22Oct2010..ปารีสวันที่สาม..เมื่อไหร่จะเล่าจบวะเนี่ย..
สิบโมงกว่าวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2010 @ home
แหะ แหะ รู้สึกเริ่มเซ็งตัวเองที่หาเวลาอัพเดทไดอารี่ได้ยากเย็น ไอ้ครั้นไม่เล่าให้จบก็ค้างคาใจ พล็อตเรื่องใหม่ๆ ก็ค้างอยู่เต็มหัว..ว่าแล้วรวบรัดตัดความเล่ากันให้เสร็จๆไปแล้วกัน
--
ปารีสวันที่สามเป็นวันศุกร์ที่คุณสามียังต้องไปเข้าร่วมสัมมนา แต่เทรฟว่าคงจะเลิกเร็วเลยนัดแนะกันให้ไปเจอกันที่ศูนย์ประชุม (อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟฟ้าไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์แต่ให้คูณสามหรือห้า เพราะใหญ่กว่านั้นมากมาย..อาณาบริเวณประมาณสยามเซ็นเตอร์ยาวไปถึงเซ็นทรัลเวิร์ล..เดี๋ยวไปดูรูปเอา...ถ้าพอเดาได้) ศูนย์ประชุมที่ว่าเทรฟว่าให้ไปที่ CNIT เป็นตึกนึงในบริเวณนั้น เราก็เออๆ ออๆ ไปตามเรื่อง จำแต่สถานีรถไฟเป็นพอ แต่ก่อนจะไปเจอกันตอนบ่าย ช่วงเช้าก็เที่ยว (คนเดียว) ก่อนตามระเบียบ เมื่อวานรายงานให้เทรฟฟังว่า ไม่กล้าเข้าไปกินข้าวกลางวันตามร้านอาหารเพราะมันแพงก็เลยกินแต่เครป เทรฟว่ากินไปเถอะ กินให้มันเป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่ากินขนมไปเรื่อยเปื่อย..ได้คำอนุมัติตามนั้น วันนี้ก็เลยมีเป้าหมายว่าจะหาข้าวกินตามร้านให้เป็นที่เป็นทาง (แปลว่าไม่ใช่คว้าแซนวิชหรือบ่ะเก็ตแล้วถือเดินกินนั่นเอง..เอ่อ..บ่ะเก็ต..ไม่กินค่ะ เบื่อ..)
เช้านี้เป้าหมายอย่างเป็นทางการคือสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางปารีส จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว ที่นี่แหละคือที่ที่เทรฟแนะนำให้มาตั้งแต่ทีแรกแต่เราเดินมั่วไปมั่วมาจนมาไม่ถึง สวนแรกที่เห็นเมื่อวันก่อนเป็นขนาดย่อมๆ อันนี้ใหญ่จริงและการจัดสวนสวยงามกระจ่างใจ..ใครไม่ค่อยได้เห็นสวนสวยที่เขาออกแบบไว้นั่งชิลโดยเฉพาะก็จะกรี๊ดขาดใจ..แต่เอ่อ..ในอังกฤษมันก็พอมีความตื่นเต้นเลยลดไปหน่อย (เก็บรูปมาฝากเยอะเลย ไม่ได้เขียนคำบรรยาย แต่ก็น่าจะเดาได้เนอะ)
เดินเล่นรอบสวนไปเรื่อยเปื่อย พอเมื่อยได้ทีก็หาเก้าอี้นั่งชิลกินแซนวิชรองท้องก่อนไปหาข้าวกินเป็นเรื่องเป็นราวต่อไป
เดินออกจากสวนไปเรื่อยๆ เป้าหมายในใจก็ยังไม่มีเพราะกะเวลาไว้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ต้องนั่งรถไฟไปหาเทรฟแล้ว คงไปไหนไม่ได้ไกลก็เลยเดินเล่นหาร้านอาหารที่ถูกใจกินกลางวันแทน โปรแกรมเย็นนี้เราว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ลูฟท์กัน (รอตั๋วรอบเย็นตอนหกโมงเย็นราคาจะถูกกว่ากันเยอะเลย) เพราะงี้ต้องหาอะไรกินให้อยู่ท้องไว้ก่อนเพราะได้ยินมาว่าลูฟท์กว้างใหญ่ไพศาลเดินวันเดียวไม่มีทางทั่ว
เราเดินวนไปวนมา ร้านนู้นก็ไม่ดี ร้านนี้ก็ไม่่น่าอร่อย ร้านนี้คนเยอะ เข้าใจเอาเองว่าสวนสาธารณะคงอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยอะไรซักแห่งเพราะเห็นเด็กวัยรุ่นเยอะเลย ดูแล้วให้บรรยากาศมหาวิทยาลัย ยิ่งพอเดินไปรอบๆ ดูร้านค้าที่ประกอบไปด้วยร้านเครื่องเขียนและของแฟชั่นก็ยิ่งมั่นใจว่าน่าจะใช่ (เห็นแล้วคิดถึงท่าพระจันทร์ แต่เอ่อ..หรูหรากว่าเยอะเลย) เราเดินหาข้าวกลางวันเอาตอนพักเที่ยงเสียด้วยสิ คนในร้านแซนวิชแน่นชนิดคิวยาวออกนอกประตู เราไม่พิสมัยแซนวิชอยู่แล้วก็เลยไม่แล (แม้ว่าแอบสงสัยว่าร้านนั้นมันต้องอร่อยมากแน่เลย) เดินจนเมื่อยขาก็วนๆไปโผล่เอาซอยเล็กๆ เงียบๆ ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เห็นเชฟยืนเตร่อยู่หน้าร้านเราก็เลยตัดสินใจ..เอาวะ ร้านนี้แหละ ..มันดูเป็นร้านๆ เป็นเรื่องเป็นราว อาหารน่าจะโอเค ไปยืนเมียงๆมองๆ เมนูกระดานดำหน้าร้าน..ไม่ต้องสงสัย อ่านไม่ออกหรอก แต่อยากดูราคามากกว่า ดูเลาๆ เอาวะน่าจะจ่ายไหว (บางอันก็อ่านไม่ออกเพราะเขียนเบียดกันจนไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่) เราถามเชฟว่าร้านเขาเปิดหรือยัง เขาเปิดแล้ว เราก็เลยเดินเข้าไป
เชฟหันมาถามเราว่าจองโต๊ะไว้หรือเปล่า เราว่าเปล่า แล้วโอเคไหมอ่ะ..ถามก่อนเผื่อโต๊ะเต็มจะได้ไม่ถอดแจ๊คเก็ตเก้อ ..เขาส่ายหน้าพยักเพยิดให้เรานั่ง ..ร้านขนาดไม่ใหญ่และไม่ลึกไปกว่าห้องแถวห้องเดียว (ประมาณว่าส่วนที่นั่งขนาดเท่าห้องเล็กๆ ห้องนึงเท่านั้นเอง) โต๊ะขนาดนั่งได้สองคนวางเรียงชิดกันติดข้างฝาด้านละหกตัว เราออกอาการอึดอัดเล็กน้อย เพราะทำตัวไม่ถูกจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวในก็ไม่รู้จะทำยังไง มาถึงบางอ้อ เมื่อเชฟเลื่อนโต๊ะตัวนึงออกมาเปิดทางให้เราสอดตัวเข้าไปนั่ง เราถอดโค้ทออกแล้ววางกระเป๋าถือไว้ข้างๆ ตัว ซึ่งจริงๆมันก็หมายถึงที่นั่งสำหรับโต๊ะถัดไปนั่นเอง เชฟรีบบอกว่ากระเป๋าเราวางไว้บนชั้นด้านหลังได้ (แปลว่าเธออย่ามาวางของให้เกะกะที่นั่งโต๊ะตัวอื่นนะจ๊ะ) เราเกร็งเล็กน้อยเหมือนทำตัวไม่ถูกที่ถูกทาง พอจะเริ่มสั่งอาหาร พนักงานเสริฟสาวน้อยก็เปิดประตูหน้าร้านไปคว้าเมนูกระดานดำมาตั้งตึ้งบนโต๊ะติดๆกันให้เราดู เรารีบบอกว่าเราอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก เธอก็ดีเหลือแสน (ภาษาอังกฤษก็ดีด้วย) แปลให้เราฟังทุกอันเลย ..อย่างว่า กินตามร้านอาหารก็สั่งเซ็ท มีสตาร์ทเตอร์ (Starter) อาหารจานหลัก(Main course) และของหวาน(Dessert/Pudding) ก็ไม่จำเป็นต้องกินทุกอย่างหรอกนะ เลือกเอาตามแต่หิวมากน้อย เราตั้งใจจะลองกินอาหารที่นี่เป็นหลักก็เลยเลือกสั่งสตาร์ทเตอร์กับอาหารจานหลัก สาวน้อยเจื้อยแจ้วว่าวันนี้มีอาหารพิเศษเป็นเนื้อนกยูงจะลองทานไหม (มันไม่อยู่บนบอร์ด) เราก็ว่าเอาก็ได้ แล้วเราก็สั่งซุปเนื้อกระต่ายหรืออะไรซักอย่างจำไม่ได้แล้วเป็นสตาร์ทเตอร์กับเนื้อนกยูงมาเป็นอาหารจานหลัก..ส่วนเครื่องดื่ม..อ่ะนะมาถึงปารีสเมื่อแห่งอาหาร (นอกเหนือไปจากแฟชั่น) เขาก็ต้องดื่มไวน์ พอเราบอกเราอยากได้น้ำเปล่าก็พอทำเอาทั้งพ่อเชฟและสาวเสิร์ฟทำหน้างง (ก็หนูไม่ดื่มอย่ามาบังคับนะ) อีกแป๊บซุปก็มาเสริฟ (ดูรูปที่ถ่ายพร้อมกับตะกร้าขนมปังนะ) อืม..รสชาติแปลกๆ เอาวะ สั่งมาแล้วก็ต้องกิน เรากล้ำกลืนกินซุปที่ไม่เหมือนอย่างที่คิดไปจนเกือบหมด ระหว่างนั้นก็มีลูกค้าเริ่มทะยอยเข้ามา อืม..ท่าทางลูกค้าจะเยอะเหมือนกันแฮะ อย่างนี้เขาต้องทำอาหารอร่อยแน่เลย นั่งเหม่อดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยจนสะดุดตาเอากับสติ๊กเกอร์วงกลมสีแดงที่ติดอยู่ที่ประตูร้าน อ่านจากภาพสะท้อนได้ใจความว่า "Michelin Guide 2010" แปลว่าร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารแนะนำของมิชิลิน..ตายๆๆๆ เราตาโตหันรีหันขวางเอ่อ..ยกเลิกอาหารที่สั่งไปจะทันไหม..จะมีตังค์จ่ายไหมเนี่ย..ร้านอาหารที่ตรามิชิลิน..ตรานี้ก็ประมาณแม่ช้อยนางรำ หรือห้าดาวของหมึกแดง แต่ว่าอินเตอร์เป็นสากลกว่ากันเยอะ พูดง่ายๆว่าเชฟไหนๆก็พยายามสุดฝีมือให้ตนได้ตรามิชิลินมาประดับเพื่อการันตีทั้งคุณภาพ ชื่อเสียง และอาจรวมถึงราคาที่ไม่ธรรมดา.แฮ่..แพงเกินธรรมดา..
แล้วเนื้อนกยูงก็มาเสิร์ฟ..เอ่อ..ไหงหน้าตามันเหมือนต้มจับฉ่ายที่บ้านฉันล่ะเนี่ย เอาวะมันต้องมีอะไรพิเศษล่ะ..โอ้วววแม่เจ้า กินสตูว์จานนี้แล้วรู้เลยว่าคนทำเคี่ยวมันไว้หลายชั่วโมงอยู่ (เดาว่าเนื้อนกยูงคงไม่นุ่มละมุนเหมือนเนื้อไก่) เพราะเนื้อเปื่อยแต่ผักที่ปรุงด้วยไม่เละ แสดงว่าต้องกะเวลาใส่ผักเป็นอย่างดี รสชาติเข้าหอมเครื่องเทศสารพัด เรียกว่าทั้งกลิ่นทั้งรสหอมขึ้นจมูก..เอาวะ แพงเท่าไหร่ก็ต้องยอมจ่ายล่ะ ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้กิน (และจะกล้ากิน)ร้านอาหารที่มีตรามิชิลิน (นี่ถ้าเห็นก่อนก็ต้องสองจิตสองใจว่าจะเข้าดีไหมอยู่ดี เพราะใจก็อยากลอง แต่ก็รู้ว่ามันคงแพงเหลือใจ)..แล้วในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็ทำลายสถิติราคาอาหารทุกมื้อที่ผ่านมา เพราะอาหารจานหลักจานเดียวราคา 22 ยูโร (ราวพันกว่าบาท) ชาตินี้เกิดมายังไม่เคยกินอาหารจานเดียวอะไรแพงขนาดนี้..เอาวะถือเป็นประสบการณ์ขั้นสุดยอด (มิน่าคนมากินถึงต้องโทรจอง)
และแล้ว..เราก็เล่าทริปปารีสไม่จบจนได้ ต้องไปทำงานแล้ว..ไว้เก็บมาเล่าต่อนะ เรื่องต่อจากนี้ไม่มีอะไรมาก มีแต่เที่ยว กับเที่ยว และเที่ยว แล้วจะส่งรูปไปให้ดูละกัน ไปล่ะ