ประเพณีกินผักของจังหวัดภูเก็ตชาวบ้านมักจะเรียนว่า "เจี๊ยะฉ่าย" ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น โดยจะจัดในวันที่ ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือนเก้า ของทุกปี (ตามปฏิทินจันทรคติจีน)
สมัยก่อนนั้น มีคณะงิ้วมาจากเมืองจีน มาแสดงที่บ้านในทูได้ระยะหนึ่ง ชาวบ้านก็ได้เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นจำนวนมาก โดยทางคณะเห็นว่า พวกเขาไม่ได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายอย่างในเมืองจีน ทำให้ต้องมีการจัดพิธีเจี๊ยะฉ่ายเล็กๆ ในโรงงิ้ว โดยได้ขอขมาเทพเจ้าและระลึกถึงองค์กิ้วอ๋องไต่เต่ เพราะว่าเวลาของพิธีจะใกล้ขึ้นมาแล้ว ประกอบกับไม่มีทุนทรัพย์ในการลงเรือสำเภาและไม่มีผู้ชำนาญการในการประกอบพิธีนั่นเอง
คณะงิ้วในทูยังกล่าวว่า การนำเทพเจ้ามาสักการะเพื่อปกป้องตนเอง ครอบครัว และท้องถิ่น ถ้าจะให้ดีก็ถือศีลกินผักไปด้วย โดยอาจเป็นกี่วันก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องกินให้ครบเก้าวัน (ในปัจจุบันมักจะกินเป็นเวลา ๗ วันหลังเป็นส่วนใหญ่)
ในเวลาต่อมา ผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ลดลงไปมาก ผู้ที่ทำแร่ตามดงตามป่ามีความเลื่อมใสมากขึ้น และก่อนที่คณะงิ้วจะแสดงที่อื่น ได้มอบกิ้มชิ้น (องค์พระ), เตี่ยนฮู้ง่วนโส่ย และส่ามฮู้อ๋องกับส่ามไท้จื่อ และให้คำแนะนำการทำพิธีแบบย่อๆ ไปด้วย
ในการทำพิธีแบบย่อๆ มีชายคนหนึ่งไม่ทราบชื่อ ได้เห็นการทำพิธีอย่างไม่ถูกต้องตามแบบฉบับในมณฑลกังไส (ปัจจุบันคือ เจียงซี้) จึงอาสาที่จะนำพิธีที่ถูกต้องจากมณฑลกังไสมาสู่บ้านในทู ผู้คนทั้งหลายจึงยินดีที่จะสละทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปและกลับ
สามปีผ่านไป เขาก็ได้กลับมายัง ณ หัวท่าบางเหลี่ยว (บางเหนียว) พร้อมเชี้ยวเฮี้ยวเอี้ยน (ผงธูป) มาด้วยแล้ว โดยมีเฮี้ยวโห้ย (ธูปไฟ) โดยปักไว้ในเฮี้ยวเอี๋ยน (กระถางธูป) ตลอดทางมิได้ดับ และได้นำแก้ง (หมายถึง บทสวดมนต์ คัมภีร์ ตำราต่างๆ พร้อมกับป้ายเต้าโบ้เก้ง [เต้าโบ้เก้ง แปลว่า ตำหนักสวรรค์]) เข้ามาด้วย
ปัจจุบันพิธีเจี๊ยะฉ่ายของชาวภูเก็ต ได้สืบทอดเป็นเวลามากกว่าสองร้อยปีและยังคงปรากฎจวบจนปัจจุบันนี้