่าไม่ควรถามอะไรต่อ เพราะมันคงจะโหดร้ายเกินไปที่จะให้ใครซักคนรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้น) แซนดร้าใช้ชีวิตตัวคนเดียวกับหมาคู่ใจที่วัยก็ไม่แตกต่างจากเธอมากนัก ไม่มีลูก มีแต่หลานๆที่เธอรัก โชคดีที่มีพี่น้องและเพื่อนฝูงอาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียง ..ช่วงปีที่ผ่านมาแซนดร้าสูญเสียทั้งเพื่อนและญาติภายในปีเดียวกัน ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหดหู่ให้เธอไม่น้อย แถมรถที่ใช้อยู่ทุกวันยังถูกพวกเดนสังคมวางเพลิงซะงั้น หมาที่รักก็เริ่มมาเจ็บป่วย..เพราะอย่างนี้ทุกวันที่เธอก้าวเท้าเข้ามาทำงานเรื่องราวที่พรั่งพรูออกจากปากเธอจึงมีแต่ความทุกข์ระทม..


ตั้งแต่ที่เรารู้จักแซนดร้ามากขึ้น สิ่งที่เราทำได้คือ หยุดและฟังสิ่งที่เธอกำลังจะเล่าอย่างตั้งใจ เพราะอย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เราพอจะทำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สำหรับใครซักคนที่ดูจะโดดเดียวเหลือใจ แซนดร้าต้องทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งที่คนในวัยเดียวกันหลายคนพร้อมที่จะเกษียณอยู่บ้าน และรอรับเงินสวัสดิการจากรัฐ ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายภายหลังจากการทำงานหนักมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน การที่เราหยุดและฟังอย่างตั้งใจ พร้อมทั้งแสดงความเห็นใจจากใจจริงเป็นสิ่งที่เราตั้งใจทุกครั้งที่เราเจอเธอ เราเพียงแต่ต้องการให้แซนดร้ารู้สึกว่าเธอไม่ได้โดดเดียวจนเกินไปนัก อย่างน้อย ณ ที่ทำงานที่แสนจะน่าเบื่อแห่งนี้ก็ยังมีเพื่อนอีกคนที่พร้อมฟังและให้กำลังใจเธออยู่


ชีวิตของแซนดร้าทำให้เรารู้สึกว่าเราช่างโชคดี เพราะเรามีคุณภาพชีวิตทีดีกว่ากว่าเธอมากมายนัก


--


เรื่องราวของคนเล็กๆ รอบๆตัวเราบ่งบอกและย้ำเตือนบทเรียนบทสำคัญบทหนึ่งสำหรับเสมอ นั่นก็คือ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร เตี้ย ต่ำ ดำ ขาว ร่ำรวย หรือยากจน ทุกคนต่างมีชีวิต มีเรื่องราวเบื้องหลังเป็นของตัวเอง เขามาทำงาน ณ ตรงนี้ ตรงที่ใครหลายคนหากเลือกได้คงไม่อยากทำ ไม่ว่าจะด้วยค่าแรงที่น้อยนิด หรือด้วยเกียรติภูมิที่ไม่สูงส่ง แต่มันก็คืองานที่ทุกคนเลือกที่จะทำเพื่อเลี้ยงปากท้องของตนเอง งานที่ทำให้เขาสามารถดำรงอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้ และไม่ว่างานที่พวกเขาทำจะเป็นอะไรเขาก็สมควรได้รับเกียรติและการปฏิบัติเช่นคนทั่วไปในสังคม..ไม่ใช่ เป็นแค่เพียง "คนไม่มีพื้นที่ยืน" ในสายตาของใคร
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ พ.ย. 19, 2010 10:49 pm

14Nov2010 ..อีกหนึ่งวันของวันหยุด..


ห้าทุ่มกว่าแล้ว วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2010 @ home


เคยเป็นไหมที่ว่าพอทันทีที่เปิดคอมฯ เวบแรกที่เข้าก็คือเช็คเมล์กับเฟซบุ๊ค..เช็คเมล์..เข้าใจได้..แต่เฟซบุ๊ค..อืม..บางทีก็เข้าไปแบบงงๆ ทั้งๆที่ก็พึ่งเข้าไปเช็คมา ..แต่มันเหมือนเป็นความเคยชินเป็นหน้าที่ไปแล้วเลยเนอะ..ประสาทจัง


--


วันนี้วันอาทิตย์อีกหนึ่งวันของวันลาพักร้อน เราลาพักร้อนมาตั้งแต่วันพฤหัสฯที่แล้ว จะกลับไปทำงานอีกทีก็วันพุธ เป็นการลาพักร้อนที่ไม่ได้ตั้งใจไปไหนกัน แต่ลามาจัดการงานบ้านทั้งหลายทั้งปวงให้ลุล่วงไปตามแผน และที่สำคัญกว่านั้นก็คือลามาใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับสามีแบบที่สมควรจะทำมาตั้งนานแล้ว..เพราะตั้งแต่ทำงานที่เวลางานมันประหลาดๆ เราสองคนก็หาโอกาส หาเวลาอยู่ด้วยกันลำบากจริง


เมื่อวันศุกร์เราจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจชวนเพื่อนที่ทำงานมากินข้าวบ้าน..ไม่ใช่ด้วยโอกาสพิเศษอะไรหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าหาอะไรทำที่มันร่าเริงบันเทิงใจแล้วก็แตกต่างออกไปทำบ้าง หลังจากที่เครียดและจดจ่อกับการเรียนขับรถและสอบใบขับขี่มาสองสามเดือน มาถึงวันนี้ถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลายกันบ้าง


เราตัดสินใจจัดงานปาร์ตี้คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยเพราะเป็นวันศุกร์เพื่อนหลายคนไม่ต้องไปทำงานเช้าวันเสาร์ และเราเองก็ยังอยู่ระหว่างลาพักร้อน เรียกว่าเป็นจังหวะเวลาดีๆ ที่ไม่สร้างความเครียดให้ทั้งสองฝ่าย เราตื่นเต้นกับการจัดงานครั้งนี้มาก เพราะเป็นครั้งแรกที่จะทำกับข้าวเลี้ยงคนสิบกว่าคนด้วยตัวเองคนเดียว แน่นอนว่าปาร์ตี้ครั้งนี้ต้องเป็นอาหารไทย เพราะคนที่ทำงานเราส่วนใหญ่(จริงๆ บอกว่าทุกคนก็ไม่ผิด) ไม่เคยลองกินอาหารไทยและไม่รู้จักว่ามันหน้าตาและรสชาติเป็นอย่างไร..อืม...เรียกว่าแบกภาระการสร้างความประทับใจเกี่ยวกับอาหารไทยไว้เต็มบ่า (ฮา)


เรากับเทรฟช่วยกันร่างเมนูตั้งแต่ก่อนวันงานเป็นอาทิตย์ เริ่มแรกก็มีประมาณหกอย่าง สุดท้ายคุยกันไปคุยกันมากลายเป็น 12 อย่างซะงั้น (โห!) จริงๆ ทำกับข้าวไทยหลายจานแบบนี้ส่วนที่น่าท้าทายที่สุดเห็นจะเป็นการวางแผนว่าจะปรุงอะไรเมื่อไหร่ตอนไหน เพราะอาหารทุกจาน(ตามธรรมเนียมไทย) ควรจะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะพร้อมกันเป็นสำรับหรือในเวลาใกล้เคียงกันและต้องกินร้อนๆถึงจะอร่อย..ปัญหาคือในประเทศหนาวท่ามกลางอากาศเริ่มหนาวแบบนี้ เสิร์ฟอาหารไทยให้ยังร้อนและอร่อย..อืม..ท้าทายจริงๆ (เราไม่มืออาชีพขนาดมีถาดพร้อมที่อุ่นอยู่ด้านล่างหรอกนะ)


พอได้เมนูเราก็เริ่มแจกแจงรายละเอียดว่าแต่ละจานต้องมีเครื่องปรุงอะไรบ้าง แล้วก็ยุบรายการซื้อของเป็นสองส่วนคือส่วนเนื้อสัตว์ที่ซื้อตุนไว้ได้กับส่วนผักที่ตุนไม่ได้ ต้องซื้อใกล้วันเท่านั้น ตามมาด้วยรายการขั้นตอนการทำ เพราะอย่างที่บอกทุกอย่างจะต้องปรุงแล้วเสิร์ฟร้อน และรายการสุดท้ายก็คือเราจะเสิร์ฟอาหารยังไง เพราะเราไม่ได้มีอุปกรณ์แบบโรงแรม เรียกว่าอะไรเสิร์ฟในหม้อในกะทะได้ก็ยกมาทั้งอย่างนั้นแหละ เพราะจะให้ลงทุนซื้อทุกอย่างคงไม่ใช่ที่


ถ้าถามว่า...ก็แล้วถ้ามันยุ่งยากซะขนาดนี้ แล้วทำไมต้องทำมันซะมากมายหลายอย่างขนาดนั้น..เป้าหมายของเราสองคนก็คือให้เพื่อนที่ไม่เคยสัมผัสรสชาติอาหารไทยได้ลองอะไรที่พอจะทำให้เขาเห็นภาพได้บ้างว่า อาหารไทยรสชาติประมาณไหน หน้าตาเป็นไง เรียกว่าพอไปร้านอาหารไทยก็พอจะรู้ว่าจะสั่งอะไรมากินดี (ถึงแม้ว่าเมนูที่เราเตรียมส่วนใหญ่จะไม่มีขายในร้านอาหารไทยก็เหอะ) ว่าแล้วมาแจกแจงกันหน่อยดีกว่าว่านำเสนออะไรกันไปบ้าง


เริ่มตั้งแต่ ของกินเล่นและอาหารเรียกน้ำย่อยทั้งหลาย ได้แก่ ข้าวเกรียบกุ้ง..อันนี้ตั้งใจทำ..เอ่อ..ตั้งใจทอดข้าวเกรียบกุ้งมโนราห์เพราะข้าวเกรียบที่คนที่นี่ส่วนใหญ่รู้จักเป็นข้าวเกรียบขาวราคาถูกจากร้านอาหารจีน..ซึ่งไม่อร่อยเอาซะเลย (แต่ก็ฮิตน่าดูเหมือนกัน..ก็นะ..เขาไม่รู้จักข้าวเกรียบกุ้งแสนอร่อยของเรานี่เนอะ) เราซื้อแบบที่ยังไม่ทอดมาทอดเตรียมไว้ก่อนวันงานสองสามวัน (แบบที่ทอดไว้แล้วไม่มีขายค่ะ)
2. ก็ต้องไส้อั่วที่ทำเองกับมือ..จริงๆ ตั้งแต่เตรียมเครื่องแกง บดหมู ผสมหมู ยัดไส้ นึ่งและทอด รวมไปถึงน้ำพริกหนุ่มและเครื่องเคียงอย่างแคบหมู ขิงดองและถั่วคั่ว (สองอย่างแรกซื้อเอา ส่วนถั่ว..เทรนคุณสามีไว้ดี เทรฟทำได้)
3. ทอดมันปลาอินทรีย์..อันนี้ก็ทำเอง แบบขี้โกงนิดนึงตรงทำล่วงหน้าแล้วแช่แข็งไว้ ถึงเวลาก็เอามาอุ่นเอา..เพราะถ้าให้มาปั้น มาทอดวันงานเกรงว่าจะไม่ทันแล้วบ้านก็คงมีแต่กินปลาทอด..ซึ่งคนแถวนี้เขาไม่ค่อยพิสมัยปลากันเท่าไหร่อ่ะ
4. หมูน้ำตก..อันนี้ประยุกต์นิดนึงตรงหมูใช้ทอดแบบฉ่ากับกะทะไม่ใช่ย่างเตาถ่านหรืออบ (ออกมาหน้าตารสชาติดีทีเดียวแถมมีลายๆเหมือนย่างเตาถ่านด้วย อิอิ) ปรับสูตรให้เป็นแบบที่เทรฟชอบคือใส่ตะไคร้ซอยลงไปด้วย น้ำปรุงใช้น้ำมะขามให้รสชาติแตกต่างกับอีกจานนิดนึงคือ..
5. ส้มตำแครอท จานนี้ตั้งใจทำให้เป็นมังสวิรัติ เลยไม่ใส่กุ้งแห้ง (เพื่อนที่เป็นมังฯ เขาไม่ถือสาน้ำปลา..เฮ้อ..รอดไป)


เซ็ทต่อมาก็ต้องกับข้าว ได้แก่
6. ไข่พะโล้ จานนี้ก็มังฯ เหมือนกัน ไม่มีหมูแต่ใช้เต้าหู ไส้หมูเจและเห็ดหอมประกอบ (เรียกว่าต้องตั้งใจไปซื้อเต้าหู้ทอดมาทำเป็นการเฉพาะ ส่วนไส้หมูเจตอนเจอในห้างฯ แทบกรี๊ด..ทีนี้ก็ทำกับข้าวเจกินได้แล้วสิ) จานนี้ยิ่งอุ่นหลายวันยิ่งอร่อย ก็เลยทำล่วงหน้าไว้ได้..อ่อ นอกจากจะทำเป็นจานมังฯแล้วก็ตั้งใจทำให้เขารู้ว่าอาหารไทยที่ไม่เผ็ดก็มี มีกลิ่นอายของเครื่องพะโล้แบบอาหารจีนด้วย
7.ต้มกระดูกหมูผักกาดดอง อาหารจานนี้เทรฟย้ำนักย้ำหนาว่าต้องทำ..(จริงๆถ้าเทรฟไม่ย้ำให้ทำเราจะไม่เลือกนะเนี่ย) เพราะรสชาติแปลกออกไป แต่อร่อย ทำให้ใครกินมีแต่คนชอบ แถมที่ดีขึ้นไปอีกก็คือมันทำล่วงหน้าไว้ได้..เป็นจานที่ต้องใช้ความอดทนมากเพราะเราตุ๋นกระดูกหมูข้ามวันเลยทีเดียว..ออกมารสชาติเยี่ยม หมูเปื่อยกำลังดี
8. ผัดกระเพราะไก่ อันนี้อาหารประจำชาติ ไม่ทำคงไม่ได้..แต่จริงๆ ที่เลือกทำเพราะเพื่อนหลายคนไม่รู้ว่าจะเอาใบกระเพรามาทำอย่างอื่นได้ด้วย(จริงๆต้องบอกว่า Basil ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกับกระเพราแต่ไม่ใช่กระเพราไทยแบบบ้านเรา หน้าตาและรสชาติประมาณใบแมงลักเสียมากกว่า) เพราะส่วนใหญ่จะรู้แค่เอามาโรยหน้าซุปมะเขือเทศหรือใส่สลัด เราทำให้เขาเห็นว่าเอามาผัดแบบนี้ก็อร่อยนะจ๊ะ
9. แกงเขียวหวานผักรวม..จานนี้ภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเราตำน้ำพริกแกงเอง เรียกว่าเผ็ดกระโดดไปเลย ชิมกันแค่ปลายช้อนก็ทำเอาตาสว่างวาบ..เทรฟแซวว่า..นี่เธอตั้งใจจะฆ่าเพื่อนเลยหรือเปล่าเนี่ย อิอิ เป็นอีกหนึ่งจานมังฯ สำหรับเพื่อนผู้กินมังฯแต่ชอบอาหารเผ็ด
10. ไข่เจียวหอมใหญ่ อาหารง่ายๆ แต่ได้ใจตลอดเพราะคนที่นี่ไม่เคยกินไข่เจียวแบบไทยๆ คือตีไข่ให้ฟูก่อนทอด ส่วนใหญ่จะรู้จักแบบไข่ม้วนหรือไข่เจียวแบบสเปนที่เป็นแผ่นหนาแบบแพนเค้ก
11. หมูทอดกระเทียม อาหารง่ายๆ อีกจานที่ไม่เผ็ดพริกขี้หนู แต่จัดจ้านด้วยพริกไทยกับกระเทียม อีกรสชาติที่อยากให้ลอง
12. ต้มยำกุ้ง อาหารประจำชาติที่ไม่ทำเดี๋ยวจะเหมือนไม่ได้กินอาหารไทย..แต่น่าเสียดาย คนที่นี่ไม่ค่อยโปรดกุ้งเท่าไหร่ เพราะเขาไม่คุ้นเคยกับกลิ่นคาวของอาหารทะเลเท่าไหร่ (อาหารทะเลที่พวกเขารู้จักส่วนใหญ่มาแบบต้มสุกแล้วแช่แข็งแล้วทั้งนั้น..น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่รู้จักของดี เหอๆๆ)
13. ผัดถั่วงอก จานนี้บอกให้เพื่อนคนไทยคนไหนฟังมีแต่ขำว่าทำไมทำอาหารแบบนี้เลี้ยงคนในงาน..คำตอบก็คือ เพราะมันง่ายและแปลกไงจ๊ะ เขาจะได้รู้ว่าอาหารน่าตาไม่หวือหวาก็ให้รสชาติน่าสนใจได้
ทั้งหมดนี่เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยและข้าวเหนียวที่ตั้งให้บริการตัวเองกันแบบทั้งหม้อเลย..เอ่อ...เพื่อนคนไหนอ่านเมล์แล้วนึกอยากส่งอะไรมาให้เป็นของขวัญก็ช่วยส่งกระติ๊บข้าวเหนียวกับหวดนึ่งข้าวเหนียวมาให้หน่อยเน้อ เพราะแถวนี้ไม่มีขาย


อืม ไล่รายการอาหารหมดแล้ว ทั้งหมดนั่นเป็นหน้าที่เราเป็นฝ่ายควบคุมการผลิต ส่วนเทรฟก็ช่วยจัดเตรียมสถานที่ เราช่วยกันคิดว่าจะตั้งอาหารยังไง ตรงไหนให้คนเดินเข้าไปตักได้สะดวกสบาย ..อ้อ เราเสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ต์น่ะ นอกจากเลย์เอาท์อาหารแล้วเรายังคิดไกลไปอีกด้วยการทำป้ายตั้งบอกชื่ออาหารเหมือนในโรงแรม แต่ป้ายของเรามีแถมนิดนึงตรงที่มีบอกรายละเอียดเครื่องปรุงหลักๆไว้ด้วย เพื่อที่ว่าคนกินที่เขาอาจจะแพ้อาหารบางอย่างจะได้หลีกเลี่ยงได้ (รอบคอบอย่างมาก) นอกจากนี้เทรฟยังแถมด้วยการใส่สัญลักษณ์ว่าจานไหนเป็นมังฯ จานไหนเผ็ด เรียกว่าประหยัดเวลาต้องมาอธิบายพวกข้อมูลพื้นฐานได้เยอะที่เดียว เพราะอย่างที่บอกว่าเราทำไปเสิร์ฟ เทรฟต้องทำหน้าที่รับแขกระหว่างที่เรายังอยู่ในครัว แขกซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยเจอเทรฟมาก่อนอาจจะไม่กล้าถามเขาก็ช่วยเหลือตัวเองได้ด้วยการอ่านเอาจากป้ายที่ตั้งไว้


เราแถมท้ายการเตรียมปาร์ตี้ครั้งนี้ด้วย Thai meal Party Instruction พูดง่ายๆ ก็คือแนะนำวิธีเอ็นจอยปาร์ตี้วันนี้ อันนี้รายละเอียดดังนี้..


Please tell us what you think

Dishes
J
K
L

1. Thai Prawn Cracker




2. Fish Cake




3. Thai Northern Style Sausages and accompaniments




4. Grilled Pork Spicy Salad




5. Carrot Salad




6. Spicy Prawn Soup with Herbs




7. Mixed Veg Green Curry




8. Spare ribs with Pickle Mustard Broth




9. Stir fried Pork with Garlic and Pepper




10. Boiled Egg in Five Spices Sauce




11. Stir fried Bean Spout




12. Onion Omelette




13. Stir fried Chicken with Basil, Chilli and Garlic




14. Sticky Rice




15. Steamed Rice





Thank you and hope you enjoy the party J

Sawittree & Trev

Thai Meal Party Instruction



Thai meal is normally served as a set and people share all dishes together. Main staple dish is Rice (either steamed, sticky or both). Side dishes are the combination between spicy and non-spicy dishes which could be ?dry? or ?wet? dishes. Dry normally means ?stir fried? or ?deep fried? dishes, which obviously have less water or no water. Meanwhile, Wet means ?broth?, ?curry?, ?soup? dishes or any liquid dishes.

No strict rule which dish should be started with.

Allow yourself to explore to taste and test your spiciness threshold. Some dishes could build up spiciness later on.

If getting too spicy, try not to drink water as it could only make it worse. Nibble some salad, rice or other non-spicy stuff in between will help.



Apart from that, Enjoy the Party!!






ตารางข้างบนเราทำขนาดเท่าครึ่งกระดาษเอสี่ ปริ๊นท์แล้วก็พับติดกาวให้เหมือนเป็นแผ่นเดียวกัน ด้านหน้าเป็นคำแนะนำส่วนด้านหลังเราทำเป็นแบบสอบถามเล็กๆ ว่าเขาคิดยังไงกับอาหารเราบ้าง อิอิ (แอบอยากรู้ Feedback นิดนึง ส่วนคำแนะนำที่เราเขียนก็มาจากการตั้งข้อสังเกตของเราเอง เราได้ข้อสรุปแบบข้างบนก็ตอนที่เทรฟถามเราเมื่อตอนที่คบกันใหม่ๆว่า ถ้าเขาไปร้านอาหารไทยคนเดียว เขาควรจะสั่งอาหารยังไง เราก็จะตอบกลับว่าอยากกินเนื้อสัตว์อะไร ไก่ หมู เนื้อ ปลา ฯลฯ แล้วชอบแบบเผ็ดหรือไม่เผ็ด จากนั้นก็มาคิดว่าเอาแบบน้ำๆ หรือผัดๆ อะไรทำนองนี้..ข้อสรุปตรงนี้ไม่ได้มีหลักฐานทางวิชาการหรือข้อสรุปจากผู้รู้ใดๆค่ะ คิดเอง ว่าเอง เออเองทั้งนั้น..แต่มันก็พอเข้าท่า ว่ามะ อิอิ


สรุปว่าปาร์ตี้วันนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี เราคะยั้นคะยอให้ทุกคนหิ้วกับข้าวกลับบ้านกันไปด้วย เพราะเราทำเอง ปรุงเอง เห็นมันมาทั้งวันจนเอียนกินไม่ลงแล้ว เพื่อนๆก็น่ารักมากช่วยกันเอากลับไปคนละนิดละหน่อย แม้ว่าอันไหนที่ตัวเองกินไม่ได้เพราะว่าเผ็ดไปก็ยังอยากให้คนที่บ้านได้ลองบ้าง..เป็นปลื้มไปเลย


อ้อ ลืมบอกว่าปาร์ตี้ครั้งนี้ปิดท้ายของหวานด้วยผลไม้รวมค่ะ แต่ไม่ใช่แตงโม ฝรั่ง มะละกอเช่นบ้านนะคะ เพราะไม่มี (มีก็แพงแถมไม่อร่อย) เราเลือกสับปะรด แคนตาลูป แล้วก็ส้มโอ..อันหลังนี่เรียกความฮือฮาได้ดีทีเดียว เพราะมันยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก คนที่รู้จักอยู่ส่วนใหญ่ก็เพราะว่าประเทศตัวเองมีขายมีกิน มาที่นี่ช่วงแรกๆหาซื้อได้แต่ตามร้านขายของเอเชีย ตอนนี้เริ่มมีเยอะขึ้นแล้ว..เรียกว่าเพื่อนๆ ลองกันไปก็อืม..แปลกดี อร่อยดี ฯลฯ ว่ากันไป


ต้องบอกว่าปาร์ตี้นำเสนออาหารไทยให้คนที่ไม่เคยกินอาหารไทยเลยครั้งนี้ประสบความสำเร็จไม่น้อย บรรยากาศร่าเริงสนุกสนานกันมาก เราดีใจที่ได้ทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปบ้าง..ส่วนหลังจากนี้อีกไม่นานก็ต้องเตรียมงานวันคริสต์มาสอีก แล้วจะเก็บมาเล่าให้ฟังวันหลังนะ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ พ.ย. 20, 2010 4:24 pm

16Nov2010 Happy holiday


บ่ายโมงกว่า วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2010 @ home, in from of the same computer

แดดอ่อนยามบ่ายส่องแสงผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ให้แสงสวยดูอุ่น แต่น่าเสียดายที่ว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มากนักเพราะอุณหภูมิตอนนี้เหนือกว่าระดับศูนย์องศามาไม่เท่าไหร่ เรากับเทรฟพึ่งอิ่มข้าวกลางวันกัน ซึ่งจริงๆ ก็ดูไม่น่าจะอิ่มท้องกันเท่าไหร่เพราะมีแค่ลูกชิ้นปลาทอด ทอดมัน (ที่เหลือจากงานเลี้ยง) และเต้าหู้ทอด (ที่่ซื้อมาเพื่อใส่ในไข่พะโล้ แต่ว่ายังมีเหลืออยู่) กับสลัดง่ายๆ (ที่เหลือ..อีกเช่นกัน) ..แต่ไม่เป็นไร ถ้ามันหิวอีกก็กินข้าวเย็นเร็วหน่อยเท่านั้นเอง บรรยากาศบ่ายนี้สุขสงบสมใจ ต้องบอกว่าวันหยุดพักร้อนครั้งนี้เป็นวันพักร้อนที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา..

เรากับเทรฟลาพักร้อนกันตั้งแต่วันพฤหัสฯที่แล้ว สองวันแรกของวันลาเราสาละวนเตรียมงานปาร์ตี้กันอย่างที่บอก แม้ว่ามันจะมีรายละเอียดมากมาย แต่เราก็สนุกสุดๆ ..งานเลี้ยงเลิกประมาณสี่ทุ่มครึ่งทุกคนทยอยกันกลับเรากับเทรฟก็เก็บล้าง แมรี่แอนด์เสนอตัวช่วยเก็บล้างก่อนกลับบ้าน เราว่าไม่ต้องกังวล เรื่องแค่นี้เอง..อย่างที่บอกว่าถ้าวางแผนไว้ดี อะไรๆก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอุปกรณ์ที่เราใช้เสิร์ฟอันได้แก่ จาน ชาม ช้อม ส้อม ถาด ทัพพี เราใช้แบบที่ใช้แล้วทิ้งได้เลย ไม่ว่าจะเป็นจานพลาสติก ช้อนพลาสติก แก้วพลาสติก ทัพพีและถาดฟอยล์ เพียงแต่เลือกที่คุณภาพดีหน่อยมันก็จะไม่ดูนิ่มย้วยเวลาใช้งาน เรียกว่าถ้าไม่ขี้เกียจล้างก็ยังเก็บไว้ใช้งานหน้าได้ล่ะ ส่วนบรรดาภาชนะที่ใช้ใส่อาหารเสิร์ฟก็อย่างที่บอก หุง ต้ม ผัดในอะไรก็ยกมันมาทั้งอย่างนั้น เพราะงั้นมันก็คือแค่ล้างหม้อ ล้างกะทะนั่นเอง เราเสร็จสิ้นการเคลียร์พื้นที่ทุกอย่างภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง นั่นหมายถึงรวมเก็บโต๊ะ เก้าอี้ ขยับโซฟา ฯลฯ ซึ่งเรียกว่าเร็วและมีประสิทธิภาพไม่น้อย เพราะงี้เช้าวันเสาร์เมื่อเราตื่นลงมา บ้านเราก็สะอาดสอ้านอยู่ในสภาพเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราสองคนเริ่มต้นเช้าวันเสาร์ด้วยอาหารเช้าอย่างง่ายๆ แล้วเราก็ลงมือทำงานที่ตั้งใจ..นั่นคือซ่อมหลังคา จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าหลังคาแต่เป็นส่วนรางน้ำฝนและท่อระบายน้ำฝนที่ไหลมาจากหลังคาด้านบน (เรามีหลังคาสองระดับ ระดับบนก็บนสุดของตัวบ้าน อีกระดับก็หลังคาห้องครัวซึ่งเป็นส่วนต่อขยายที่เจ้าของบ้านเดิมทำไว้) วิธีการก็คือเราต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาห้องครัวแล้วเอาบันไดพาดขึ้นไปลองถอดท่อระบายน้ำฝนที่ต่อมาจากรางน้ำฝนชายหลังคาบ้านออกดูว่ามีอะไรอุดตันหรือเปล่า เพราะปัญหาช่วงที่ผ่านมาเวลาฝนตกหนักมากๆ แล้วมันระบายน้ำไม่ทัน มันมีผลให้น้ำมันล้นท่อเอ่อเข้าส่วนที่เป็นช่องรอยต่อระหว่างส่วนที่ต่อเติมห้องครัวกับส่วนที่เป็นเรือนกระจก พูดง่ายๆก็คือน้ำฝนรั่วตรงช่องรอยต่อของบ้าน เทรฟดูกังวลมากๆ แต่ไม่ใช่กังวลหลังคา กังวลว่าถ้ามันรั่วบ่อยๆ แล้วทำพื้นบ้านชื้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะบ้านเป็นพื้นไม้ ถ้าไม้ชื้นก็จะกลายเป็นผุ จากพื้นผุก็อาจกลายเป็นส่วนฐานรากของบ้านผุไปด้วยได้ (เพราะบ้านนี้เป็นบ้านโบราณที่พื้นบ้านไม่ได้ปลูกโดยตรงบนพื้นดินแต่ใช้ไม้ท่อนๆ ปูเป็นฐานยกระดับ เว้นไว้เป็นช่องให้อากาศรอดใต้ตัวบ้าน (อารมณ์ใกล้ใต้ถุนบ้านแบบไทยแต่ไม่สูงเท่า เพราะไม่ได้ทำไว้เพื่อประโยชน์ใช้สอยแบบใต้ถุน) เพื่อเป็นการระบายอากาศด้านล่างและป้องกันความชื้นจากพื้นดินเข้าสู่ตัวบ้านโดยตรง อันจะมีผลให้เกิดปัญหาเรื่องราตามมาได้..อย่าลืมว่าอากาศที่ประเทศนี้ชื้นเกือบจะตลอดทั้งปี

เทรฟไว้เช่าบันไดมาจากร้านให้เช่าอุปกรณ์ Hardware (ไม่รู้จะแปลเป็นไทยว่าอะไร) เพราะบันไดที่มีอยู่มันสูงไม่พอ..เอ่อ เทรฟเป็นคนกลัวความสูง จะให้ไต่ขึ้นไต่ลงเป็นมนุษย์แมงมุมแบบในหนังคงไม่ใช่ที่ เพราะงี้พอเทรฟไม่ค่อยมั่นใจบันไดตัวเองก็ต้องพึ่งอุปกรณ์แบบมืออาชีพ พอไต่ไปถึงหลังคาครัว หน้าที่เราอยู่ด้านล่างก็ค่อยส่งอุปกรณ์สารพัดตั้งแต่ไม้กระดานแผ่นโตๆ สองแผ่น (เอาไว้ลองเดินบนหลังคา เพราะหลังคาครัวที่ว่าพื้นผิวเป็นกรวดร่วนๆ ที่ปูไว้เพื่อให้ทับวัสดุกันความชื้นบนหลังคาครัว เพราะงั้นถ้าเดินไม่ดีจะลื่นตกมาจากหลังคาได้) บันไดที่ใช้ปีนขึ้นไปดูท่อกับรางน้ำฝนของหลังคาบ้าน และยากันแนวอีกหลายหลอด

เราแอบเห็นใจเทรฟ ตัวเองก็ไม่ค่อยชอบความสูงแต่ต้องปีนขึ้นปีนลงทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา ไอ้เราจะเสนอตัวเองทำก็ไม่มีปัญญา เหอๆๆ แต่พอเทรฟขึ้นไปสำรวจจนรู้สาเหตุของการอาการน้ำรั่ว ก็รู้ว่าไม่มีอะไรซีเรียสอย่างที่กังวล แค่วัสดุยาแนวแบบกันน้ำก็เอาอยู่แล้ว เราเลยขอลองปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้าง ฮ่ะฮ่า..ตื่นเต้นดี..แต่ปัญหาคือตอนลงอ่ะดิ เพราะปกติเทรฟจะให้เราคอยจับบันไดไว้ไม่ให้มันล้มหรือไถลหนี ทีนี้สองคนอยู่บนหลังคาทั้งคู่..แล้วใครจะจับบันได(วะ)? ปัญหาต่อมาคือถ้าตอนกำลังจะลงแล้วบันไดมันดันเกิดล้มไป ฮ่ะฮ่า..ที่นี้จะลงกันยังไงล่ะ..เทรฟเริ่มหน้าไม่ดี..เรารีบบอกให้กำลังใจว่า..ไม่เป็นไรหรอกน่า โปร่งลงได้ ไม่ทำบันไดล้มไปด้วย เทรฟอยู่เฉยๆละกัน..เราบอกเพราะเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้าตอนเราปีนขึ้นปีนลงแล้วมีความรู้สึกกลัวในใจ (แบบมากเกินไป) มันจะสั่นแล้วก็เกร็ง แต่ถ้าเราปีนขึ้นปีนลงตามปกติมันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่อย่างว่าเทรฟเขากลัวแทนเราสารพัด(เพราะเขาเองก็หวาดๆอยู่) ในที่สุดเราก็ปีนลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ..และในที่สุดภารกิจประจำวันนี้ก็สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี ได้แก่ การลงยาแนวกันน้ำรอบบริเวณรอยต่อท่อระบายน้ำฝนกับหลังคาเรือนกระจก (บริเวณที่พอน้ำไหนไม่ทันแล้วมันล้นออกมา), ทำความสะอาดท่อระบายน้ำ เพราะเมื่อทิ้งไว้นานๆมันก็มีใบไม้ไปอุด โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา แถมด้วยที่นี่มีมอสขึ้นเต็มไปหมดมันก็ไหลไปรวมกันอุดท่อซะงั้น (มอสก้อนเขียวๆดูน่ารักน่าชังในร้านต้นไม้หรือร้านดอกไม้สำหรับประดับ แต่ไม่ไหวถ้ามันมีเยอะเกินไปบนหลังคานะค้า) แถมท้ายด้วย การทำความสะอาดหลังคาเรือนกระจกซะเลย เพราะไหนๆ คุณเทรฟก็ปีนไปอยู่บนหลังคาครัวแล้ว (เรายืนหลังคาเรือนกระจกโดยตรงไม่ได้ค่ะ มันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น)

เสร็จงานเทรฟก็ขับรถเอาบันไดไปส่งคืน ส่วนเราก็เก็บล้าง เก็บอุปกรณ์ไปตามเรื่องเพราะสองคนตัวมีแต่โคลน..ก็แหม..ล้างท่อระบายน้ำอ่ะนะ แม้จะไม่แย่เท่าท่อน้ำทิ้งแต่ก็ไม่โสภาเท่าไหร่

วันอาทิตย์..วันประจำวันนี้ได้แก่ ซ่อมกล่องบังท่อระบายของเสีย..คือว่าห้องน้ำบ้านเราอยู่ชั้นบน แต่แน่นอนว่าบ่อเกรอะมันต้องอยู่ที่พื้นดิน ช่างเขาก็เดินท่อระบายของเสียยาวลงมาผ่านห้องเรือนกระจก (แบบแอบๆอยู่มุมๆกำแพง)แล้วเขาก็เอาไม้มาตีเป็นกล่องบังไว้ให้มันดูสวยงาม แต่พอเวลาผ่านไปทั้งด้วยอายุและความชื้นที่มีในห้องกระจก (เพราะเป็นกระจกชั้นเดียวไม่สามารถกันความเย็นได้ เวลาอากาศเย็นมากๆ ก็จะมีไอน้ำเกาะรอบห้องเลย) ไม้ที่ทำไว้ก็พอง ผุ ดูไม่สวยงามดังเดิม คุณเทรฟเธอก็ไปซื้อมามาเตรียมทำกล่องที่ว่าใหม่ อุปกรณ์พร้อม! เหลือแต่ลงมือทำ

เทรฟวัดขนาดไม้ มีน็อตมีสกรูเตรียม แล้วก็ชวนเราไปตัดไม้ตามขนาดที่วัดไว้ในโรงรถ เทรฟมีโต๊ะตัดไม้ที่มีเลื่อยไฟฟ้าในตัวเป็นอุปกรณ์ติดบ้านอยู่แล้ว แถมสอนให้เราหัดทำไว้สองสามหนแล้ว หนนี้ก็เป็นอีกหนที่ได้ลองทำ พอได้ไม้แล้วก็เอาประกอบกันเท่านั้นเอง ไม่ยากเย็นอะไรแต่ต้องเป๊ะ ไม่งั้นไม่สวยงามและจะดูตลกเอา ..เทรฟเพิ่มความเนี๊ยบด้วยการลงยาแนวตามรอยต่อไม้ทุกอัน เพราะงี้มองเผินๆ เหมือนเป็นไม้แผ่นเดียวกันตลอดแนว ทีเหลือก็ทิ้งไว้ให้ยาแนวแห้ง แล้วใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบสวย ก็จะเป็นอันเสร็จสมบูรณ์

วันจันทร์..ช็อปปิ้งเดย์..เพราะเราตกลงกันว่าเราต้องจัดการซื้อของขวัญวันคริสต์มาสให้แล้วเสร็จโดยพลัน (เพราะคุณเทรฟเธอไม่โปรดกิจกรรมนี้เอาเสียเลย) เราเลยบังคับให้รีบทำให้มันเสร็จ แล้วอีกอย่างการไปช็อปปิ้งวันธรรมดาที่ไม่ใช่ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ย่อมน่าอภิรมย์กว่าแน่นอน ..เพราะงั้นวันจันทร์คือวันดีของการช็อปปิ้ง..เราตกลงกันว่าให้เขียนรายละเอียดของที่จะซื้อว่าใครได้อะไรและซื้อที่ไหนให้เสร็จก่อนขับรถออกจากบ้าน เพราะเราจะไม่มีการเดินดู หรือเลือกซื้อให้เป็นที่รำคาญใจคุณเทรฟ

ผลสรุปจากการปรึกษาหารือเพื่อนำมาซึ่งความรำคาญในระดับต่ำสุดและประหยัดเวลาสูงสุด เราจะไปซื้อของกันแค่สามที่ดังต่อไปนี้ M&S หรือมาส์กแอนด์สเปนเซอร์ สำหรับผ้าพันคอ ถุงมือ และที่คั่นหนังสือบนชั้นหนังสือ (Bookend),สอง WH Smith หรือร้านขายหนังสือและเครื่องเขียนขนาดใหญ่ เพื่อซื้อปากกาเมจิ (สำหรับจดโน๊ตสารพัดสี)และเกมส์ และที่สุดท้าย Throntons (ธอร์นทั่น) ร้านขายช็อกโกแล็ตคุณภาพดีในราคาที่รับได้ เพื่อซื้อช็อกโกแลตจำนวน 6 กล่องในขนาดที่ต่างกันออกไป เพราะปีนี้เราสรุปกันว่าสำหรับเพื่อนหรือญาติที่ต้องส่งของขวัญให้ทางไปรษณีย์เราจะส่งของขวัญให้เพียงชิ้นเดียวแบบให้ทั้งครอบครัว (แทนที่จะเป็นชิ้นเฉพาะบุคคล) และของที่ว่าก็คือช็อกโกแลต เพราะง่าย ราคาเหมาะสม ส่งไปรษณีย์สะดวก และทุกคนชอบกินช็อกโกแลต..ง่ายดีมะ

แล้วในที่สุด Christmas's Shopping Done! เยี่ยมมาก เสร็จไปอีกหนึ่งงาน

วันอังคาร..วันนี้ เทรฟจัดการเก็บงานอีกเล็กน้อยได้แก่ เอากระดาษทรายขัดกล่องไม้ที่ทำเมื่อวาน พ่นสีประตูโรงรถ ทำความสะอาดเรือนกระจก

ส่วนเราช่วงหลายวันที่ผ่านมานอกจากเป็นลูกมือเทรฟช่วยงานช่างแล้ว เราก็สนุกสนานกับการอบขนมเค้ก (อีกแล้ว) หนนี้เป็นเค้กกล้วยหอมช็อกโกแลต หรือก็คือเค้กกล้วยหอมที่เป็นลายหินอ่อนของช็อกโกแลตนั่นแหละ รสชาติออกมาดีทีเดียว แต่คงต้องปรับปรุงเรื่องวิธีการอบอีกหน่อย อีกวันเราก็ทำซุปมะเขือเทศไว้กินยามยาก (ประมาณว่าวันไหนอากาศแย่จัดเช่นทั้งลม ฝน และหนาวจนเกินจะเคลื่อนกายไปไหนหรือทำกับข้าว ก็จะขุดมันออกมาจากตู้แช่แข็ง โยนเข้าไมโครเวฟ อุ่นให้ร้อนควันฉุย..แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพร้อมกิน..เรียกว่าเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับวันอากาศหนาวจัดจริงๆ

นี่ก็มีโปรแกรมจะทำข้าวเกรียบปากหม้อกับคุ้กกี้ไว้แจกเพื่อนๆ และข้างบ้านสำหรับคริสตมาสอีก..ฮ่ะฮ่า..ต้องบอกว่าหยุดพักร้อนหนนี้มีแต่เรื่องสนุกๆให้ทำตลอด และที่สำคัญได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่รักแบบที่เรียกว่า Quality time จริงๆ ..เพราะงี้เราถึงได้แฮปปี้ดี้ด้าและรู้สึกว่าพักร้อนหนนี้เป็นวันหยุดที่ดีที่สุดในชีวิตเลยล่ะ..

ไปละน้าาา
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 8:17 pm

23Nov2010 ..การเปลี่ยนแปลง..

เกือบบ่ายสามโมงแล้ว วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2010 @ home

กลับมาถึงบ้านได้พักใหญ่แล้ว..(อ่อยย..เริ่มรู้สึกว่ามันหนาวขึ้นเรื่อยๆ แฮะ..สงสัยต้องหนีไปเปิดฮีทเตอร์ก่อน)...
ช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยนเข้าฤดูหนาว อุณหภูมิโดยทั่วไปลดลงต่ำกว่าห้าองศากันถ้วนทั่วทั้งประเทศ พร้อมๆกับคนรอบข้างเป็นหวัดกันระงม ทั้งไอ ทั้งจาม เล่นเอาเราไม่รอดไปด้วย ทั้งๆที่พยายามป้องกันทุกทาง วันนี้เริ่มงานกะเช้าตอนตีห้าตามปกติหลังจากที่เมื่อวานตัดสินใจลางานกลับบ้านเร็ว (ไม่เค๊ย ไม่เคย) บอกเจ้านายว่า ถ้าไม่ให้กลับ วันพรุ่งนี้ (วันนี้)ต้องหาคนมาเปิดร้านเองนะ เพราะเราเดี้ยงแน่ๆ เจ้านายเลยยอมจำนน อิอิ..แต่เดี้ยงจริงๆ ไม่ได้แกล้งป่วย กลับถึงบ้านหลับยาวตั้งแต่สิบเอ็ดโมง จะตื่นก็เฉพาะตอนกินแล้วกลับไปนอนต่อ

บรรยากาศที่ทำงานช่วงนี้บรรยายไม่ถูกจริงๆ เราลองสังเกตมองปฏิกิริยาคนรอบข้างอย่างเงียบๆ (เวลาอยู่ต่อหน้าเขา แต่ระบายออกอย่างหนักหน่วงกับสามีที่บ้าน อิอิ)

ตั้งแต่เดือนที่แล้วที่ร้านเรามีผู้จัดการคนใหม่มาประจำอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ผู้จัดการคนที่แล้วชิงลาออกชนิดไม่มีการบอกล่วงหน้า ทำเอาประชาชีถ้วนปั่นป่วนวุ่นวายกันไปอยู่หลายเดือน..ก็เหมือนแล่นเรือแล้วไม่มีหางเสือ มันก็แล่นเปะปะไปเรื่อย ผู้จัดการคนใหม่มาพร้อมกับข่าวลือที่หนาหูตั้งแต่ยังไม่เห็นเจ้าตัว เพราะผู้จัดการคนนี้เป็นคนอินเดีย ริเทช (Reetesh) ใช้เวลาวุ่นวายในการย้ายสำมะโนครัวจากลอนดอนมาอยู่บริสตอลอยู่สองสามอาทิตย์ กว่าอะไรๆ จะเข้าที่เข้าทาง เข้าออกเวลางานเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่แวบมาแวบไป การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้มาพร้อมข่าวลือที่ว่าริเทชจะเอาคนของตัวเองมาทำงานที่นี่ แล้วจะพยายาม "ถ่ายเลือดเก่า" ออกไป เราฟังแล้วก็ไม่ค่อยซื้อไอเดียนี้เท่าไหร่ แต่ข่าวลือก็มีวิธีการโน้มน้าวที่ดีว่า เขาคงไม่ทำแบบโจ่งแจ้งหรอก แต่จะค่อยๆ เอาคนของเขาเข้ามาแล้วก็ลดจำนวนชั่วโมงทำงานของคนเก่าลงเรื่อยๆ จนในที่สุดทนไม่ได้ก็ต้องลาออกไปเอง..เราฟังแล้วก็ได้แต่ตอบกลับไปขำๆ (แต่เอาจริง)ว่า ถ้าโละเอาคนที่ไม่ได้เรื่องออกไปได้จริงๆ ก็น่าจะดีนะ..เรามีปฏิกิริยากับข่าวลือเพียงแค่นั้น เพราะที่เหลือมันต้องรอเจอของจริง

ในที่สุดวันที่ริเทชเริ่มงานก็มาถึง ริเทชมาพร้อมกับพนักงานใหม่อีกสองคน..แน่นอนว่าเป็นอินเดีย..วิคเนช (Vicnesh) และระวี (Ravi) คนแรกมาเป็นแค่พนักงานธรรมดา ประจำที่ร้านรีทัสซ่า ส่วนคนหลังจะมาเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ ..อืม..ข่าวลือเริ่มมีแววจริง เราไม่ได้ออกอาการอะไรมาก เพราะร้านเราขาดซุปฯมาตั้งนานแล้ว ช่วงแรกที่เราเริ่มทำงานที่นี่มีซุปฯตั้ง 4-5 คน ทำไปทำมาลาออกกันไปหมด บริษัทก็ประหยัดงบไม่ตั้งใครเป็นซุปฯ เพราะจะได้ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ช่วงหลังๆ เหลือแค่เรากับซาร่าสองคน เรียกว่าคุมร้านกันชนิดไม่ต้องต่อรองเรื่องเวลางาน ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามเปลี่ยนกะ..ว่างั้นเหอะ พอมีคนใหม่มา เราก็ว่าน่าจะพอมีทางหายใจขึ้นมาบ้าง ..แต่ก็นั่นแหละ ยังวางใจไม่ได้ เรารีบชิงถามแมรี่แอนด์ว่ามีซุปฯเพิ่มอีกคนแบบนี้ แล้วชั่วโมงทำงานเราจะลดลงไหมอ่ะ..แมรี่แอนน์ส่ายหัวบอก ไม่รู้เหมือนกัน

ที่น่าสนใจก็คือปฏิกิริยาของคนในร้านที่มีต่อคนอินเดียทั้งสาม เริ่มต้นจาก ไม่มีใครรู้ว่าริเทชกำลังทำอะไร ช่วงสองอาทิตย์แรกริเทชย้ายของ เปลี่ยนที่วุ่นวายไปหมด ที่สำคัญคือเขาสั่งคนของเขาเป็นคนทำ เด็กสองคนนี้ทำงานตั้งแต่เช้ามืดยันพระอาทิตย์ตกดิน..น่าสงสาร แต่ไม่มีใครพูดอะไรได้เพราะผู้จัดการสั่ง แต่ที่น่าหงุดหงิดคือเขาคุยกันด้วยภาษาของเขาเอง..เรามองว่าเรื่องนี้เป็นมารยาทที่รับไม่ได้ เพราะคุณทำงานในที่ทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษ คุณก็ต้องพูดภาษาอังกฤษ ไม่ใช่มาคุยข้ามหัวกันไปมาแต่ไม่มีใครเข้าใจ เด็กสองคนนี้แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่มีใครคุยกับเขา อย่างว่ามาใหม่ ต่างคนต่างก็เว้นระยะห่างระหว่างกัน เรายิ่งแล้วใหญ่ ช่วงแรกทำงานแต่กะเย็นไม่ค่อยได้เจอสองคนนี้หรอก นอกจากเข้ามาเริ่มงานแล้วเห็นสองคนนี้อยู่ก่อนแล้ว จนเราจะเลิกงานสองคนนี้ก็ยังอยู่..ถึงได้มองว่า..เอ๊ะ มันยังไงกันหว่า..(ข้อสังเกตนี้น่าสนใจ เพราะถ้าเด็กอินเดียสองคนนี้ซึ่งถือวีซ่านักเรียน ตามกฎหมายทำงานได้ไม่เกินสัปดาห์ละยี่สิบชั่วโมง แต่เล่นเข้างานเช้าเลิกค่ำแบบนี้ แน่นอนว่ายังไงๆ ก็ต้องเกินยี่สิบชั่วโมง แล้วถ้าเขาไม่ได้ค่าจ้างตามจำนวนชั่วโมงทำงานที่ทำก็แปลว่าบริษัทกำลังเอาเปรียบ หรือถ้าริเทชไปทำเรื่องตกลงอะไรใต้ดินเอาไว้...ก็น่าสนใจว่าริเทชกำลังทำอะไรที่เลี่ยงกฎหมายหรือเปล่า) เรื่องนี้เราได้แต่ตัั้งข้อสังเกตและรอดู เพราะเมื่อไหร่ที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง แปลว่าถ้าทั้งสองคนนี้มีเลขประจำตัวพนักงานแล้วต้องตอกบัตร (ในที่นี้คือสแกนนิ้วมือ) ตามระบบ ริเทชก็โกงค่าจ้างไม่ได้ (ยกเว้นแต่ให้ตอกบัตรเลิกงานก่อน แล้วให้อยู่โยงต่อแบบไม่จ่ายเงิน..ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยต่อรองหรอก เพราะมีงานทำก็ดีกว่าไม่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองคนนี้ย้ายจากลอนดอนมาทำงานที่นี่โดยเฉพาะ..ใครจะกล้าไปมีปัญหากับผู้จัดการ..จริงมะ)

เวลาผ่านไป เป็นจังหวะที่ซาร่าลาพักร้อนไปเที่ยวเมืองไทย เราทำงานกะเช้าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนระวีก็มาทำกะบ่ายต่อจากเรา เราได้มีโอกาสคุยกับวิคเนชมากขึ้น เพราะเขาเข้าเช้าเหมือนกัน วิคเนชมีปัญหาเดียวกับเราสมัยเมื่อตอนเริ่มทำงานกับคนอังกฤษใหม่ๆ ถ้าใครสังเกตแรกๆ จะเห็นว่าวิคเนชก้มหน้าก้มตาทำงานไม่คุยกับใครในร้าน ไม่ใช่ว่าไม่คุ้นอย่างเดียวหรอก เรามารู้ทีหลังว่าวิคเนชฟังคนในร้านพูดไม่ทัน..พูดง่ายๆ ว่าฟังไม่ออกนั่นเอง..วิคเนชถือวีซ่านักเรียนพึ่งเรียนจบ Software Engineer เพราะงั้นภาษาอังกฤษเขาไม่ได้แย่หรอก เพียงแต่ภาษาอังกฤษที่นักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่รู้จักจะเป็นภาษาอังกฤษแบบที่ค่อนข้างเป็นทางการหรือหนักไปทางภาษาวิชาการไปเลย พอมาเจอสำนวนหรือภาษาพูดสารพัดชนิดที่เรียกว่าไม่มีสอนในตำรา (ไม่มีจริงๆ) ก็ทำเอาอึ้ง งงเป็นไก่ตาแตกไปเลย..ทางออกที่ทำได้ก็คือทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก็ทำงานไป ..ต้นตอของปัญหานี้มารู้เมื่อได้คุยกับวิคเนชแล้วก็เลยบอกเขาว่า ไม่แปลกหรอก เพราะภาษาพูดหรือภาษาปากที่คนทั่วไปใช้น่ะ จะมีสอนในห้องเรียนก็ต่อเมื่อเรียนภาษาอังกฤษระดับสูงมากๆ ขึ้นไป (ตลกไหมล่ะ ยิ่งเรียนมาก ภาษาที่รู้จะยิ่งแย่ลงมากขึ้นเท่านั้น..หมายความว่า ความเป็นทางการจะน้อยลง จะเน้นที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น..เทียบง่ายๆ เวลาเราเรียนภาษาไทยในห้องเรียน เราก็จะเรียนภาษาแบบที่เป็นทางการ ยกตัวอย่างดีกว่า สมมุติเราจะชวนเพื่อนไปกินข้าวกลางวัน ถ้าในตำราก็จะเขียนว่า "เรารู้สึกหิวแล้ว เราไปรับประทานอาหารกลางวันกันดีไหม?" แต่ในชีวิตจริงๆ เรากลับพูดว่า "หิวแล้วอ่ะ ไปกินข้าวกันเหอะ"..จะเห็นว่าเราไม่เคยเรียน "เหอะ, เนอะ, มะ, ช่างมัน, ฯลฯ"ในตำราเรียน แต่เราก็ใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันใช่มะ)

ในภาษาอังกฤษ รูปแบบของศัพท์ที่แสดงความ "ไม่เป็นทางการ"ส่วนใหญ่มาในรูปของคำศัพท์ที่มาแบบสองส่วน หรือสามส่วน เช่น put up, put up with เป็นต้น ยกตัวอย่างเทียบให้ดู ถ้าเราจะพูดว่าเลื่อนประชุม..เด็กไทยส่วนใหญ่ (เราเชื่อว่ารวมไปถึงเด็กต่างชาติทั้งหลายด้วย)ก็จะรู้จักคำว่า postpone ที่แปลว่าเลื่อนกำหนด แต่คนที่นี่เขาไม่ใช้คำนี้ในภาษาพูดบ่อยเท่าคำว่า put off ซึ่งแปลว่าเลื่อนกำหนดเหมือนกัน แถมที่งงไปกว่านั้นก็คือคำๆนี้ถ้าใช้ในสถานการณ์ที่ต่างออกไปก็แปลเป็นอย่างอื่น เช่น Don't put me off. แปลง่ายๆ อย่ามาทำให้เสียสมาธิ/อย่ามาทำให้หมดอารมณ์ เป็นต้น...เอ่อ ..อธิบายแค่นี้พอแล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเรียนภาษาอังกฤษไป

เพราะงี้วิคเนชเลยไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร จนกระทั่งเราต้องค่อยเริ่มชวนเขาคุยเขาถึงจะคุยกลับ แต่ปัญหาอีกอันที่ตามมาก็คือ..เราฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแต่วิคเนชหรืออินเดียนทั้งสามนั่นแหละ คนในร้านต้องใช้เวลาปรับตัว ปรับหู (และปรับใจ)ในการสนทนากับผู้มาใหม่ทั้งสามกันถ้วนหน้า..สิ่งที่เราสังเกตตามมาคือ มันไม่น่าจะเป็นปัญหาแค่เรื่องภาษาน่ะสิ..มันกลายเป็นเรื่องทัศนคติที่มีต่อกันมากกว่า..เพราะคนในร้านเริ่มแบ่งพวกเขา พวกเรา มากขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ค่อยชอบใจกับทัศนะแบบนี้เท่าไหร่..ได้แต่สรุปเอาเองว่ามันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้กลับการเปลี่ยนแปลงมากกว่า ซึ่งเราอยากจะบอกริเทชเหมือนกันว่า..ไม่ง่ายเลย..เพราะคนในร้านคุ้นเคยกับการทำงานชนิดที่ไม่มีใครเข้มงวดหรือเอาจริงเอาจังมานานเกินไป พอเริ่มจะมีคนมาถือไม้เรียวคุม..ใครล่ะจะไปชอบ..

เท่านั้นยังไม่พอ..เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา..เราก็มีซุปเปอร์ไวเซอร์มาใหม่อีกหนึ่งคน ผู้ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ..เพราะงั้นต้องเรียกว่าซุปเปอร์ซุปเปอร์ไวเซอร์..ราจา (Raja)

ราจามาเริ่มงานเมื่อวาน แต่เราเจอเขาตั้งแต่วันอาทิตย์ ก่อนหน้านี้ที่เรารู้ข่าวนี้เราก็มีหน้าที่บอกผ่านข่าวความเคลื่อนไหวในคนในร้านรู้เพื่อที่ทุกคนจะได้เตรียมแสดงการต้อนรับคนใหม่ (ตามที่ผู้จัดการบอก) อากัปกิริยาที่เราได้รับทันทีจากหลายคนที่พอรับรู้ข้อมูลนี้ก็คือ "..เป็น "พวก" เดียวกันนี้อีกใช่มะ?" สำเนียงไม่ได้บ่งบอกถึงการยินดีต้อนรับแต่อย่างใด..เฮ้อ..

วันแรกที่เจอกัน คำถามแรกที่ราจาถามเราคือ ที่ร้านนี่ถูพื้นกันบ่อยแค่ไหน..เราตอบกลับไปว่าก็ทุกเย็นหลังปิดร้าน..ราจาผู้เคร่งขรึมตอบกลับว่า..ไม่ได้นะ มันต้องถูกันทุกชั่วโมง เราต้องการเห็นพื้นสะอาดเอี่ยม...เราพยายามจะอธิบายอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกพูดขัดจังหวะซะจนเราต้องบอกว่า ขอเราพูดให้จบก่อนได้ไหม..เราแค่จะบอกว่า ไว้เธอรอดูก่อนไหมว่าบริเวณทางเดินเนี่ยมันมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะขนาดไหน แล้วเธอจะได้รู้ว่าถูพื้นทุกชั่วโมง (แล้วไม่ลงท้ายเละกว่าเดิม)เนี่ยมันจะทำได้ไหม.. เราขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เพราะใครที่มาใหม่ก็ไฟแรงอย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นทั้งนั้น (รวมทั้งตัวเราเองด้วย) แต่แล้วแรงเสียดทานและข้ออ้างสารพัดก็เป็นปราการด่านสำคัญที่ทำเอาเราผมขาวมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย (เยอะกว่าตอนทำงานสภาซะอีก..เฮ้อ..)

วันนี้เป็นวันที่สองที่เราทำงานกับราจา ผู้ออกตัวเสมอว่า "เขาจะเข้ามาช่วย" เช้านี้ระหว่างที่เรากำลังหัวหมุนกับเรื่องในร้าน ราจาเดินมาหาเราแล้วพูดว่า "สาวิตรี เธอประจำตำแหน่งในครัวหรือเสิร์ฟลูกค้า?" เราบอก เราทำทุกอย่าง เราเสียบทุกตำแหน่งขึ้นกับว่าสถานการณ์เป็นยังไงเพราะเราเป็น Shift Runner ราจาพยายามจะบอกให้เราทำนู่นทำนี่อะไรซักอย่าง เราเริ่มสงสัยถามกลับไปว่า ตกลงวันนี้เธอเป็น Shift Runner หรือเราเป็น? เราต้องเป็นคนตัดสินใจว่าใครอยู่ตรงไหนหรือเธอจะเป็นตัดสินใจ? ราจาตอบกลับมาว่า เราเป็นคนตัดสิน..เราฟังแล้วก็..Ok. Can you please go to stay at the front for me? Thank you. โอเค ถ้างั้นก็ไปรับลูกค้าให้เราหน่อยนะ ขอบคุณ เราตอบกลับเสียงเฉียบขาด เพราะไม่ต้องการความวุ่นวายสับสนไปมากกว่านี้ ถ้าคุณคิดว่าคุณจะมาเริ่มงานในตำแหน่งที่สูงกว่าแล้วจะมาสั่งคนนู้นคนนี้ให้ทำนู่นทำนี่ทั้งๆที่ไม่ใช่กะของตัวเองที่จะต้องรับผิดชอบล่ะก็..ฝันไปเหอะ

เราหงุดหงิดกับปฏิกิริยาของราจาอยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งเราก็ไม่รอช้าที่จะเคลียร์ให้มันกระจ่าง ลำพังเราต้องรับมือกับริเทชเราก็วุ่นมากพออยู่แล้ว เช้าขึ้นมามาเข้างานตอนเจ็ดโมงเช้า (หลังเราสองชั่วโมง) มาถึงก็มาถามนู่น สั่งนี่ จนเราป่วนไปหมด เพราะไอ้คำสั่งเดิมที่สั่งให้เราทำ เรายังทำไม่ครบเลย..เริ่มตั้งแต่..สาวิตรี ยูมาถึงร้านแล้วอย่าลืมเดินดูทั่วร้านเลยนะดูว่ามีอะไรที่มันหมดอายุแล้วบ้าง ต้องโยนทิ้งนะ (เอ่อ..เครื่องปรุงบ่ะเก็ตทั้งร้านกระจายอยู่ในสามตู้เย็น กับสองตู้แช่แข็ง), เช็คว่าสต็อคในตู้เย็นมีพอหรือเปล่า (นับเพิ่มไปอีกสองตู้เย็น), เช็คขนมปัง ผัก ซอส ที่อยู่บนชั้นด้วยนะ (มีกันอยู่สามชั้น), น้ำยาทำความสะอาด (ชนิดผสมเอง) ต้องเปลี่ยนทุกวันนะ แล้วอย่าลืมติดสติ๊กเกอร์บอกเวลาที่ผสมกับเวลาหมดอายุด้วย (มีด้วยกันสามขวด), อย่าลืมเช็คเวลา pull shot ของกาแฟนะ (กาแฟ espresso จะต้องจับเวลาว่าแต่ละช็อทใช้เวลาไม่เกินเท่านั้นเท่านี้, ขนมอบทุกอย่างต้องมีสติ๊กเกอร์บอกเวลาอบและเวลาที่ต้องทิ้งนะ, ผลไม้ต้องมีสติ๊กเกอร์นะ ฯลฯ คือพูดง่ายๆว่า นี่เป็นกฎเรื่องความปลอดภัย Health and Safety อาหาร/เครื่องปรุง/ เครื่องดื่ม/ ขนม พูดง่ายๆว่าของที่มันเสียได้น่ะ เมื่อเปิดหีบห่อเพื่อเริ่มใช้งานแล้วต้องติดสติ๊กเกอร์บอกระยะเวลาว่าต้องใช้ให้หมดภายในกี่วัน ถ้าเผลอเรอทิ้งไว้แม้ว่ามันจะไม่เน่าไม่เสียเพราะอยู่ในตู้เย็น แต่ถ้าออดิท (Audit) มาตรวจเจอหรือคนจาก Health and Safety มาตรวจเจอ ร้านจะโดนสั่งปิดได้ง่ายๆ ซึ่งอันนี้ก็เข้าใจได้ เราก็พยายามจะทำทุกอย่างให้เสร็จภายในระยะเวลาอันจำกัด แต่พอพ่อคุณมาเริ่มก็มาเริ่มสั่งนั่นสั่งนี่เพิ่มเข้าไปอีก ไอ้รายการข้างต้นที่ว่ามาเรายังทำไม่เสร็จ เช่น ยังวัดอุณหภูมิตู้เย็นไม่ครบทุกตู้, เงินในเซฟยังไม่ได้เช็ค ฯลฯ พอมาขัดจังหวะระบบในหัวเรา เราก็เลยเง็งไปหมด..เฮ้อ..

ยังไม่พอช่วงหลังมานี่เริ่มมีกฎใหม่ๆ เกิดขึ้น คนในร้านก็ยิ่งมีปฏิกิริยาในด้านลบกันมากขึ้นไปอีก เราไม่พูดอะไร เพราะเราเชื่อแค่ว่าถ้าเขาต้องการทำให้ร้านมันดีขึ้นเราก็ไม่มีอะไรจะขัด จะแย่หน่อยก็ตรงที่บรรดาพนักงานทั้งหลายที่เคยอยู่กันแบบตามสบายมาจนเคยตัวนี่สิ..เรียกว่าเริ่มออกอาการกันนับตัวคนได้เลยทีเดียว..เพราะงี้เราถึงจับตาดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีกบ้างกับปฏิกิริยาของคนรอบข้าง เพราะนี่ก็เริ่มแบ่งพวกเขาพวกเรากันมาได้พักนึงแล้ว พวกที่รู้สึกว่าไม่พอใจจัดๆ ก็ถึงขั้นแสดงตัวว่า ตัวเองไม่ชอบผู้จัดการคนนี้เอามากๆ ..อืม..ริเทช งานนี้ไม่ง่ายแล้วล่ะ..ริเทชพยายามให้เราเล่นบทเหี้ยมกับทีม แต่เรากลับรู้สึกว่า..อืม เราไม่คิดว่าวิธีที่ว่าจะใช้ได้ผลนะ..แต่เราก็ไม่งัดค้านกับริเทชหรอก ปล่อยให้เขาเรียนรู้หาวิธีด้วยตัวของเขาเอง ถ้าเขาจะเล่นบทโหดก็ให้เขาเล่นเองแล้วกัน เพราะเราเคยลองมาแล้วแล้วก็รู้ว่ามันไม่ได้ผล นอกจากจะต้องมาทนปฏิกิริยาแย่ๆ แล้ว ยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการอีกต่างหาก..แต่ก็ไม่แน่ ใครจะรู้..บางทีวิธีการของริเทชอาจจะถูกก็ได้..ก็ต้องดูกันต่อไป
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 8:21 pm

28Nov2010 เย็นวันอาทิตย์..

เกือบหกโมงเย็นแล้ว วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2010 @ home

เกือบหกโมงเย็นแล้ว พึ่งกินข้าวเย็นเสร็จ ระหว่างรอเทรฟล้างจานเราก็มานั่งอัพเดทไดอารี่ให้เพื่อนอ่านๆ เพราะว่ารู้สึกว่าจะห่างหายไปนานอีกแล้ว วันนี้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดวันสุดท้ายก่อนที่จะต้องควบทำงานยาวแปดวันรวดจากวันจันทร์ที่จะถึงนี้ไปจนถึงวันจันทร์ถัดไป..จะรอดไหมเนี่ย..

ช่วงนี้เป็นหวัดงอมแงม เป็นมาเกือบจะอาทิตย์นึงอยู่แล้ว ถ้าเป็นปกติป่านนี้หายไปนานแล้ว แต่พอมาเจออากาศเย็นจัดๆเข้า ร่างกายเลยต้องสู้หลายด่าน..อากาศลดต่ำกว่าห้าองศามาพักใหญ่แล้ว คนเป็นหวัดกันถ้วนทั่ว พอเราดีขึ้นได้หน่อยก็ไปรับเชื้อจากที่ทำงานอีก ทั้งจากคนที่ทำงานและลูกค้า ทั้งไอทั้งจามกันวุ่นไปหมด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหิมะแรกตกลงมาแล้ว ปีนี้หนาวเร็วกว่าปีที่แล้ว จำได้ว่าวันเดียวกันนี้ปีทีแล้วอุณหภูมิยังอยู่ราวสิบต้นๆ จำได้เพราะเราพึ่งย้ายมาจากเมืองไทย ขนาดเจออุณหภูมิแค่สิบสององศา ณ วันลงเครื่อง ยังทำเอาช็อกอากาศเกือบแย่ไปเลย แต่ปีนี้อุณหภูมิไม่ถึงห้า แถมพอตกดึกติดลบสอง ลบสี่กันเลยทีเดียว เพราะงี้หิมะที่ตกมาตั้งแต่วันศุกร์เลยยังไม่ละลายแต่กลายเป็นน้ำแข็งติดแหง็กอยู่อย่างนั้น (เอ่อ..อธิบายนิดนึง..คือหิมะมันก็คือน้ำแข็งนั่นแหละ แต่ตอนมันตกมามันก็ปุยๆ นิ่มๆ ใช่มะ แต่ที่นี้ด้วยความที่อุณหภูมิมันเย็นจัด พอมันจะเริ่มละลายกลายเป็นน้ำ มันไม่กลายเป็นน้ำแต่กลายเป็นน้ำแข็งเหมือนที่เราเห็นในช่องแช่แข็งในตู้เย็น ผลก็คือพื้นผิวหน้ามันจะลื่นเวลาเดินหรือขับรถ เพราะฉะนั้นค่อนข้างอันตรายมากทีเดียว)

เรากับเทรฟรีบเตรียมการรับอากาศหนาวกัน เทรฟว่าถ้าหิมะตกโปร่งจะไปทำงานยังไง เพราะขับรถไปแม้ว่าจะอุ่นกว่าแต่อันตรายไม่น้อย เพราะถนนที่ต้องขับรถไปทำงานเป็นทางขึ้นเนินแถมยอดเนินก็เป็นไฟแดงพอดี ถ้าจังหวะดีขับมาไฟเขียวตลอดก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าติดไฟแดงแล้วอย่าหวังว่าจะได้ขับพ้นเนิน รถจะมีแต่ไถลถอยหลังอย่างเดียวแถมโอกาสที่จะควบคุมรถก็ลำบากมากด้วย เพราะฉะนั้นการขับรถไปทำงานจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี เทรฟว่าวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ เดินไปทำงาน..เราพยักหน้าอย่างเข้าใจ แถมพูดเสริมต่อว่า..อืม สงสัยต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสามจะได้เดินไปทำงานทันเวลาเข้างานตอนตีห้า..เราบอกเทรฟว่าเราจะเดินจูงจักรยานไป เพื่อตรงไหนขี่จักรยานได้จะได้ขี่ อีกอย่างพอเลิกงานหิมะอาจจะละลายแล้วเราจะได้ปั่นกลับบ้าน เทรฟพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเทรฟกังวลแค่ว่าถ้าขี่ไปบนหิมะแล้วลื่นล้มบนถนนจะยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าเดินจูงจักรยานไปก็โอเค

เสาร์อาทิตย์นี้ (ซึ่งเป็นวันหยุดสองวันติดกันของเรา..ที่มีไม่ค่อยบ่อยนัก) เรากับเทรฟวุ่นกันน่าดู เพราะโปรเจคล่าสุดของเราสองคนคือตกแต่งห้องครัวใหม่ ไม่ใช่ว่าเกิดอารมณ์อยากแต่งบ้านอะไรขึ้นมาหรอกนะ แต่เรื่องของเรื่องก็คือ พื้นห้องครัวส่วนหนึ่งมันกลายเป็นแอ่งหรือพูดง่ายๆว่าพื้นมันยุบลงไป ช่วงที่ผ่านมาเราสองคนดูรายการซ่อมบ้านกันเยอะก็เริ่มวิตกจริตว่าโครงสร้างพื้นด้านล่างมันจะผุแล้วบ้านมันจะทรุด เลยรีบไปตามช่างมาดู เขามาตรวจดูแล้วบอกว่า ไม่ต้องตกใจแค่ปลวกขึ้นพื้นเท่านั้นเอง เปลี่ยนไม้ปูพื้นไม่กี่แผ่นก็โอเคแล้ว ส่วนโครงสร้างของบ้านยังแข็งแรงคงทนเหมือนเดิม (เฮ้อ..โล่งอกไป) ที่นี้คุณเทรฟเธอก็ไอเดียบรรเจิดว่าไหนๆเราก็ต้องรื้อพื้นตอนซ่อมแล้ว (พื้นห้องครัวเป็นพื้นไม้กระดานปูเรียงกันแล้วปูทับด้วยไม้แผ่นบางๆ เพื่อให้พื้นผิวเรียบแล้วปูทับด้วยเสื่อน้ำมันอีกที) เราทำพื้นห้องครัวใหม่ทีเดียวเลยแล้วกัน เพราะของเดิมมันดูไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่ ..แต่ถ้าจะต้องเปลี่ยนพื้นแล้วก็จัดการเพดานและผนังไปในคราวเดียวกันด้วยเลยแล้วกัน ..เพราะงี้งานที่ต้องทำตามมาก็คือ ลอกวอลล์เปเปอร์ของเดิมออกก่อน (เป็นวอลล์เปเปอร์ที่เป็นแบบเคลือบพลาสติก เพราะใช้งานห้องครัวก็ต้องเป็นอะไรที่เช็ดถูได้นั่นเอง แต่อย่างว่ามันมาพร้อมบ้าน มันก็เลยเป็นลายที่ค่อนข้างล้าสมัย สีก็หม่นๆ เก่าๆ เชยๆ)

หน้าที่เราก็คือลอกเอาวอลล์เปเปอร์ชั้นแรกออก จากนั้นก็ฉีดน้ำลงไปเพื่อจะลอกกระดาษที่เหลือ ส่วนเทรฟก็รื้อเอาไม้บัวที่พื้นออก ปรับพืันผิวของเพดานและผนังให้เรียบเนียบเพื่อเตรียมทาสีใหม่ พอทาสีเพดานกับผนังเสร็จ เราก็จะปูพื้น..เป็นอันเสร็จ..กำหนดแล้วเสร็จ..ภายในช่วงลาพักร้อนหน้า (7-10 ธันวาคม)..เพราะงี้ช่วงวันหยุดของเราสองคนเลยวุ่นวายกันไม่น้อย

เสร็จจากงานปรับปรุงนี้แล้ว เราก็จะเริ่มเตรียมงานปาร์ตี้วันคริสตมาสกันอย่างจริงจังล่ะ เพราะพ่อกับแม่เทรฟมาค้างด้วย ก็เลยต้องให้มันออกมาดีหน่อย..จะระดมแต่อาหารไทยอย่างเดียวเดี๋ยวจะเสียบรรยากาศคริสตมาสไป เพราะงี้ต้องไปลืมบรรดาอาหารสากลได้แก่ Roasted dishes (พวกไก่งวงอบ หรือเนื้ออบ) เราอยากทำเค้กหรือขนมให้พ่อกับแม่เทรฟลองบ้าง (หลังจากที่ทำให้เพื่อนที่ทำงานลองไปหลายอย่าง ตั้งแต่เค้ก คุ้กกี้ บราวนี่) แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรดี..ไว้มีความคืบหน้าอะไรจะเก็บมาเล่าให้ฟังใหม่ ..เย็นนี้เหนื่อยแล้วไปก่อนดีกว่าน้าา ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 8:26 pm

2Dec2010 เอ๊ะ..ทำไมไดอารี่มันกลายเป็นรายอาทิตย์ไปแล้วหว่า?

บ่ายสามโมงสองนาที วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2010 @ home

ช่วงนี้สมองมึนงงเพราะต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าทุกวัน แถมหนนี้ทำงานติดกันแปดวันรวด ตื่นตีสี่ตีห้ามันเกือบทุกวันไปสิน่า..นี่ไม่ได้เขียนไดอารี่นานขนาดว่าจำไม่ได้ว่าเขียนครั้งสุดท้ายไปเมื่อไหร่ ต้องเปิดอีเมล์ของเก่าดูกันเลยทีเดียว..แถมช่วงนี้มีคั่นด้วยกิจกรรมหางานเข้าไปอีกไดอารี่ก็เลยยิ่งลดความถี่ลงไปอีก

จริงๆเรื่องหางานเราทำใจไว้พักใหญ่แล้วว่าช่วงนี้เป็นช่วงใกล้วันคริสตมาส กิจกรรมการรับสมัครงานของบริษัทต่างๆ ย่อมซบเซาลงไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลวันหยุดคริสตมาส, ช่วงสิ้นปี, ช่วงเปลี่ยนปีงบประมาณ, ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเพราะเป็นช่วงหน้าหนาวหรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็เลยผ่อนความถี่ในการหางานลง จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา..

..
ริเทชเข้างานมาราวๆแปดโมงกว่าๆ มาถึงก็เดินตรวจดูความเรียบร้อยรอบร้านตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเช็ควันหมดอายุของของทุกอย่างในร้าน เช็คว่าทุกอย่างมีฉลากติดถูกต้องหรือไป เช็คบะเก็ตว่าสมควรเปลี่ยนใหม่หรือยัง (เพราะว่าวางขายบนถาดได้ไม่เกินสามชั่วโมง) ของหน้าร้านมีขายครบถ้วนและเต็มถาดดีไหม ฯลฯ พอเจอว่าบะเก็ตแฮมกับชีส กับบะเก็ตชีสกับมะเขือเทศเหลือแค่อย่างละอัน ก็ตะโกนบอกให้เรารีบทำเพิ่ม เพราะถ้าลูกค้าซื้อไปถาดนั้นก็จะว่าง มีผลให้ถ้าเกิดว่าออดิทโผล่มาเห็นเมื่อไหร่ร้านจะโดนตัดคะแนนเรื่อง Display ทันที 25% ซึ่งเราก็เข้าใจอ่ะนะ แต่ตอนนั้นเรากำลังทำบะเก็ตไส้กรอกอยู่แล้วก็กำลังจะยกออกไปวางขาย ในใจเราตอนนั้นคิดว่าบะเก็ตไส้กรอกขายดีช่วงเช้าต้องรีบทำเพิ่มไว้รอลูกค้าส่วนบะเก็ตแฮมกับชีส กับมะเขือเทศกับชีสขายไม่ค่อยดี เดี๋ยวเราเอาไส้กรอกไปวางแล้วก็จะทำต่อ น่าจะทัน (แหม่..ระยะเวลาแค่ไม่เกินนาทีนึงอ่ะนะ) พอดีกับที่ลอร่าขึ้นมาเอาแซนวิชสำหรับรีทัสซ่า (ร้านที่อยู่ชั้นล่าง) ไปขายเพิ่ม เหตุการณ์สาละวนวุ่นวายอยู่ในครัวตรงหน้าตู้เย็นเตรียมบะเก็ตนั่นแหละ ริเทชไม่ยอมหยุด ตะโกนเร่งบะเก็ตสองอย่างที่ตัวเองต้องการไม่หยุด..เราทนไม่ไหวหันไปบอกว่า..Reetesh, why don't you leave us do what we are doing now? You are confusing us. (แปลง่ายๆว่า รู้แล้วๆ ไม่ต้องเร่ง ยิ่งเร่งยิ่งงง เดี๋ยวทำให้)

ริเทชไม่พอใจอย่างมาก เกิดการต่อปากต่อคำกันเล็กน้อย จนกระทั่งริเทชหันมาขึ้นเสียงใส่เราว่า Sawittree, do you want to stay here or you want to go home? สาวิตรี จะทำงานต่อหรือจะกลับบ้าน? เราสวนไปว่า ..ก็แล้วแต่..ริเทชตอบกลับเสียงเฉียบขาดว่า I'm your boss,not your friend. I don't have time to argue with you.!!

เรานิ่งไปในใจเดือดดาล ด้วยคำพูดริเทชที่ว่า "ยังอยากจะทำงานต่อหรือจะกลับบ้าน?" เรามีความรู้สึกว่าถ้าเราต้องทำงานกับหัวหน้างานหรือเจ้านายที่มีทัศนคติ "เจ้านายผิดไม่ได้" แล้วละก็ เราลาออกไปทำงานที่อื่นดีกว่า..แต่ก่อนจะไป เราขอเช็คให้แน่ใจก่อนว่า ความเข้าใจของเราถูกต้องหรือเปล่า

พอมีจังหวะเราแอบถามแมรี่แอนด์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติของวัฒนธรรมอังกฤษหรือเปล่า แมรี่แอนด์ตอบว่า ไม่นะ เพราะถ้าหากคุณมีปัญหากับลูกน้องคุณก็ควรที่จะคุยกับคนๆนั้นเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ตะโกนว่าต่อหน้าคนอื่น พอเราได้คำยืนยันแบบนั้นมันก็เป็นเครื่องตอกย้ำถึงวัฒนธรรมการทำงาแบบเอเชียในความคิดของเรา เราบอกแมรี่แอนด์ว่า เราไม่ได้มีปัญหาอะไรส่วนตัวกับริเทชนะ แต่ถ้าเขามีทัศนคติในการทำงานแบบนี้ แบบชนิดที่ว่าเราพูด เราแนะอะไรไม่ได้เพราะเจ้านายต้องถูกเสมอ..เราว่าเราทำงานด้วยไม่ได้ เพราะตอนเราอยู่เมืองไทยเราเจอมาเยอะ แล้วเราก็ไม่ชอบแนวคิดแบบนี้ ถ้าเรามาอยู่ถึงที่นี่แล้วต้องเจอเหตุการณ์แบบเดิม แล้วมันจะต่างกับเมืองไทยตรงไหน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นและมีประจักษ์พยานกันถ้วนหน้า เพราะริเทชพูดเสียงดังไม่น้อย ขนาดวินเสิร์ฟลูกค้าอยู่หน้าร้านยังได้ยินว่าริเทชตะโกนว่าเรา

สิ่งที่สะกิดใจเราที่สุดนอกเหนือไปจากสไตล์การทำงานของริเทชแล้วก็คือคำพูดที่ว่า จะทำงานหรือจะกลับบ้าน?!! นี่แหละ เพราะมันทำให้เรานึกย้อนไปถึงตอนที่ทำงานในร้านอาหารไทย งานแรกที่ทำเมื่อมาอยู่อังกฤษใหม่ เจ้าของร้านเรียกเราไปด่าแล้วก็ขู่เราด้วยคำคำนี้นี่แหละ เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าเราพึ่งมาถึงอังกฤษ เราไม่รู้จักใคร เราไม่มีที่ไป อากาศก็หนาว เงินก็ไม่มี ถ้าเราไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็ไม่มีที่จะอยู่ ไม่มีเงินกิน..เราจำความรู้สึกวันนั้นได้ดี คำว่า "ถูกต้อนจนหลังชนฝาชนิดไม่มีทางสู้" เป็นยังไง เรารู้ซึ้งก็วันนั้นแหละ เพราะเราไม่มีที่ไป ไม่มีทางเลือก ต้องยอมทนให้เขาโขกสับและปฏิบัติอย่างกับตัวเองเป็นทาสหรือเป็นหนี้เขามาทั้งชีวิตก็ไม่ปาน..มาวันนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว ทำไมชีวิตเราจะต้องวนกลับไปอยู่ ณ จุดเดิม ตำแหน่งเดิมที่ย่ำแย่แบบนัันด้วย

เพราะอย่างนี้เราจึงยิ่งมุหางานเข้าไปใหญ่ กลับมาบ้านไม่ว่าจะง่วงจะเหนื่อยขนาดไหนต้องเปิดคอมฯ หางาน สมัครงานไปเรื่อยๆ ทำมันทุกวัน ลองสมัครมันทุกอย่าง ในเมื่อมันยังไม่ได้ก็ต้องพยายามต่อไป ได้แต่ปลอบตัวเองว่า ในเมื่อมันยังไม่ได้ก็ต้องพยายามต่อไป ..ไม่ได้งานไม่ได้แปลว่าไม่มีทางได้งาน แต่แปลว่าเรายังพยายามไม่มากพอ..เพราะงั้นทุกวันจึงมีค่าและมีความหมายสำหรับเรามาก เราตื่นตีสี่ บางวันก็ตีสามกว่าๆ เพราะถ้าหิมะตก ถนนเป็นน้ำแข็งก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นไปอีก กลับมาถึงบ้านเกือบบ่ายสอง ไม่ว่าจะง่วงยังไงก็ต้องอดทน เพราะเราไม่รู้ว่าข่าวลือที่ว่าริเทชอาจจะพยายามโละคนทั้งร้าน แล้วจ้างคนของเขาหรือคนอินเดียอย่างเดียวมาทำงานอาจจะเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะตอนนี้ก็มีราชา (Raja) ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่เป็นคนอินเดียเพิ่มมาอีกคน..ชั่วโมงทำงานเราก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อไหร่ก็ตามที่ชั่วโมงทำงานเราลดลง..ข่าวลือที่ว่าคงไม่ไกลคำว่า ฝันร้ายกลายเป็นจริง
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 8:30 pm

3Dec2010 หนาวมือ..แต่ก็อดทนพิมพ์..กระซิกๆๆ

ห้าโมงเย็นกว่าๆ วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2010 @ home

อืม..ตกเย็นมาอากาศก็เย็นลงถนัดใจ ช่วงนี้อากาศติดลบมาเป็นอาทิตย์แล้ว วันนี้ช่วงกลางวันมีแดดมาให้เห็นพอให้กระชุ่มกระชวย แต่เสียดาย..มันไม่ได้ช่วยให้อุ่นเลยซักกะนิ๊ดด..อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ที่ลบห้าองศา (ณ เวลาเที่ยงวัน) พระอาทิตย์ตกดินตั้งแต่สี่โมงเย็นนิดๆ เรากับเทรฟออกไปซื้อกับข้าวกันชนิดทำเวลาแข่งกับเวลารถติดช่วงเลิกงาน เทรฟเข็ดไม่อยากไปซื้อของช่วงเสาร์อาทิตย์อีกแล้วเพราะช่วงนี้ใกล้คริสตมาส คนออกมาซื้อของกันชนิดที่เทรฟเรียกว่า "เสียสติ" ไปแล้ว

อากาศแบบนี้เวลาจะออกไปทำงานตอนเช้าเราต้องใส่อุปกรณ์เสริมเพียบ อันได้แก่ เสื้อยืด ลองจอห์นแบบที่เรียกว่าเทอร์มอล (Thermal) มันต่างจากลองจอห์นปกติยังไง แต่เห็นมาอ้างสรรพคุณว่าอุ่นกว่า..แล้วมันก็อุ่นกว่าจริงๆนะตามด้วยชุดทำงาน ทับด้วยเสื้อกันหนาวที่เรียกว่าฟลีซ (Fleece) เป็นเสื้อกันหนาวที่ผ้าคล้ายผ้าสำลีแต่หนากว่าหน่อย ตามด้วยผ้าพันคอผืนโต (ต้องบังคอให้มิดชิด) ทับอีกชั้นด้วยเสื้อกันหนาวแบบชนิดหนานุ่มเหมือนมิชิลินเพื่อกันลม ฝน และหิมะ ทับชั้นนอกสุดด้วยเสื้อกั๊กและกางเกงสะท้อนแสงเพื่อความปลอดภัย ส่วนหัวก็ให้หมวกให้คลุมหูให้มิดชิดแล้วใส่หมวกกันน็อคทับ ส่วนถุงมือเป็นของขาดไม่ได้อยู่แล้ว..ทั้งหมดก็ทำได้แค่นี้ ส่วนหน้าต้องเปิดไป เคยพยายามบังหน้าบางส่วนด้วยผ้าพันคอ แต่ต้องพันผ้าแบบมีเทคนิคนิดหน่อย ซึ่ง ณ เวลาตีสี่กว่าๆ เอาเร็วเข้าว่าไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวไปทำงานสาย เพราะงี้ก็เลยต้องปล่อยให้ "หน้าชา" ไปตามระเบียบ..หน้ามันชาจริงๆ โดยเฉพาะเช้านี้ เย็นเยียบชนิดไร้ความรู้สึกไปเลย เราปั่นจักรยานให้เร็วที่สุด จะได้ไปถึงเร็วแล้วก็ช่วยให้อุ่นด้วย พอไปถึงที่ทำงานแล้วถึงจะรู้ว่า..โห..ไอ้ที่พันมาเนี่ยเยอะเอาการทีเดียว..อิอิ

หนาวๆ แบบนี้อยู่บ้านเราก็ห่มก็พันเหมือนกัน เพราะเราถือนโยบายประหยัด ไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อนทั้งวันทั้่งคืนให้ค่าไฟ ค่าแก๊สพุ่งกระจาย..เปิดแค่จำเป็น..หลังๆ กลายเป็นว่าเปิดเพื่อจะได้ตากผ้า เพราะตากผ้าข้างนอกบ้านไม่ได้อยู่แล้ว ทีแรกเราไม่เข้าใจว่าทำไมตากไม่ได้ เพราะก็ไม่เห็นมีฝนซะหน่อย เทรฟบอกว่าเสื้อผ้ามันก็จะมีแต่แข็งเป็นน้ำแข็งเท่านั้นน่ะสิ..เอ่อเนอะ ลืมคิดไปเลย ฮ่าฮ่า..
นอกจากใส่เสื้อผ้าให้อุ่นกายแล้วเราก็มีผ้าห่มสารพัดผืน ทั้งคลุมทั้งห่มให้ตัวอุ่น จริงๆ เราไม่ได้ใช้ผ้าห่มเพราะอากาศหนาวอย่างเดียวหรอก แต่เราชอบห่มผ้าอยู่แล้วเป็นทุนเดิม พออากาศเย็นก็เลยยิ่งมีข้ออ้างเข้าไปใหญ่ วันไหนนั่งขดอยู่บนโซฟา คุณสามีจะช่วยระดมห่มผ้าเพิ่มให้อีกเป็นสองชั้นสามชั้น แถมด้วยกระเป๋าน้ำร้อนอีกต่างหาก..ก็แหม..คนมันกำลังสบายมือแขนก็ซุกซะอุ่นแล้ว..เทรฟก็ช่วยหน่อยละกันนะ อิอิ

ทุกเช้าที่เราไปเข้างานตอนตีห้า เราจะมีข้อตกลงกับเทรฟว่า พอเราไปถึงที่ทำงานแล้วให้ส่งข้อความมาบอกด้วยว่าปลอดภัยดี เทรฟจะได้สบายใจกลับไปนอนได้ตามปกติ..พอเราย้อนถามว่า แล้วถ้าเราลืมส่งข้อความล่ะ เทรฟจะทำยังไง (ในใจแอบคิดว่า..เดี๋ยวฮีโร่เราต้องรีบแจ้นออกจากบ้าน ขับรถตามมาดูถึงที่ทำงานแหงๆ) เทรฟหันมามองหน้าส่งสายตาประมาณว่า..ถามมาได้..แล้วก็ตอบว่า..อ้าว ผมก็ต้องกินยานอนหลับอ่ะดิ ไม่งั้นจะหลับต่อได้ไง (แป่ว!! รักกันจริงจริ๊งสามีดิฉัน) ฮ่าฮ่า

เรื่องความเป็นห่วงเป็นใยของเทรฟ นอกจากกลัวเรานอนไม่อุ่นแล้ว ก็ต้องดูเรื่องกินให้อิ่มด้วย เทรฟรู้ดีว่าเรากินผลไม้เป็นตันมาแต่ไหนแต่ไร (เรียกว่าพอเรามาอยู่อังกฤษ แม่ค้าผลไม้ที่ตลาดบ่นหาให้วุ่น เพราะขาดลูกค้าคนสำคัญไป) วันไหนเรานอนอุ่นสบายบนโซฟาเป็นอย่างดีแล้ว เทรฟจะเดินมาถามว่า เอาอะไรอีกไหม เรารีบตอบทันใด..เทรฟเอาส้มให้หน่อยนะ (ส้มที่นี่ขายแบบใส่ตาข่ายส้มๆเป็นส่วนใหญ่)..เอากี่ลูกอ่ะ หนึ่งหรือสอง? เทรฟถาม..ไม่อ่ะ เอามาทั้งเน็ตเลย...เราว่าหน้าตาเฉย..เทรฟตอบกลับด้วยคำตอบที่คาดไม่ถึง"อะไรเนี่ย กินอะไรกันขนาดนี้ วันนี้คุณจะกินหมดทั้งสองเน็ตอยู่แล้วนะ..ไม่เอาอ่ะ เอาไปสองลูกพอ รู้บ้างไหมเนี่ยว่าประชากรในประเทศโลกที่สามเขายากแค้น ขาดแคลนอาหารขนาดไหน..ก็เพราะคุณกินเยอะซะขนาดนี้เนี่ย!..โอ่ยย..กินซะจะหมดเนื้อหมดตัว" ..ไงล่ะ สามีดิฉัน ฮากันชนิดตั้งตัวไม่ทันไปเลย อิอิ

ว่าแล้วก็ไปกินข้าวก่อนนะ เทรฟเดินมารายงานเรียบร้อยว่า Dinner is about ready in 7 minutes. ;)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 8:35 pm

10Dec2010..อ้าว วันรัฐธรรมนูญนี่หว่า

11.29 น. เช้าวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2010 @ home


- - -
..กี่โมงแล้วหว่า..เห็นแสงลอดผ่านม่านหน้าต่างก็เดาเอาว่าคงราวแปดโมงกว่าแล้ว..พอเริ่มมีสติก็คิดทบทวนว่าวันนี้มีแผนต้องทำอะไรบ้าง เทรฟมีนัดหมอฟันตอนเที่ยงกว่า ตกลงกันไว้ว่าระหว่างรอเทรฟเราก็มีหน้าที่ไปจ่ายตลาดเพราะร้านหมอฟันตั้งอยู่ในตัวอาคารห้างเทสโก้ใหญ่ของแบรดลี่ สโตค..ตายล่ะ ถ้าออกไปซื้อของ..ก็ต้องยาวแน่เลย..แล้ววันนี้ถ้าเข้าใจไม่ผิดไปรษณีย์จะมาส่งของที่เจ้าอรฝากมาให้จากเมืองไทย..ถ้าคลาดกับไปรษณีย์วันนี้กว่าจะไปรับที่ที่ทำการไปรษณีย์อีกทีได้ก็ต้องวันจันทร์..มีหวังขนมที่ส่งมาเสียหมด..เฮ้อ..ลำบากตรูนะเนี่ยเจ้าอร..เราคิดทบทวนแผนทั้งหมดนี่อยู่ในใจครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพูดกับเทรฟถึงความกังวลที่มี..เทรฟว่า งั้นโปร่งอยู่บ้านรอไปรษณีย์ก็ได้ เดี๋ยวเทรฟไปซื้อของคนเดียว..เราว่าถ้าไปรษณีย์มาสิบเอ็ดโมงเหมือนอย่างทุกทีก็คงดีนะ รับของแล้วค่อยออกไปกัน เพอร์เฟ็คเป็นที่สุด..

---
"เฮ้ย โปร่ง ฉันให้เจ้าเมิฟมันถือขนมไปฝากแกล่ะ" อรเล่าเสียงตื่นเต้น
"เหรอ ขนมอะไรวะ"
"ก็ขนมร้านริน แล้วก็ฝอยทองร้านยายนงค์" อรร่ายการขนมของโปรดเรา พร้อมด้วยสำทับเรื่องฝอยทอง "ยอดอร่อย" ชนิดกินกันแล้วชีวิตนี้ก็เดือดร้อนไปตามๆกัน เพราะจะพาลให้คนกินหัวสูงเลิกกินฝอยทองท้องตลาดกันไปตามๆกัน
"เฮ้ย ลำบากเปล่า ขนมสดทั้งนั้น แล้วเมิฟมันจะส่งมาให้ฉันยังไง"
"ฉันใส่กล่องร้านรินไปมันมีที่หิ้วเหมือนกล่องนมไทยเดนมาร์กอ่ะ เมิฟมันจะไปถึงตอนเช้าเจ็ดโมง ฉันบอกให้มันส่งของหาแกวันนัันเลย"
"เฮ้อ แกนะแก ทำเพื่อนเดือนร้อน ฉันก็ไม่ได้อยากกินขนาดนั้นซะหน่อย"
"ไม่เป็นไร เมิฟมันอยากเอาฝอยทองไปฝากเพื่อนมันอยู่แล้ว"

---
แปดโมงครึ่งเช้าวันต่อมา เสียงโทรศัพท์ดังตั้งแต่เราตายังลืมดี ..
"โปร่งง..." เสียงไอ้อรเจื๊อยแจ้วมาแต่เช้า..
"เมิฟมันบอกว่าของเอาเข้าไปได้หมดเลย ไม่เห็นต.ม.มันเปิดตรวจเลย..ดีๆๆ" เสียงเจ้าอรตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด เพราะเราสองคนดูรายการ Broader Patrol กันมากเกินไป กังวลว่าเขาจะไม่ให้เขาออกกินบางอย่างเข้าประเทศ แล้วจะต้องทิ้งกันตรงนั้นหมด
"เอ้อ ดีแล้ว" เรางัวเงีย..ในใจคิด..มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย แค่เรื่องขนม..ตกลงมันทำเพราะสนอง "ความอยากส่ง" ของมันหรือ "ความอยากกิน" ของเราวะ (ซึ่งๆ จริงๆก็ไม่ได้อยากกินอะไรมากมายนะ)
"โทรมาบอกเท่านี้แหละ" ว่าแล้วอรก็วางหูไป..เราแอบคิดในใจต่อ..เออ..ยังไม่มีอารมณ์คุยกะใครตอนเช้าเหมือนกัน..น้ำยังไม่ได้อาบ ข้าวยังไม่ได้กิน..เฮ้อ

---

ติ๊ง..ต่อง..
เสียงออดประตูดัง.."โปร่ง..สงสัยไปรษณีย์มั้ง" เทรฟตะโกนมาจากในครัว เรานั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะกินข้าว หันไปมองนาฬิกา..10.55 น...เอ้อ เป็นไปได้แฮะ..ว่าแล้วเราก็แจ้นไปเปิดประตู..เห็นเสื้อส้มๆสะท้อนแสงผ่านทางกระจกประตู..ใช่ไปรษณีย์แน่แล้ว..แหม..ตรงเวลาดีจริง

..ขอบคุณนะคะ..เรายิ้มเผล่พร้อมรับของในกล่องที่มีหูหิ้วแน่หนา สีสันสะดุด แถมหน้าตาคุ้นๆ ..ก็มันคือกล่องที่เราเห็นในรูปที่อรส่งมาให้ดูเมื่อวันก่อนนี่นา..เราแอบยิ้มกับตัวเอง

"เทรฟ นี่ไงขนมจากอร" เราวิ่งร่าเข้าไปในครัวเพื่ออวดเทรฟ
"โว้วว"..เทรฟเริ่มตื่นเต้นไปด้วยแล้ว
"โปร่งโทรบอกอรก่อนดีกว่าเนอะว่าได้ของแล้ว" ..เรารู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เพราะเจ้าตัวลุ้นตลอดกระบวนการว่าขนมจะมาถึงเราครบตามต้องการไหม

"อร..เราได้ของแล้วนะ ขอบใจมาก..โทรมาบอกเท่านี้แหละ เพราะว่ากำลังจะออกไปซื้อของ ไว้คุยกันนะ" ง่ายๆ สั้นๆ ตรงประเด็น..เราวางหูโทรศัพท์แล้วเริ่มลงมือแกะกล่องของขวัญเพื่ออวดเทรฟ

เทรฟเดินมาแอบลุ้นด้วย "มีข้าวตังกระเทียมไหม"
"นี่ไงเทรฟ ข้าวตังกระเทียมของเทรฟ"
"เยี่ยมไปเลย" เทรฟร้อง
ตามมาด้วยฝอยทองสามกล่องใหญ่ เราพยายามอธิบายความพิเศษของมันให้เทรฟฟัง เพราะเทรฟยังไม่เคยกิน เราตกลงกันว่าจะเก็บไว้ให้ถึงคริสตมาส พ่อกับแม่เทรฟจะได้ลองกินด้วย
แล้วเราก็หันไปรื้อขนมกล่องถัดไป..ขนมไข่..ขนมไข่ของโปรดเรา..มาถึงตรงนี้เราน้ำตารื้น..ไม่ใช่เพราะได้กินขนมของโปรด..แต่สิ่งที่เราได้มากกว่านั้นคือ "ความรักและความคิดถึง" จากเพื่อน
เราสัมผัสมันได้จากขนมทุกกล่องที่อรเลือกใส่มา ข้าวตังของโปรดเทรฟ..อรใส่มาให้ตั้งสองกล่อง ฝอยทองของหายาก..ก็ใส่มาตั้งสามกล่อง ขนมกงและมะม่วงกวน รวมถึงขนมไข่ที่แสนจะลำบากในการแพคมาเพื่อไม่ให้มันบี้..สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เราสัมผัสได้จากขนมทุกชิ้นที่ส่งมา..

ขอบใจนะอร..เรารู้และเข้าใจแล้วล่ะว่าแกคิดถึงฉันขนาดไหน
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 8:39 pm

14Dec2010 ได้เวลากลับไปทำงาน

หกโมงเย็น วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2010 @ home

วันนี้เป็นวันแรกที่เรากลับไปทำงานวันแรกหลังจากที่ลาพักร้อนไปหนึ่งอาทิตย์ จำได้ว่าตอนทำงานวันสุดท้ายก่อนได้พักร้อน ตื่นเต้นดีใจแทบแย่ เพราะทำงานมาแปดวันรวด ตื่นเช้ามืดมันทุกวัน ร่างกายเริ่มประท้วงออกอาการไม่อยากตื่น ผนวกกับบรรยากาศวันทำงานวันนั้นสุดแสนจะหงุดหงิดใจ งัดข้อกับ Raja ตลอด ฮึ่มๆๆ ทำให้เมื่อคืนออกอาการไม่อยากกลับไปทำงาน เพราะพอคิดว่าต้องตื่นไปทำงาน ไปเจอหน้าไอ้หมอนี่อีก..เฮ้ออ..

วันนี้ไปทำงานในฐานะพนักงานปกติ ไม่ได้คุมกะหรือพูดให้ถูกว่า ไม่ได้รันชิฟท์ (run shift) เราก็เตรียมใจรับคำสั่งจากเจ้านายใหญ่คุณ Raja ตลอด โชคดีมากมายที่ร้านวุ่นน่าดู เขาไม่ค่อยมีโอกาสมาวุ่นวายกะเราเท่าไหร่ (แต่ขนาดปะ ฉะ ดะกันแค่ฉากสองฉาก ก็ยังเรียกอารมณ์กรุ่นได้อยู่ดี ฮึ่ม) พอสายหน่อยผู้จัดการริเทชพึ่งเข้ามาร้าน เราทักทายกับเขานิดหน่อย ก่อนออกปากทวงเครื่องแบบร้านกาแฟรีทัซซ่าที่เราต้องย้ายลงไปทำเป็นหลักตั้งแต่วันพฤหัสฯนี้

ริเทชหันมาโบกไม้โบกมือบอกว่า เครื่องแบบน่ะเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ขอคุยกับเราด้วย เพราะจริงๆ ตั้งท่าคุยกันตั้งแต่ก่อนเราลาพักร้อนแล้ว แต่เราชิ่งกลับบ้านไปก่อน (ก็มันไม่ไหวแล้วนิ อยากกลับไปนอน อีกอย่างก็หมดเวลางานแล้วอีกต่างหาก เรื่องอะไรจะอยู่โยงให้เสียเวลา) วันนี้เขาคงเริ่มรู้แกวเราว่า เราไม่ยอมเลิกงานช้า ถ้าเขาอยากคุยก็ต้องคุยในเวลางาน เพราะงี้พอเราพอมีเวลา (ก็เราไม่ใช่ shift runner แล้วนิ ก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ อิอิ) เราเลยได้มีจังหวะไปคุยกับริเทช

ริเทชให้เหตุผลกับการที่ย้ายเราลงไปทำงานร้านข้างล่าง-คาเฟ่ ริทัซซ่า (Cafe Retazza) ก็เพราะเขามองว่าการจะกระตุ้นการเรียนรู้ของคนให้ดีก็น่าจะมีการเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง เพราะที่ผ่านมาคนเราก็ทำงานกันที่เดิมๆ ก็อาจจะกลายเป็นความเคยชินไป ขาดแรงกระตุ้นในการคิด การทำอะไรใหม่ๆ เพราะงั้นถ้าลองย้ายที่อาจช่วยระดับการเรียนรู้ (ทั้งหมดนี่เป็นการคาดเดาของท่านผู้จัดการ มิได้ถามเราซักคำว่าเราอยู่ในข่ายนี้หรือเปล่า) เขาถามเราคำนึงว่า เราโอเคจะลงไปทำงานร้านข้างล่างไหม เราก็ว่าโอเค (แต่เหตุผลจริงๆที่ไม่ได้บอกก็คือ เราจะไปอยู่ไกลๆไอ้บ้าอำนาจ Raja ต่างหาก ..ฮึ่ม คิดทีไรเป็นโมโหขึ้นมาติดหมัดทุกทีไป)

ริเทชพูดต่อว่าเขารู้ว่าเราเป็นพนักงานขายที่ดี เราเป็นคนตรงเวลา ขยันและมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง เขาก็เลยอยากลองให้เราขยายศักยภาพเราลงไปพัฒนาร้านข้างร้านให้มันดีขึ้น ทั้งในแง่คะแนนออดิทและยอดขาย

เขาบอกว่าตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมถึง 16 มกราคม ตลอดสี่อาทิตย์นี้จะเป็นโอกาสให้เราสำแดงฝีมือ เป้าหมายก็คือผลักยอดขายให้ได้มากกว่า ?4,000 ต่อสัปดาห์ (ราวสองหมื่นบาท) จากปกติอยู่ที่เกือบๆ สี่พัน เราถามว่า..ถ้าเราทำได้ แล้วเราจะได้อะไร ริเทชตอบว่ามันก็กลายเป็นผลงานของเราโดยตรง ไม่ใช่ของเขา เป็นโอกาสให้ผู้ใหญ่ข้างบนมองเห็นศักยภาพของเรา เป็นการเปิดประตูความก้าวหน้าในหน้าที่การงานให้เรานั่นเอง ส่วนถ้าเราทำไม่ได้..เราก็ไม่ได้ผลงาน..ง่ายๆ แค่นั้น

เราฟังคำอธิบายของริเทชด้วยความรู้สึกว่า "อืม..น่าสนใจนะ..แต่.." พูดง่ายๆ ก็คือเราไม่ค่อยมันใจว่าเราควรจะไว้ใจริเทชได้แค่ไหน จริงๆ ทำได้หรือไม่ได้ก็ไม่ได้สร้างความต่างอะไรให้เราหรือริเทชมากนักหรอก เพียงแต่เรารู้สึกว่า "การเปิดประตูเพื่อความก้าวหน้ากับบริษัทนี้เนี่ยนะ?????" เนี่ยแหละคำถามใหญ่ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาบริษัทนี้มีนโยบายและแนวการทำธุรกิจที่ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (unity) หรือขาด consistency อย่างมาก คือวันนี้พูดอย่าง อีกวันพูดอย่าง นายคนนี้พูดอย่าง นายอีกคนพูดอีกอย่าง ช่างเป็นการทำงานที่สับสน งุนงงและชวนหงุดหงิดตลอดมา เพราะงี้คำถามใหญ่สำหรับเราคำถามเดียวก็คือ เราต้องการจะเติบโตกับบริษัทแบบนี้น่ะเหรอ? ซึ่งประเด็นนี้เทรฟออกความเห็นไว้น่าสนใจว่า..ในช่วงสี่อาทิตย์ที่ว่าตลาดงานที่อื่นก็คงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรมากนัก เพราะงั้นโอกาสนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ไม่เลว เรียกว่าทำดีก็ได้หน้า ถ้าทำได้ไม่ดีก็แล้วไป ขณะเดียวกันเรื่องหางานก็ไม่ได้ทิ้ง ได้งานใหม่เมื่อไหร่ก็ค่อยไป..พูดง่ายๆว่า ช่วงนี้ก็ลองทำตรงนี้ให้มันเต็มที่ดูอีกซักตั้ง อย่างน้อยเราก็อาจจะมีผลงานจากงานนี้เอาไว้เครคิตตัวเองสำหรับงานในอนาคตก็ได้..ใครจะรู้?

ว่าแต่..ใครฟังแล้วคิดยังไงบ้างอ่ะ..ช่วยกันคิดหน่อย
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับ

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน