14Apr2010 Happy family day of Thailand?
9.25 am @ flat
วันพุธที่ 14 เมษายน 2010
ตั้งต้นเขียนอีเมล์ตั้งแต่เมื่อวานแต่เขียนไม่จบก็เลยต้องเปลี่ยนหัวข้อใหม่จากวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว แหะ แหะ
เทรฟยังคงทำตัวเข้ากับเทศกาล (แม้จะไม่เข้ากับประเพณีนิยมบ้านเรา) นั่นก็คือการให้การ์ด..วันสงกรานต์..อ่ะนะ ก็วัฒนธรรมที่นี่ส่งการ์ดกันได้ทุกเทศกาล เราเลยออกแนวขำๆ ตอนขอบคุณเขาที่ให้การ์ดเรา บอกเขาว่าคนไทยเขาส่งการ์ดกันหรอก..เขาสาดน้ำกันจ๊ะ..ว่าแล้ว..ก็เอาซะหน่อย..ฮ่าฮ่า..
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้เริ่มเห็นแวววุ่นในชีวิต เพราะสองคนกำลังเตรียมตัวย้ายบ้านกันอย่าง(เกือบ)เป็นทางการ เหตุมีอยู่ว่า หลังจากที่เราได้ผ่านกระบวนมากมาย (มาบางส่วน)แล้วนั้น ขั้นตอนต่อไปก็คือการแลกเปลี่ยนสัญญา(ซื้อขาย) (Exchange Contract) ซึ่งขบวนการนี้ ณ ตอนนี้เราให้ทนายจัดการให้ (ซึ่งสองคนได้บทเรียนว่าซื้อบ้านครั้งหน้าจะทำกันเองแล้ว) กล่าวคือ หลังจากเราตกลงเรื่องราคาได้แล้ว, สินเชื่อบ้านผ่านแล้ว, ทำการสำรวจสภาพบ้านเสร็จแล้ว ต่อไปก็คือรายละเอียดเอกสารทั้งปวง ซึ่งตรงนี้แหละที่ทนายส่งหนังสือมาให้เราสองคนเซ็น ประมาณว่ามอบอำนาจให้เขาไปจัดการนั่นเอง เวลาผ่านไปกว่าสองเดือน เรื่องไม่คืบหน้า เทรฟเพียรเขียนอีเมล์ไปถามไถ่ (จริงๆ อยากจะด่าเหมือนกัน แต่เกรงใจ) ได้ความตามอีเมล์ตอบกลับจากทนายว่า เขากำลังรอข้อมูลอีกสองสามประเด็นจากฝั่งคนขาย (และทนายของเขา) ได้ความครบเป็นที่น่าพอใจเมื่อไหร่ก็จะดำเนินการขั้นต่อไปทันที
อาทิตย์ก่อนเทรฟได้รับอีเมล์ดังว่า..บอกว่าตอนนี้ข้าเจ้า(ทนายของท่าน)ได้ข้อมูลทุกอย่างจนเป็นที่สิ้นสงสัยแล้ว พร้อมดำเนินการขั้นต่อไป ขอให้ท่าน (ว่าที่เจ้าของบ้านคนต่อไป) โอนเงินค่ามัดจำบ้านมาด่วนเป็นจำนวน..ฯลฯ..ก็ว่ากันไป คือว่า การซื้อบ้านที่นี่พอเรื่องเอกสารเสร็จเราต้องโอนเงินมัดจำ 10% ไปให้ทนายเราเพื่อให้เขาโอนให้ทนายฝั่งนู้น(หรือผู้ขายบ้านก็แล้วแต่) จากนั้นจึงจะทำการแลกเปลี่ยนสัญญา (Exchange Contract) แล้วก็จะทำการนัดวันสิ้นสุดการซื้อขาย (Completion date) ซึ่งหมายถึงวันที่เราต้องโอนเงินส่วนที่เหลือ (ของเงินดาวน์หรือเงินงวดแรกตามจำนวนที่ตกลงไว้) พร้อมกับไปรับกุญแจบ้าน แล้วจึงจะถือว่าการซื้อขายสิ้นสุดลง เราได้เป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมาย..เฮ้อ.. แต่ยัง.. ณ ตอนนี้เรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น และรายละเอียดความหฤหรรษ์ที่เกิดขึ้นเป็นยังไง..เรากำลังจะเล่าให้ฟังนี่แหละ..
หลังจากที่เราโอนเงินมัดจำไปแล้ว (ซึ่งการโอนเงินก็ต้องมานั่งคิดอีกว่า โอนด้วยวิธีการไหนถึงจะถึงมือทนายเร็วสุดด้วยต้นทุนที่ถูกที่สุด..เพราะเขาไม่รับจ่ายเช็คหรือเงินสด..เฮ้อ) เทรฟกำลังกังวลวุ่นวายใจว่าเงินจะโอนถึงมือทนายวันไหนแล้วจะนัดวัน Completion date ได้วันไหน เพราะมันจะโยงมาถึงเรื่องบอกเลิกเช่าแฟลตที่อยู่ตอนนี้ด้วย (ต้องบอกล่วงหน้า 30 วัน) เราถามเทรฟว่าไอ้ Exchange Contract เนี่ยมันต้องทำยังไงเหรอ? แปลว่าเทรฟต้องขับรถไปหาทนายแล้วไปเซ็นสัญญาอะไรงี้เปล่า? เทรฟว่า เปล่า ทุกอย่างทนายเป็นคนทำ เราไม่ต้องเซ็นอะไรแล้ว เพราะเราเซ็นมอบอำนาจให้เขาทำไปแล้ว ..เราก็งง ไรฟะ? ซื้อบ้านทั้งหลังเราจะไม่เห็นสัญญาซื้อขายบ้านกันซักหน่อยเหรอ พอฟังแล้วก็รู้สึกตะหงิดๆ ก็เลยซักเทรฟเป็นการใหญ่ว่าจริงๆ แล้วทนายมันกำลังทำอะไรอยู่ เทรฟก็ร่ายให้ฟังดังนี้
ทนายรอข้อมูลรายละเอียดสามประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง ที่ดินผืนนี้เป็นที่โบสถ์ (ภาษาบ้านเราก็ ที่วัดอ่ะเนอะ) เดิม ซึ่งในข้อตกลงการใช้ที่ดิน ใครก็ตามที่มีบ้านอยู่ในบริเวณนี้จะต้องจ่ายเงินบริจาคให้โบสถ์เมื่อมีการร้องขอ (เอ่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นสมัยก่อนที่เราจะเกิดอีกอ่ะ..แต่มันยังคงมีเอกสารยืนยันให้เห็น) ทนายก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่า ถ้าไม่อยากมีปัญหากับค่าใช้จ่ายส่วนนี้..สนใจจะซื้อประกันไหมจ๊ะ??
ประเด็นที่สอง ที่ดินผืนนี้เจ้าของเดิม (สมมุติให้ชื่อปู่วิลเลี่ยม) ได้ทำการขายให้ (สมมุติ) ป้าจูเลียและช่างปีเตอร์เป็นคนปลูกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนี้ พร้อมระบุว่าห้ามก่อสร้างบ้านเรือนกระจก (Conservatory) แล้วปรากฏว่ามันมีไอ้ Conservatory นี่อยู่หน่อยนึงตรงหลังบ้าน ทนายก็เลยไปบี้เอากับคนขายบ้านว่า เนี่ยบ้านมันปลูกสร้างผิดเจตนารมย์เจ้าของที่ดิน แล้วมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของที่ดินเดิมอ๊ะเปล่า (หนังสือสัญญาดังว่ามีขึ้นเมื่อปี 1963) ซึ่งปรากฏว่าเจ้าของบ้านบอกว่าหาเอกสารที่ว่าไม่เจอ เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดที่ลูกหลานปู่วิลเลี่ยมตามมาตรวจเจอ เราก็ต้องจ่ายค่าเสียหายหรือดำเนินการทางศาลหรือทุบ Conservatory ทิ้งไป..เพื่อประกันความเสี่ยงดังกล่าว..สนใจจะซื้อประกันไหมจ๊ะ??
ประเด็นที่สาม ระบบท่อน้ำทิ้งของบ้านที่เรากำลังจะซื้อมีการเชื่อมต่อกับระบบท่อหลัก ซึ่งมีการเดินท่อผ่านที่ดินคนอื่น (แทนที่จะเดินท่อตามถนนซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ) ฉะนั้นถ้าวันดีคืนดีเจ้าของที่ดินดังกล่าวเขาจะหยิบยกขึ้นมาฟ้องร้อง เราก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการศาล (และอีกเช่นเคย)..เพื่อประกันความเสี่ยงดังว่า..สนใจจะซื้อประกันไหมจ๊ะ??
ฟังสามประเด็นดังว่าแล้วก็เง็งสุดๆ
เง็งว่ามันมีประกันบ้าบออะไรพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย?? (เทรฟหงุดหงิดบ่นว่าไอ้ทนายมันก็หาเรื่องขายประกันเพิ่มยอดธุรกิจให้บริษัทตัวเองน่ะสิ) ..ซึ่งมันก็มีอ่ะนะ..อย่างที่เห็นๆ อยู่ ประเด็นก็คือเขามองว่าเรื่องความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่ แม้ว่ามันจะน้อยมากเต็มที เพราะการที่วัด(โบสถ์)จะตามมาเก็บเงินบริจาค..เรามองว่าเขามาเมื่อไหร่ก็จ่ายไป ไม่เห็นต้องไปซื้อประกันให้วุ่นวาย สองเรื่องลูกหลานคุณปู่..ถ้าเขาขยันจะมาเดินตรวจเราก็ไม่ว่าอะไร อีกอย่างบ้านในที่ดินบริเวณเดียวกันนี้ก็ไม่ได้มีหลังเดียว ถ้าจะโดนก็โดนตามๆกันไป..แต่ยังไงซะทนายตัวดีก็ไปบี้ซะจนฝั่งผู้ขายต้องยอมซื้อประกันตัวนี้ให้เรา ซึ่งเป็นประกันแบบจ่ายครั้งเดียวครอบคลุมยาว 25 ปี พูดง่ายๆ ว่าหากเกิดลูกหลานปู่มาวุ่นวาย ประกันตัวนี้จะรับหน้าที่จ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด (ก็อย่างว่าอ่ะนะ บ้านนี้เมืองนี้ขึ้นศาลกันเป็นว่าเล่น ค่าดำเนินการศาล ค่าทนายก็ใช่ถูกๆ เพราะงี้ระบบประกันเลยมีบทบาทขึ้นมา)
สาม เรื่องระบบท่อ เรื่องนี้เราไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เพราะบ้านหลังนี้ปลูกสร้างมาหลายสิบปี แล้วเราก็เชื่อว่าเจ้าของบ้านเดิมที่ตายลงเขาก็อยู่มานานโขอยู่ ถ้ามันจะมามีปัญหามันก็มีไปนานแล้ว แต่ยังไงซะ..ทนายก็ไปจัดการให้คนขายบ้านซื้อประกันตัวนี้จนได้..เฮ้อ..เอากะมันสิ
ฟังดูเผินๆ เหมือนทนายทำหน้าที่แสนดี คอยบี้คนขายบ้านแทนเรา ประมาณว่าถ้าไม่ซื้อประกันก็ต้องลดราคาขายบ้าน..ฟังดูน่าจะดีใช่มะ..แล้วทำไมเทรฟโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ..ก็เพราะว่า..
การกระทำดังกล่าวเทรฟบอกว่า..ผมไม่ได้บอกให้เขาไปทำนะ เราไม่ต้องการต่อรองเรื่องราคาขายใดๆ ทั้งสิ้น เราพร้อมจะซื้อบ้านในราคาที่ตกลง แล้วประเด็นหยุมหยิมพวกนั้นผมก็ไม่สนใจ เพราะถ้าเกิดทนายไปบี้เขามากๆ แล้วเขาตกลงไม่ขายบ้านให้เราจะว่าไง!!!..ครับ ฟังถูกต้องแล้วครับ..กระบวนการซื้อขายบ้านที่นี่ ตราบใดที่ยังไม่ถึงวัน Completion date อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น พูดง่ายๆ ว่าฝั่งใดฝั่งหนึ่งสามารถที่จะยกเลิกการซื้อขายได้ทุกเมื่อ ซึ่งในกรณีแบบนี้ถ้าฝั่งคนขายไม่ขายบ้านให้เรา ก็เท่ากับว่ากระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมาสูญเปล่า เราต้องเสียเงินเสียเวลาเริ่มต้นใหม่ ตั้งแต่ไปดูบ้าน ต่อรองราคา ติดต่อขอกู้แบงค์ ฯลฯ ซึ่งทุกขัั้นที่ผ่านมาล้วนมีค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายมากมาย ที่น่าเจ็บปวดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์หรือไม่เราก็ต้องจ่ายค่าทนายอยู่ดีครับท่าน..เพราะงี้ไงเทรฟถึงโกรธทนายหัวฟัดหัวเหวี่ยง...
ที่นี้นอกจากประเด็นที่ว่ามาแล้วนั้น เราก็เกิดสงสัยในประเด็นหลักเรื่อง Conservatory ว่า อ้าว..ถ้ามันผิดเจตนารมย์ของเจ้าคุณปู่แล้วงี้เราจะทำอะไรกับมันได้มั่งเนี่ย (เพราะเรามีแผนจะปรับปรุงบ้านไม่วันใดก็วันหนึ่ง) เรารู้ว่าการจะปรับปรุงบ้านจะต้องขออนุญาตสองระบบนั่นคือ Planning permission เป็นการขออนุญาตในเรื่องของพื้นที่ของส่วนต่อเติมและวัตถุประสงค์การใช้งานของส่วนต่อเติม (เอ่อ..นี่ตามความเข้าใจเบื้องต้นของเรานะ) และส่วนที่สองคือ Building Regulation หมายถึงการขออนุญาตในส่วนรายละเอียดของส่วนที่ต่อเติม เช่น วัสดุที่ใช้ ระบบความกันความร้อน ความเย็น ระบบน้ำทิ้ง ทางหนีไฟ เป็นต้น ซึ่งถ้าส่วนที่เรากำลังจะต่อเติมเนี่ยมันผ่านกฎหมายทั้งสองตัว แล้วแบบนี้จะถือว่าการต่อเติมนี้ผิดต่อสัญญาที่ให้ไว้กับคุณปู่อ๊ะเปล่า ...พูดง่ายๆ ด้วยภาษายากๆ ก็คือว่า ศักดิ์ของกฎหมายในที่นี้ระหว่างเจตนารมย์ของเจ้าของที่ดินเดิมกับคำอนุมัติตามกฎหมายปัจจุบัน อันไหนมีศักดิ์หรืออำนาจเหนือกว่ากัน..
..ซึ่งเทรฟได้คำตอบจากทนายว่า..ไม่ว่ายังไงเจตนารมย์ของเจ้าของที่ดินก็สำคัญกว่า.. (วู้..มิน่า พินัยกรรมที่นี่ถึงมีความหมายมากมายนัก..เทรฟอย่าลืมแก้พินัยกรรมยกทรัพย์สินให้โปร่งก่อนตายนะ อิอิ) ฉะนั้นประกันตัวที่คนขายบ้านเขายอมจ่ายให้เรานั้นจะทำหน้าที่ "บรรเทา" ความเดือดร้อนที่อาจจะเกิดในอนาคตให้เรา ซึ่งด้วยระยะเวลาที่ครอบคลุม 25 ปีนี้ หากเรามีการขายบ้านต่อให้คนอื่น เราก็แค่เปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันเป็นเจ้าของบ้านใหม่.. แต่ยังไงก็ตาม เทรฟมองว่าความเสี่ยงเรื่องนี้ต่ำมากๆ เราไม่ควรจะกังวล เรื่องจะต่อเติมอะไร เราสองคนก็ไม่ได้วางแผนทำอะไรใหญ่โตอยู่แล้ว เพราะงี้ทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปตามแผนเดิม..
..เฮ้อ..เอาวะ..ฟังแล้วก็พอเข้าใจ แม้จะดูแหม่งๆ เพราะความไม่คุ้นเคย แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าทนายเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุด ซึ่งเราก็หวังว่าเรื่องจะดำเนินการผ่านไปได้ดี การซื้อขายสิ้นสุดตามวันที่ตั้งใจไว้..
..ความวุ่นวายยังไม่หมดเพียงแค่นี้..ยังมีภาคต่อที่ต้องจัดการเกี่ยวกับแฟลตที่กำลังจะย้ายออกอีก..วันนี้เหนื่อยแล้ว คงพอแค่นี้ก่อน แล้วจะกลับมาเล่าให้ชวนปวดหัวใหม่นะ ไปล่ะ...
สุขสันต์วันหยุดยาวนะจ๊ะ พี่น้องชาวไทย