ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 27, 2010 11:38 pm

14Apr2010 Happy family day of Thailand?

9.25 am @ flat
วันพุธที่ 14 เมษายน 2010


ตั้งต้นเขียนอีเมล์ตั้งแต่เมื่อวานแต่เขียนไม่จบก็เลยต้องเปลี่ยนหัวข้อใหม่จากวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว แหะ แหะ


เทรฟยังคงทำตัวเข้ากับเทศกาล (แม้จะไม่เข้ากับประเพณีนิยมบ้านเรา) นั่นก็คือการให้การ์ด..วันสงกรานต์..อ่ะนะ ก็วัฒนธรรมที่นี่ส่งการ์ดกันได้ทุกเทศกาล เราเลยออกแนวขำๆ ตอนขอบคุณเขาที่ให้การ์ดเรา บอกเขาว่าคนไทยเขาส่งการ์ดกันหรอก..เขาสาดน้ำกันจ๊ะ..ว่าแล้ว..ก็เอาซะหน่อย..ฮ่าฮ่า..


ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้เริ่มเห็นแวววุ่นในชีวิต เพราะสองคนกำลังเตรียมตัวย้ายบ้านกันอย่าง(เกือบ)เป็นทางการ เหตุมีอยู่ว่า หลังจากที่เราได้ผ่านกระบวนมากมาย (มาบางส่วน)แล้วนั้น ขั้นตอนต่อไปก็คือการแลกเปลี่ยนสัญญา(ซื้อขาย) (Exchange Contract) ซึ่งขบวนการนี้ ณ ตอนนี้เราให้ทนายจัดการให้ (ซึ่งสองคนได้บทเรียนว่าซื้อบ้านครั้งหน้าจะทำกันเองแล้ว) กล่าวคือ หลังจากเราตกลงเรื่องราคาได้แล้ว, สินเชื่อบ้านผ่านแล้ว, ทำการสำรวจสภาพบ้านเสร็จแล้ว ต่อไปก็คือรายละเอียดเอกสารทั้งปวง ซึ่งตรงนี้แหละที่ทนายส่งหนังสือมาให้เราสองคนเซ็น ประมาณว่ามอบอำนาจให้เขาไปจัดการนั่นเอง เวลาผ่านไปกว่าสองเดือน เรื่องไม่คืบหน้า เทรฟเพียรเขียนอีเมล์ไปถามไถ่ (จริงๆ อยากจะด่าเหมือนกัน แต่เกรงใจ) ได้ความตามอีเมล์ตอบกลับจากทนายว่า เขากำลังรอข้อมูลอีกสองสามประเด็นจากฝั่งคนขาย (และทนายของเขา) ได้ความครบเป็นที่น่าพอใจเมื่อไหร่ก็จะดำเนินการขั้นต่อไปทันที


อาทิตย์ก่อนเทรฟได้รับอีเมล์ดังว่า..บอกว่าตอนนี้ข้าเจ้า(ทนายของท่าน)ได้ข้อมูลทุกอย่างจนเป็นที่สิ้นสงสัยแล้ว พร้อมดำเนินการขั้นต่อไป ขอให้ท่าน (ว่าที่เจ้าของบ้านคนต่อไป) โอนเงินค่ามัดจำบ้านมาด่วนเป็นจำนวน..ฯลฯ..ก็ว่ากันไป คือว่า การซื้อบ้านที่นี่พอเรื่องเอกสารเสร็จเราต้องโอนเงินมัดจำ 10% ไปให้ทนายเราเพื่อให้เขาโอนให้ทนายฝั่งนู้น(หรือผู้ขายบ้านก็แล้วแต่) จากนั้นจึงจะทำการแลกเปลี่ยนสัญญา (Exchange Contract) แล้วก็จะทำการนัดวันสิ้นสุดการซื้อขาย (Completion date) ซึ่งหมายถึงวันที่เราต้องโอนเงินส่วนที่เหลือ (ของเงินดาวน์หรือเงินงวดแรกตามจำนวนที่ตกลงไว้) พร้อมกับไปรับกุญแจบ้าน แล้วจึงจะถือว่าการซื้อขายสิ้นสุดลง เราได้เป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมาย..เฮ้อ.. แต่ยัง.. ณ ตอนนี้เรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น และรายละเอียดความหฤหรรษ์ที่เกิดขึ้นเป็นยังไง..เรากำลังจะเล่าให้ฟังนี่แหละ..


หลังจากที่เราโอนเงินมัดจำไปแล้ว (ซึ่งการโอนเงินก็ต้องมานั่งคิดอีกว่า โอนด้วยวิธีการไหนถึงจะถึงมือทนายเร็วสุดด้วยต้นทุนที่ถูกที่สุด..เพราะเขาไม่รับจ่ายเช็คหรือเงินสด..เฮ้อ) เทรฟกำลังกังวลวุ่นวายใจว่าเงินจะโอนถึงมือทนายวันไหนแล้วจะนัดวัน Completion date ได้วันไหน เพราะมันจะโยงมาถึงเรื่องบอกเลิกเช่าแฟลตที่อยู่ตอนนี้ด้วย (ต้องบอกล่วงหน้า 30 วัน) เราถามเทรฟว่าไอ้ Exchange Contract เนี่ยมันต้องทำยังไงเหรอ? แปลว่าเทรฟต้องขับรถไปหาทนายแล้วไปเซ็นสัญญาอะไรงี้เปล่า? เทรฟว่า เปล่า ทุกอย่างทนายเป็นคนทำ เราไม่ต้องเซ็นอะไรแล้ว เพราะเราเซ็นมอบอำนาจให้เขาทำไปแล้ว ..เราก็งง ไรฟะ? ซื้อบ้านทั้งหลังเราจะไม่เห็นสัญญาซื้อขายบ้านกันซักหน่อยเหรอ พอฟังแล้วก็รู้สึกตะหงิดๆ ก็เลยซักเทรฟเป็นการใหญ่ว่าจริงๆ แล้วทนายมันกำลังทำอะไรอยู่ เทรฟก็ร่ายให้ฟังดังนี้


ทนายรอข้อมูลรายละเอียดสามประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง ที่ดินผืนนี้เป็นที่โบสถ์ (ภาษาบ้านเราก็ ที่วัดอ่ะเนอะ) เดิม ซึ่งในข้อตกลงการใช้ที่ดิน ใครก็ตามที่มีบ้านอยู่ในบริเวณนี้จะต้องจ่ายเงินบริจาคให้โบสถ์เมื่อมีการร้องขอ (เอ่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นสมัยก่อนที่เราจะเกิดอีกอ่ะ..แต่มันยังคงมีเอกสารยืนยันให้เห็น) ทนายก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่า ถ้าไม่อยากมีปัญหากับค่าใช้จ่ายส่วนนี้..สนใจจะซื้อประกันไหมจ๊ะ??


ประเด็นที่สอง ที่ดินผืนนี้เจ้าของเดิม (สมมุติให้ชื่อปู่วิลเลี่ยม) ได้ทำการขายให้ (สมมุติ) ป้าจูเลียและช่างปีเตอร์เป็นคนปลูกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนี้ พร้อมระบุว่าห้ามก่อสร้างบ้านเรือนกระจก (Conservatory) แล้วปรากฏว่ามันมีไอ้ Conservatory นี่อยู่หน่อยนึงตรงหลังบ้าน ทนายก็เลยไปบี้เอากับคนขายบ้านว่า เนี่ยบ้านมันปลูกสร้างผิดเจตนารมย์เจ้าของที่ดิน แล้วมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของที่ดินเดิมอ๊ะเปล่า (หนังสือสัญญาดังว่ามีขึ้นเมื่อปี 1963) ซึ่งปรากฏว่าเจ้าของบ้านบอกว่าหาเอกสารที่ว่าไม่เจอ เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดที่ลูกหลานปู่วิลเลี่ยมตามมาตรวจเจอ เราก็ต้องจ่ายค่าเสียหายหรือดำเนินการทางศาลหรือทุบ Conservatory ทิ้งไป..เพื่อประกันความเสี่ยงดังกล่าว..สนใจจะซื้อประกันไหมจ๊ะ??


ประเด็นที่สาม ระบบท่อน้ำทิ้งของบ้านที่เรากำลังจะซื้อมีการเชื่อมต่อกับระบบท่อหลัก ซึ่งมีการเดินท่อผ่านที่ดินคนอื่น (แทนที่จะเดินท่อตามถนนซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ) ฉะนั้นถ้าวันดีคืนดีเจ้าของที่ดินดังกล่าวเขาจะหยิบยกขึ้นมาฟ้องร้อง เราก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการศาล (และอีกเช่นเคย)..เพื่อประกันความเสี่ยงดังว่า..สนใจจะซื้อประกันไหมจ๊ะ??


ฟังสามประเด็นดังว่าแล้วก็เง็งสุดๆ
เง็งว่ามันมีประกันบ้าบออะไรพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย?? (เทรฟหงุดหงิดบ่นว่าไอ้ทนายมันก็หาเรื่องขายประกันเพิ่มยอดธุรกิจให้บริษัทตัวเองน่ะสิ) ..ซึ่งมันก็มีอ่ะนะ..อย่างที่เห็นๆ อยู่ ประเด็นก็คือเขามองว่าเรื่องความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่ แม้ว่ามันจะน้อยมากเต็มที เพราะการที่วัด(โบสถ์)จะตามมาเก็บเงินบริจาค..เรามองว่าเขามาเมื่อไหร่ก็จ่ายไป ไม่เห็นต้องไปซื้อประกันให้วุ่นวาย สองเรื่องลูกหลานคุณปู่..ถ้าเขาขยันจะมาเดินตรวจเราก็ไม่ว่าอะไร อีกอย่างบ้านในที่ดินบริเวณเดียวกันนี้ก็ไม่ได้มีหลังเดียว ถ้าจะโดนก็โดนตามๆกันไป..แต่ยังไงซะทนายตัวดีก็ไปบี้ซะจนฝั่งผู้ขายต้องยอมซื้อประกันตัวนี้ให้เรา ซึ่งเป็นประกันแบบจ่ายครั้งเดียวครอบคลุมยาว 25 ปี พูดง่ายๆ ว่าหากเกิดลูกหลานปู่มาวุ่นวาย ประกันตัวนี้จะรับหน้าที่จ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด (ก็อย่างว่าอ่ะนะ บ้านนี้เมืองนี้ขึ้นศาลกันเป็นว่าเล่น ค่าดำเนินการศาล ค่าทนายก็ใช่ถูกๆ เพราะงี้ระบบประกันเลยมีบทบาทขึ้นมา)


สาม เรื่องระบบท่อ เรื่องนี้เราไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เพราะบ้านหลังนี้ปลูกสร้างมาหลายสิบปี แล้วเราก็เชื่อว่าเจ้าของบ้านเดิมที่ตายลงเขาก็อยู่มานานโขอยู่ ถ้ามันจะมามีปัญหามันก็มีไปนานแล้ว แต่ยังไงซะ..ทนายก็ไปจัดการให้คนขายบ้านซื้อประกันตัวนี้จนได้..เฮ้อ..เอากะมันสิ

ฟังดูเผินๆ เหมือนทนายทำหน้าที่แสนดี คอยบี้คนขายบ้านแทนเรา ประมาณว่าถ้าไม่ซื้อประกันก็ต้องลดราคาขายบ้าน..ฟังดูน่าจะดีใช่มะ..แล้วทำไมเทรฟโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ..ก็เพราะว่า..
การกระทำดังกล่าวเทรฟบอกว่า..ผมไม่ได้บอกให้เขาไปทำนะ เราไม่ต้องการต่อรองเรื่องราคาขายใดๆ ทั้งสิ้น เราพร้อมจะซื้อบ้านในราคาที่ตกลง แล้วประเด็นหยุมหยิมพวกนั้นผมก็ไม่สนใจ เพราะถ้าเกิดทนายไปบี้เขามากๆ แล้วเขาตกลงไม่ขายบ้านให้เราจะว่าไง!!!..ครับ ฟังถูกต้องแล้วครับ..กระบวนการซื้อขายบ้านที่นี่ ตราบใดที่ยังไม่ถึงวัน Completion date อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น พูดง่ายๆ ว่าฝั่งใดฝั่งหนึ่งสามารถที่จะยกเลิกการซื้อขายได้ทุกเมื่อ ซึ่งในกรณีแบบนี้ถ้าฝั่งคนขายไม่ขายบ้านให้เรา ก็เท่ากับว่ากระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมาสูญเปล่า เราต้องเสียเงินเสียเวลาเริ่มต้นใหม่ ตั้งแต่ไปดูบ้าน ต่อรองราคา ติดต่อขอกู้แบงค์ ฯลฯ ซึ่งทุกขัั้นที่ผ่านมาล้วนมีค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายมากมาย ที่น่าเจ็บปวดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์หรือไม่เราก็ต้องจ่ายค่าทนายอยู่ดีครับท่าน..เพราะงี้ไงเทรฟถึงโกรธทนายหัวฟัดหัวเหวี่ยง...


ที่นี้นอกจากประเด็นที่ว่ามาแล้วนั้น เราก็เกิดสงสัยในประเด็นหลักเรื่อง Conservatory ว่า อ้าว..ถ้ามันผิดเจตนารมย์ของเจ้าคุณปู่แล้วงี้เราจะทำอะไรกับมันได้มั่งเนี่ย (เพราะเรามีแผนจะปรับปรุงบ้านไม่วันใดก็วันหนึ่ง) เรารู้ว่าการจะปรับปรุงบ้านจะต้องขออนุญาตสองระบบนั่นคือ Planning permission เป็นการขออนุญาตในเรื่องของพื้นที่ของส่วนต่อเติมและวัตถุประสงค์การใช้งานของส่วนต่อเติม (เอ่อ..นี่ตามความเข้าใจเบื้องต้นของเรานะ) และส่วนที่สองคือ Building Regulation หมายถึงการขออนุญาตในส่วนรายละเอียดของส่วนที่ต่อเติม เช่น วัสดุที่ใช้ ระบบความกันความร้อน ความเย็น ระบบน้ำทิ้ง ทางหนีไฟ เป็นต้น ซึ่งถ้าส่วนที่เรากำลังจะต่อเติมเนี่ยมันผ่านกฎหมายทั้งสองตัว แล้วแบบนี้จะถือว่าการต่อเติมนี้ผิดต่อสัญญาที่ให้ไว้กับคุณปู่อ๊ะเปล่า ...พูดง่ายๆ ด้วยภาษายากๆ ก็คือว่า ศักดิ์ของกฎหมายในที่นี้ระหว่างเจตนารมย์ของเจ้าของที่ดินเดิมกับคำอนุมัติตามกฎหมายปัจจุบัน อันไหนมีศักดิ์หรืออำนาจเหนือกว่ากัน..


..ซึ่งเทรฟได้คำตอบจากทนายว่า..ไม่ว่ายังไงเจตนารมย์ของเจ้าของที่ดินก็สำคัญกว่า.. (วู้..มิน่า พินัยกรรมที่นี่ถึงมีความหมายมากมายนัก..เทรฟอย่าลืมแก้พินัยกรรมยกทรัพย์สินให้โปร่งก่อนตายนะ อิอิ) ฉะนั้นประกันตัวที่คนขายบ้านเขายอมจ่ายให้เรานั้นจะทำหน้าที่ "บรรเทา" ความเดือดร้อนที่อาจจะเกิดในอนาคตให้เรา ซึ่งด้วยระยะเวลาที่ครอบคลุม 25 ปีนี้ หากเรามีการขายบ้านต่อให้คนอื่น เราก็แค่เปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันเป็นเจ้าของบ้านใหม่.. แต่ยังไงก็ตาม เทรฟมองว่าความเสี่ยงเรื่องนี้ต่ำมากๆ เราไม่ควรจะกังวล เรื่องจะต่อเติมอะไร เราสองคนก็ไม่ได้วางแผนทำอะไรใหญ่โตอยู่แล้ว เพราะงี้ทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปตามแผนเดิม..


..เฮ้อ..เอาวะ..ฟังแล้วก็พอเข้าใจ แม้จะดูแหม่งๆ เพราะความไม่คุ้นเคย แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าทนายเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุด ซึ่งเราก็หวังว่าเรื่องจะดำเนินการผ่านไปได้ดี การซื้อขายสิ้นสุดตามวันที่ตั้งใจไว้..


..ความวุ่นวายยังไม่หมดเพียงแค่นี้..ยังมีภาคต่อที่ต้องจัดการเกี่ยวกับแฟลตที่กำลังจะย้ายออกอีก..วันนี้เหนื่อยแล้ว คงพอแค่นี้ก่อน แล้วจะกลับมาเล่าให้ชวนปวดหัวใหม่นะ ไปล่ะ...


สุขสันต์วันหยุดยาวนะจ๊ะ พี่น้องชาวไทย
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 27, 2010 11:45 pm

19Apr2010 วันแดดจ้า?

สิบโมงครึ่ง วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2010 @ flat


เช้านี้เริ่มต้นวันอย่างสดใสด้วยการออกไปวิ่ง ทีแรกกะจะวิ่งเบาะๆ แค่ 5 กิโล แต่ไปๆ มาๆ วิ่งไปเจ็ดกิโล..โห..รู้สึกดีจริงๆ ได้ออกกำลังกายยามเช้า เรื่องวิ่งนี่แรกๆ ก็วิ่งเพื่อซ้อมไปวิ่งการกุศล แต่หลังๆ เริ่มวิ่งเพราะรู้สึกดีกับผลลัพธ์ ก็เลยได้ใจวิ่งใหญ่เลย


ช่วงนี้ใกล้ได้เวลาย้ายบ้านแล้ว สองคนเรากับเทรฟตื่นเต้นกันน่าดู วันก่อนเล่าเรื่องขั้นตอนเอกสารส่วนสุดท้ายของการซื้อขายบ้านไปแล้ว ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นดี เรากำหนดวันรับกุญแจบ้านใหม่กันวันพฤหัสฯ ที่ 29 นี้ (ตื่นเต้นๆๆ) เราสองคนจะแค่แวะไปดู ยังไม่ย้ายเข้าไปนอนเพราะต้องให้คนมาฉีดปลวกกับซักพรมในบ้านทั้งหลังให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นจะใช้วิธีค่อยๆ ขนของย้ายเข้าไปทีละนิด จะได้ไม่ต้องเช่ารถขนของ แต่ยังไงก็ต้องย้ายก่อนวันที่ 10 พฤษภา เพราะเป็นกำหนดวันคืนแฟลต


เรื่องคืนแฟลตนี่เป็นอีกเรื่องที่วุ่นวายไม่น้อย เพราะความคิดเราก็แค่โทรไปบอกเขาล่วงหน้าหนึ่งเดือนตามกำหนดในสัญญาก็น่าจะเรียบร้อย เพราะเราเป็นพวกพลเมืองดีรักษาสภาพแฟลตไว้เป็นอย่างดีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราก็พึ่งรู้ว่ามันมีอะไรที่ต้องทำมากมายนัก เริ่มตั้งแต่กับตัวแฟลตเอง ทางบริษัทเอเจนท์ส่งเอกสารมายืนยันวันย้ายออกของเราพร้อมกับลิสต์ยาวสองหน้ากระดาษเอสี่ระบุรายละเอียดสภาพแฟลตที่เขาต้องการเห็นเมื่อคืนห้อง อันได้แก่ พรมดูดฝุ่นอย่างดี ตู้ เตียง เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมพร้อมใช้งาน ไม่แตกหัก ชำรุดเสียหาย ซึ่งพวกนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร แต่พอมารายละเอียดอย่าง ตู้เย็น/ตู้แช่ต้องละลายน้ำแข็ง ทำความสะอาดอย่างดี ไม่มีฝุ่นบนหลังตู้เย็น, ดูดฝุ่นใต้เตียง (ซึ่งตอนย้ายเข้ามาสภาพดูไม่ได้..เทรฟว่า..แล้วเทรฟเองก็พึ่งจัดการดูดฝุ่นตรงนี้ไป..ใต้เตียงเก็บฝุ่นขนาดไหนคงจินตนาการเอาได้), โคมไฟทุกอันต้องทำความสะอาดตัวโคมให้ปลอดฝุ่น, รูตะปูทุกรูต้องอุดรูด้วยวัสดุสีเดียวกับผนัง, ผนังทุกผนังต้องปลอดฝุ่น, ขยะและถังขยะต้องสะอาดเรียบร้อย ไม่มีขยะเหลือทิ้งไว้ ฯลฯ..โห่..เป็นลิสต์ที่คนปล่อยห้องให้เช่าน่าเก็บไปเป็นตัวอย่างไว้ตรวจห้องตอนรับคืนจริงๆ


เขายังบอกอีกว่าถ้าทิ้งห้องไว้ในสภาพที่เขาต้องจ้างคนมาทำความสะอาดเขาก็คิดค่าคนทำความสะอาด (ตามอัตรารายชั่วโมง) พร้อมด้วยค่าบริการขั้นต่ำ และทั้งหมดนี่ก็จะหักเอาจากเงินมัดจำ (อย่างไม่ต้องสงสัย)


นอกเหนือจากตัวแฟลตเองแล้วก็ยังเป็นรายละเอียดอื่นๆ (ที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน) ที่ต้องจัดการได้แก่ การแจ้งบริษัทน้ำประปา ไฟฟ้า แก๊ส เพื่อให้มาจดมิเตอร์และระบุวันสิ้นสุดสัญญา (เพราะเปลี่ยนคนเช่าใหม่) แจ้งไปรษณีย์ว่าเราย้ายที่อยู่พร้อมลงทะเบียนบริการส่งไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ใหม่ (คือให้เขาส่งจดหมายต่างๆที่ส่งมาที่แฟลตไปยังที่อยู่ใหม่ของเรา), แจ้งเทศบาล (จริงๆเขาเรียกเคาน์ซิล-Council หมายถึงองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของที่นี่) ว่าเรากำลังจะย้ายออกจากที่อยู่นี้ ฉะนั้นภาษีที่เคยหักตามที่อยู่นี้ก็ต้องยุติไป แล้วไปจ่ายอัตราใหม่ตามที่อยู่ใหม่ให้กับเคาน์ซิลที่ดูแลพื้นที่ที่บ้านใหม่ตั้งอยู่) จากนั้นก็ทำทุกอย่างๆ คล้ายๆกันกับบ้านใหม่ คือแจ้งบริษัทน้ำ ไฟ แก๊สเพื่อขอใช้บริการ (เขาก็ต้องมาจดมิเตอร์ดูว่าก่อนเราย้ายเข้าไปมิเตอร์เลขอะไร จะได้ตามไปเก็บเงินกับเจ้าของเดิม ไม่ใช่มาเก็บที่เรา) หนนี้ต้องมีบริษัทโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเพิ่มมาด้วย (เย้! จะได้มีเบอร์บ้านพร้อมบอร์ดแบรนด์ใช้แล้ว เย้ๆๆๆ) จากนั้นก็แจ้งเพื่อนฝูง ญาติมิตร ที่ทำงาน ธนาคาร และอื่นๆ ถึงที่อยู่ใหม่ของเรา อ้อ ต้องไม่ลืมแจ้งเคาน์ซิลด้วยเพราะต้องจ่ายภาษีในอัตราของบ้านซึ่งผู้อยู่อาศัยเป็นคู่สมรส (ใช่แล้ว อยู่คนเดียว กับ ไม่อยู่คนเดียว จ่ายไม่เท่ากัน และอยู่แบบ "ไม่อยู่คนเดียว" แบบแต่งงาน กับไม่แต่งงาน หรือแค่แชร์บ้านกันก็จ่ายไม่เท่ากันอีกด้วย..ถามว่าแล้วเขาจะรู้เหรอถ้าเราไม่บอกความจริง..คำตอบคือเขาไม่รู้หรอก..แต่ถ้าเขารู้เมื่อไหร่ก็เตรียมจ่ายค่าปรับระดับหมื่นปอนด์กันเลยทีเลย พร้อมดอกเบี้ย และไม่แน่ติดคุกอีกต่างหาก ในขณะที่อัตราปกติแค่หลักร้อย..เพราะงั้นอยู่ที่นี่อย่าคิดโกง..เพราะถ้าเขาจับไม่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าเขาจับได้..ก็ไม่มีปราณี)


ฉะนั้นช่วงนี้เทรฟเลยวุ่นวาย ร่างจดหมาย ส่งอีเมล์สารพัด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยมีผลทันวันที่ 10 ที่จะถึงนี้


ด้วยความวุ่นวายที่มากมายขนาดนี้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเราสองคนเลยถือโอกาสหยุดพักกันอย่างจริงจัง ไม่มีการคุยเรื่องงาน เอกสารใดๆ ไปพักผ่อนทำกิจกรรมที่แตกต่างออกไปบ้าง โชคดีที่อากาศดีมากๆ แดดจ้า ฟ้าใส อุณหภูมิอยู่ที่ 14 องศาเซลเซียส (กำลังดีเลย..ถ้าสูงกว่านี้จะเริ่มร้อนไปแล้วสำหรับเรา) เราสองคนตื่นไปวิ่งกันก่อนเป็นอย่างแรก เป้าหมายของวันนี้คือ 8 กิโลเมตร เพราะต้องค่อยๆ ขยับให้เข้าใกล้ 10 กิโลมากที่สุด วันวิ่งจริงจะได้ไม่เดี้ยง แปดกิโลเมตรใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงกับสองนาที นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เรากลับมาบ้านจัดการกับอาหารเช้ามื้อใหญ่ แล้วก็แต่งตัวกันออกไปเฉิดฉายรับอากาศดีกันหน่อย...


โปรแกรมวันนี้เทรฟชวนไปที่ Downs (ดาวน์) เป็นชื่อสถานที่ที่เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่ตรงไหน เทรฟเองก็ไม่เคยไป ก็เลยจะลองไปดูกัน วันนี้เราสองคนเลือกนั่งรถเมล์เข้าไปที่ซิตี้ เซ็นเตอร์ (City Centre) ไปซื้อรองเท้าทำงานคู่ใหม่ของเรา (อีกแล้ว...เพราะของเดิมใช้ไม่ได้..เฮ้อ..เซ็งจริงๆ) แล้วก็ซื้อรองเท้ากีฬาให้เทรฟใหม่ด้วย หลังจากซื้อของเสร็จเราก็เริ่มออกเดินชมเมืองกัน เป้าหมายคือดาวน์อย่างที่บอก เทรฟกางแผนที่แล้วเดินไปเรื่อยๆ ไอ้ที่ที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ เอาเข้าจริงๆ ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็ถึงบ้านใหม่เราได้เลยนะเนี่ย ด้วยความที่อากาศดีเราสองคนก็เดินกันอย่างสนุกสนาน แวะพักกินอาหารอิตาเลี่ยนเป็นอาหารกลางวันกันเอาตอนบ่ายโมงครึ่งจากนั้นก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือเดินไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็เดินไปถึงบริเวณสนามหญ้าขนาดใหญ่ มองไปทีแรกคิดว่าเป็นแค่สวนสาธารณะธรรมดา เพราะเห็นมีคนมาเตะบอลกัน แล้วอีกลานถัดไปก็มีสวนสนุกแบบเคลื่อนที่ (อารมณ์ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุนบ้านเรา)มาตั้ง ..โห..สนามหญ้าวันฟ้าใสนี่มันสวยน่าดูจริงๆ อากาศอุ่นสบาย ผู้คนออกมาเดิน มานั่งปิคนิค มาวิ่งเล่นกันให้สนุกสนาน..อารมณ์พวกนี้จะเข้าถึงได้ต้องผ่านประสบการณ์หน้าหนาวอันทุกข์ทนที่ทั้งหนาวเหน็บและหดหู่..เมื่อนั้นคุณจะรักพระอาทิตย์ขึ้นมาเลยทีเดียว..เอ่อ..สำหรับบรรยากาศเมืองไทยตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าไม่อินกับการบรรยายนับจากตรงนี้ไปก็ไม่เป็นไรค่ะ เข้าใจได้เลยทีเดียว..


เราสองคนเดินตัดผ่านกลางสนามกว้างยาวไปตลอดแนวเนินเขาที่เป็นทางลาดทอดลงไปยังบริเวณส่วนที่เป็นหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยบริสตอล เห็นแล้วให้นึกอยากแพคอาหารกลางวันมานั่งกินให้สบายใจ..อันได้แก่..ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว..เฮ้ยยย..ไม่ช่ายยย...
ก็แหม..อ่ะนะ พื้นที่แบบนี้เห็นแล้วนึกถึงบ้านเราเลย ลองเป็นที่โล่งมีที่ให้นั่งแบบนี้ต้องมีคนมาให้เช่าเสื่อ มีรถเข็นขายส้มตำ ไก่ย่าง ลูกชิ้นทอด ปลาหมึกปิ้ง ฯลน ให้วุ่นไปหมดแล้ว แต่ที่นี่ต้องบอกว่า..อย่าว่าแต่หาซื้อของกินเลย แค่หาถังขยะยังยากเลย..เขารักษาพื้นที่ได้สะอาด มีระเบียบ น่านั่งมากๆ ตามทางเดินที่ทำไว้จะมีม้านั่งยาวตั้งไว้ให้นั่งรับแดดเป็นระยะๆ แต่ผู้คนส่วนใหญ่เต็มใจนอนเล่นกันบนพื้นหญ้าสีเขียวมากกว่า..


เราเดินเล่นกันไปแล้วก็รู้สึกว่า..อืม..มีอะไรบ้างอย่างขาดไป..ใช่แล้ว ไอติม..อากาศแบบนี้ต้องมีรถไอติมอยู่ตรงไหนซักแห่ง..ว่าแล้วก็สอดส่ายสายตาหา Ice cream Van หรือรถขายไอติมที่หน้าตาเป็นรถตู้แบบเปิดหน้าต่างด้านข้างรถไว้เป็นหน้าร้าน คนขายก็อยู่ข้างในรายล้อมด้วยตู้ไอติมและท็อปปิ้งสารพัด (มิใช่หน้าตาแบบรถมอเตอร์ไซค์พ่วงแบบบ้านเรา..ก็แหม..เขาก็ปรับไปตามสภาพอากาศเนอะ ลองบ้านเราให้นั่งในรถตู้แบบนี้ก็สุกตายพอดี ส่วนที่นี่ขึ้นขี่มอไซค์ขายไอติม คนขายก็กลายเป็นไอติมไปด้วยนั่นแหละ อิอิ) เมนูยอดฮิตต้องเป็นไอติมขี้หมา..เอ่อ..เราเรียกเองก็ไอติมโคนแบบในร้านแมคโดนัลด์หรือเคเอฟซีนั่นแหละ เขาเรียก Soft Cone ก็คือไอติมนุ่มใส่โคน จะเอาแบบใส่ถ้วยก็มีหรือไอติมแบบไอติมวอลล์ก็มี


พอได้ไอติมแล้วก็ไปหาที่เหมาะรับแสงตะวันกินไอติม..แหม่ ช่างสุขีจริงๆ อ่อ ต้องบอกก่อนว่า..ไม่ต้องกลัวว่าแดดจะร้อนจนไอติมจะละลายเสียก่อน เพราะแดดที่นี่อย่างดีก็แค่อุ่น อีกอย่างลมที่พัดโชยมาก็ยังทำให้หนาวจนขนลุกได้อยู่ดี


เราเอ็นจอยกับไอติมแล้วก็เดินกันต่อ พื้นที่ตรงนี้เหมือนเป็นพื้นที่สีเขียวที่เขาอนุรักษ์ไว้ จะว่าเป็นป่าก็ไม่เชิงเพราะไม่ได้รกมาก เรียกว่าเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีทั้งส่วนที่เป็นพื้นที่สนามหญ้าเปิดโล่งกับส่วนที่เป็นป่าโปร่งไว้ให้สำรวจเล่น หรือปั่นจักรยานผจญภัยได้เหมือนกัน


เราเดิน เดิน เดินและเดินกันจนถึงห้าโมงเย็น ก็ได้เวลากลับบ้าน เพราะขาเริ่มหมดแรง สรุปรวมความวันนี้สองคนเดินกันไปก็คงไม่น้อยกว่าสิบกิโลเมตร ..นี่ยังไม่รวมที่วิ่งไปเมื่อเช้าอีก..อืม..ช่างเป็นวันเสาร์เพื่อสุขภาพกันเสียจริงๆ..


..ได้เวลาไปทำงานแล้ว ไปก่อนนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 27, 2010 11:52 pm

23Apr2010 วันศุกร์สุขสันต์

11.22 น. วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2010 @ flat


อืม วันศุกร์อีกแล้วเนาะ หลายคนทำงานจันทร์ถึงศุกร์พอถึงวันนี้ก็ตื่นเต้นดีใจเพราะจะได้หยุดเสาร์อาทิตย์ แต่เราช่วงนี้เวลาทำงานแปลกๆ งงๆ ทำงานวันเว้นวัน อารมณ์เลยดูสะดุดๆ จะว่าเหมือนทำงานก็ไม่เชิง จะเหมือนหยุดก็ไม่ใช่ เลยสับสนไม่ค่อยรู้ว่าวันๆ จะทำอะไรบ้าง เพราะพออยากจะไปทำงาน อ้าว ตารางงานบอกให้หยุดซะงั้น..ท่าทางไม่ค่อยดีสงสัยต้องเร่งหางานใหม่ในเร็ววัน


จริงๆ สถานการณ์ที่ร้านก็ขาดคนล่าสุดซุปเปอร์ไวเซอร์ก็พึ่งออกไปอีกคน แล้วก็จะทำงานวันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่ไหงตารางงานเรามันลดจำนวนวันก็ไม่รู้ คนใหม่ก็ยังไม่เห็นมีมา..อืม ชักยังไงๆซะแล้ว


เรื่องหางานก็เล่าให้ฟังมาหลายรอบแล้วเนอะ เราก็ถือโอกาสหาไปเรื่อยๆ วันก่อนเถียงกับเทรฟเรื่องนี้เพราะเทรฟกลับมาบ้านแล้วเห็นเรานั่งจ้องหน้าจออยู่ พอเราเรียกให้มาดูว่างานนี้งานนั้นควรสมัครไหม (ในมุมที่ว่าที่ทำงานมันอยู่ไกลไปไหม คุ้มค่าเดินทางหรือเปล่า?) เทรฟชะโงกมาดูหน้าจอแล้วทำหน้างงๆ ถามเราว่า โปร่งหางานอะไรอยู่อ่ะ เราว่าก็หางานออฟฟิศทำอ่ะ จะได้ไม่ต้องทำงานกินค่าจ้างรายชั่วโมง เงินจะได้เยอะกว่าแล้วก็วันทำงานตรงกับเทรฟด้วยไง
"แล้วหาจากเวบนี้น่ะนะ ดูท่าทางจะมีแต่ตำแหน่งงานเล็กๆ แบบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก (Unskill labour เทรฟหมายความอย่างนั้น) แล้วมันจะใช่งานที่โปร่งอยากทำเหรอ?"
"ก็ไม่รู้อ่ะว่าอยากทำอะไร แต่อยากวนเวียนทำอยู่แต่ร้านอาหารนี่นา" เราตัดพ้อ
"งั้นก็น่าจะลองหาจากเวบอื่นดูนา" เทรฟแนะนำ
"อ้าวก็เวบนี้ก็คือเวบที่เทรฟบอกให้ลองไม่ใช่เหรอ แล้วงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ได้จากเวบนี้นี่นา" เราเถียงแบบเริ่มสับสนกับคำแนะนำของเทรฟ
"ผมก็ไม่รู้มันมีเวบอะไรบ้าง แต่เวบนี้น่ะ ที่แน่ๆ น่าจะเป็นตลาดแรงงานราคาถูก ไม่น่าจะใช่ช่องทางอาชีพแบบที่โปร่งอยากทำ"
"ก็เวบพวกนั้นเคยเข้ามาแล้ว แล้วก็เจอปัญหาว่าโปร่งไม่มีใบประกาศนู่นนี่นั่นให้เขาดูนี่นา จำไม่ได้เหรอ" เราเริ่มเถียงเสียงเครือ เพราะยังจำความรู้สึกเซ็งจัดตอนที่ไม่มีใบคุณวุฒิที่เป็นที่รู้จักของที่นี่
"โปร่ง..คุณจบปริญญาโทนะ ประสบการณ์งานคุณก็ไม่น้อย ..จำได้ไหมว่าอ่านประวัติการทำงานตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? คุณมีดีกว่านั้นตั้งเยอะ"
"แต่ไม่มีใครรู้จักธรรมศาสตร์นี่!" เราเถียง น้ำตาเริ่มหลั่งริน


บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป..ในที่สุดสิ่งหนึ่งที่เทรฟพยายามบอกเราและเราได้เรียนรู้ ณ วันนี้ก็คือ ที่นี่ไม่สนใจว่าคุณมีพื้นฐานหรือปริญญาอะไรมา ตราบใดที่คุณ "แสดงความมั่นใจ" หรือทำให้ว่าที่นายจ้างเชื่อได้ว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งนั้น..คุณก็ได้งาน
เราพึ่งถึงบางอ้อก็ตรงที่ว่า อ้าว ก็แปลว่าเราไม่ต้องค่อยๆ ทำงานไต่ระดับเงินเดือนหรอกเหรอ เพราะถ้าที่เมืองไทย จากเดิมได้ตังค์ไม่กี่พันแล้วจะไปสมัครงานเดือนหลายหมื่น เขาคงโยนใบสมัครทิ้งตั้้งแต่ต้น..เทรฟว่า ไม่จำเป็น มันอยู่ที่เราประเมินตัวเองอย่างไร ถ้าคุณประเมินตัวเองต่ำ คนอื่นเขาก็มองคุณแค่นั้น แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณมีดีกว่านั้น คุณก็แสดงออกไป..แล้วผมก็รู้ว่าคุณทำได้ดีกว่าไอ้เบื๊อกที่กินเงินเดือนเยอะๆทั้งหลายที่ผมเจอ..มั่นใจในตัวเองหน่อย! เทรฟสรุปสุดท้าย พร้อมกันที่เราเปิดโลกทัศน์ใหม่กับการหางานครั้งนี้


เงื่อนไขหลักๆ ของการหางานครั้งนี้นอกจากค่าตอบแทนแล้ว ก็คงเป็นเรื่องทำเลสถานที่ทำงาน เพราะไม่งั้นเงินที่ได้เพิ่มขึ้นมาก็ต้องกลายมาเป็นค่าเดินทางหมด ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าค่าเดินทางที่นี่มหาโหดขนาดไหน เพราะงี้บ้านหลังที่ตัดสินใจซื้อจึงถูกใจเทรฟมากเพราะห่างจากที่ทำงานชนิดเดินไปทำงานได้ แถมให้เดินกลับมากินข้าวกลางวันที่บ้านก็ยังทัน..เฮ้อ สะดวกและประหยัดค่าน้ำมันดีจริงๆ


สถานการณ์ของเราช่วงนี้นอกจากมึนงงเรื่องเวลาทำงานเล็กน้อยแล้ว ก็ออกจะอยู่แนวนิ่งสงบสุข รอเวลาย้ายบ้านอย่างเป็นทางการอาทิตย์หน้า แถมอากาศช่วงนี้ก็ดี๊ดี มีแดดสวยทุกวัน เป็นที่ชอบอกชอบใจของเรามาก เพราะมีแดดแต่ไม่ร้อนจนเผาผิวเหมือนเมืองไทย เรียกว่าถ้าเดินเข้าร่มก็ยังเย็นจนขนลุกอยู่ เพราะงี้ไปไหนก็ยังต้องพกเสื้อคลุมไปด้วย เพราะเผื่อมีเมฆเมื่อไหร่ความหนาวก็มาเยือนทันที ส่วนเทรฟหลังจากวุ่นวายกับสารพัดเรื่องทั้งเรื่องเอกสาร เรื่องจองคิวคนฉีดปลวก ซักพรม และรถขนของแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ทำนอกจาก "รอ" รอจนถึงวันได้กุญแจบ้าน แล้วเราจะได้ไปสำรวจสภาพบ้านพร้อมวางแผนตกแต่งบ้านต่อไป..


วันก่อนมีคนสงสัยว่าบ้านหน้าตาเป็นไง จำไม่ได้เหมือนกันว่าเล่าให้ฟังไปบ้างหรือยัง เอาเป็นว่าเล่าใหม่อีกทีก็ได้
บ้านที่เราซื้อถ้าเรียกภาษาเมืองไทยเขาก็เรียกทาวน์เฮาส์ แต่ที่นี่เขาเรียกบ้านแบบ Mid Terrace (มิดเทอร์เรส) หมายถึงบ้านที่มีเพื่อนบ้านติดกันซ้ายขวา มันจะเป็นบ้านตรงกลางของบ้านสามหลังหรือเป็นแถวยาวกว่านั้นเขาก็เรียก Mid Terrace ส่วนบ้านหลังริมของบ้านทั้งแถว ชนิดที่มีเพื่อนบ้านใช้ผนังร่วมกันแค่ด้านเดียวเขาเรียก End of Terrace งงไหม เพราะงี้ไอ้บ้านที่ติดกันเป็นแถวๆ ตั้งแต่สามหลังขึ้นไปจะมีบ้านแบบ End of Terrace อยู่แค่สองหลังคือหลังริมสุดซ้ายกับขวา ส่วนไอ้บ้านตรงกลางก็เรียก Mid Terrace หมด


ส่วนบ้านที่มีแค่สองหลังติดเหมือนบ้านแฝดบ้านเราเขาเรียก Semi-detached เพราะว่าคำว่าบ้านเดี่ยวที่นี่ใช้คำว่า Detached house (ดีแทชด์ เฮาส์) ดีแทชแปลว่าไม่ติดกับใคร (แปลแบบโง่สุดๆ) เพราะฉะนั้น Semi ที่แปลว่า กึ่งๆ ก็คือบ้านเกือบๆเดี่ยว ก็คือบ้านแฝดอย่างที่ว่า งงไหมเนี่ย? (จริงๆ คำภาษาอังกฤษมันไม่ได้งง แต่อิฉันอธิบายได้งงดีจริงๆ แฮ่)..อ้าว จะอธิบายลักษณะบ้าน ไหงกลายมาเป็นสอนภาษาอังกฤษซะงั้น


อ่ะเล่าต่อ ก่อนหมดเวลาเขียน
บ้านเราเป็นแบบ mid terrace อย่างที่ว่า ทีแรกก็ไม่ชอบบ้านแบบนี้เพราะมีเพื่อนบ้านติดสองข้าง กลัวเสียงจะดัง แต่โชคดีที่ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า กำแพงหนา เรื่องเสียงเลยไม่มีปัญหา กลายเป็นโชคดีเรื่องระบบทำความร้อนไป เพราะเราไม่ต้องเปิดฮีทเตอร์มากเพราะความร้อนจากบ้านข้างๆ จะไหลมาบ้านเราอยู่แล้ว เรียกว่าบ้านจะรู้สึกอุ่นตลอดเวลาแม้ว่าไม่ได้เปิดฮีทเตอร์ แหม ดีจริงๆ


บ้านมีสองชั้น ชั้นแรกเดินเข้าไป (อ่อ..กรุณาใช้จินตนาการส่วนตัวนะคะ เพราะยังไงดิฉันก็ไม่ถ่ายรูปบ้านมาให้ดู อิอิ ก็แหม่..รักษาความเป็นส่วนตัวกันนิ๊ดนึง) มีโถงทางเดิน ด้านซ้ายมือมีห้องรับแขกที่เจ้าของบ้านเดิมทุบกำแพงห้องกินข้าวซึ่งอยู่ถัดไป ทำให้ห้องนี้เป็นเปิดโล่งยาวเท่าขนาดตัวบ้าน ส่วนหน้าให้เป็นที่รับแขกส่วนหลังใช้วางโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ได้ เดินต่อไปจนสุดโถงทางเดิน (ไม่ได้ใหญ่มาก ประมาณห้าก้าวเท่านั้น) ก็ถึงห้องครัวแคบๆ ยาวๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ครัวที่นี่ก็มีเตาแก๊ส เตาอบ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า อ่างล้างจาน ฯลฯ ตามปกติ


ตรงโถงทางเดิน เมื่อซ้ายมือเป็นประตูห้องรับแขก(ที่มีห้องกินข้าวร่วมด้วย) ขวามือก็เป็นบันไดขึ้นไปชั้นสอง มีสามห้องนอน กับหนึ่งห้องน้ำ มีสองห้องนอนใหญ่ กับอีกหนึ่งห้องเล็กที่อาจใช้ทำห้องทำงานหรือห้องนอนที่เล็กกว่ากันหน่อย..ทั้งหมดก็เท่านี้เอง..อ่อ มีที่เก็บของเป็นห้องใต้หลังคาด้วย..เทรฟว่าจะหาช่างมาทำบันไดขึ้น Loft (หรือห้องใต้หลังคา) นี่ด้วย


เนื่องจากบ้านนี้เจ้าของเดิมเป็นคนแก่ คงกลัวหนาว บ้านทั้งหลังก็เลยปูพรม แม้แต่ในห้องน้ำ (อ่อ ยกเว้นห้องครัว..เพราะมันไม่เหมาะจะปูพรมอย่างยิ่ง) ..เราก็แอบกลุ้มใจเล็กน้อยเรื่องทำความสะอาด..แต่ก็ดีบ้านอุ่นดี แต่ด้วยสีพรมและวอลล์เปเปอร์ที่มีอายุก่อนเราเกิด ก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปในไทม์แมชชีนนิดนึง..ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าจะมีทุนทรัพย์พอที่จะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ..แล้วไว้จะเก็บมาเล่าให้ฟังอีกทีนะ วันนี้ต้องไปทำงานแล้ว..


อ้อ ลืมบอกไปว่าหลังบ้านมีโรงรถที่ใช้เป็นเวิร์คช็อป (Work Shop) ด้วย ซึ่งเป็นที่โปรดของเทรฟเลยล่ะ ชนิดที่ว่าถ้าเดินจนทั่วบ้านแล้วหาเทรฟไม่เจอ ให้ไปดูในโรงรถ ต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ เพราะเทรฟสนุกสนานกับงานไม้และงานพวก DIY (งานช่างที่ทำเองไม่ได้จ้างใคร) มากๆ


ไปจริงๆ แล้ว
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร เม.ย. 27, 2010 11:58 pm

27Apr2010 ไปปิคนิค?

เกือบเก้าโมงเช้าแล้ว วันอังคารที่ 27 เมษายน 2010 @ flat (obviously)


หายไปเสียหลายวัน ตั้งท่าว่าจะเขียนเล่าเรื่องนี้ตั้งแต่เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เขียน วันนี้เห็นทีจะผัดวันประกันพรุ่งต่อไปไม่ได้ ไม่งั้นลืมพอดี


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเทรฟรักษาสัญญาที่เราขอไว้ตั้งแต่เสาร์อาทิตย์ก่อนว่า ถ้าวันหยุดหน้าอากาศยังดีแบบนี้อีก (หมายถึงมีแดด อุณหภูมิราวๆ 16-17 องศาเซลเซียส) เราไปปิคนิคกันนะ


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเทรฟเลยแอบซื้อของกินเล็กๆน้อยๆ ไว้เซอร์ไพรส์ จริงๆ เราก็ไม่เคยไปปิคนิคมาก่อน เคยเห็นแต่ในหนังกับได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ประมาณว่าเอาของกินใส่ตะกร้าไปกินข้าวนอกบ้าน ในใจตอนดูหนังฝรั่งยังแอบคิดว่า เอาใส่กล่องไปกินแบบนี้กับข้าวมันก็ไม่ร้อนดิ กินไม่อร่อยพอดีกัน ถ้าแบบนั้นไปกินข้าวตามร้านอาหารนอกบ้านก็น่าจะดีกว่า เพราะทำเสร็จร้อนๆ ..แต่แหม..ในหนังมันก็ต้องไปนั่งกลางทุ่งหญ้าหรือสนามหญ้า ปูผ้า-ปูเสื่อกินแซนวิชใช่มะถึงจะเรียกว่าปิคนิค ในใจก็ยังแอบเถียงต่อว่า..ร้อนจะตาย ไปนั่งกินกันร่มๆไม่ได้หรือไง..เฮ้อ..ก็ยังเด็กอ่ะนะ โปรดเข้าใจ..มาถึงวันนี้เข้าใจเป็นอย่างดีว่าไอ้ฉากนั่งบนสนามหญ้ากินแซนวิชกลางแดดมันสุขีเพียงใด..มามะ..จะเล่าให้ฟัง..(ฮี่ฮี่)


เช้านี้เทรฟจัดแจงจัดตะกร้าปิคนิค (ซึ่งสำหรับกรณีเราสองคนคือถุงพลาสติกใบใหญ่ ยัดลงไปในกระเป๋าสะพายอีกที กันมันหกคะเมนในรถ ฮี่) เราไม่รู้หรอกว่าในถุงมีอะไรบ้าง เทรฟแอบงุบงิบๆ ทำอยู่คนเดียว เราดูจากใบเสร็จที่เทรฟไปช็อปปิ้งมาก็พอเห็นอยู่ว่ามีอะไรบ้าง..แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันคืออะไร..ไม่เป็นไร เป็นอะไรที่มันกินได้เป็นพอ (ฮา) แค่แอบย้ำกับเทรฟว่าช่วยแพคไดเอ็ทโค้กกับมันฝรั่งทอด (หรือเลย์บ้านเรา) ไปให้ด้วยนะ เพราะหาโอกาสเหมาะๆกินอาหารขยะคู่หูนี้มานานแล้ว ฮี่


ในใจเราตอนได้ยินเทรฟบอกเรื่องสถานที่ก็มึนๆ เดาๆ เอาว่าอยู่แถวบ้านนี่แหละ ยังคิดว่าเดี๋ยวคงถือข้าวถือของเดินกันไป เพราะแถวๆบ้านก็มีป่าโปร่งๆ มีสนามหญ้าให้นั่งเล่นอยู่ไม่น้อย แต่พอเทรฟบอกว่าเดี๋ยวเราจะขับรถไปกัน ก็ยังแอบคิดต่อว่า..อืม ดีเนอะ เทรฟคงไม่อยากให้เดินหอบหิ้วของพะรุงพะรัง แถมสะดวกดีหากต้องหยิบต้องฉวยหรือเก็บของมีค่าไม่ต้องมานั่งกังวลถ้าเอามันมาวางไว้ที่โล่งแจ้งนานเกินไป


แต่พอเราขับรถออกจากบ้าน เทรฟทำหน้าที่นาวิเกเตอร์ตามปกติ พอเริ่มเลี้ยวขึ้นมอเตอร์เวย์..เราถึงขั้นเหวอถามเทรฟว่า..นี่เราจะไปปิคนิคกันไกลขนาดนี้เลยเหรอ?? เทรฟแก้ให้ว่าไม่ไกลหรอก เดี๋ยวแยกหน้าก็เลี้ยวออกจากมอเตอร์เวย์แล้ว ระยะทางประมาณจากบ้านไปออฟฟิศเทรฟเอง (ราวๆ สิบนาทีสิ..งั้นก็ไม่ไกลสินะ..เราสรุปกับตัวเอง) แต่ที่ไหนได้ ไอ้แยกหน้าน่ะมันใช่ แต่ว่าพอเลี้ยวไปแล้วมันขับไปอีกไกลไม่น้อย เราเริ่มรู้แล้วว่าความเข้าใจที่เราคิดมาตลอดน่ะมันผิด..ในที่สุดเราก็ไปถึง Westonbirt Arboretum หรือแปลเป็นไทยว่า วนอุทยานเวสทันเบิร์ท..โว่ โว่..โว้.. มันเป็นการปิคนิคที่เป็นเรื่องเป็นราวมากทีเดียว


ที่วนอุทยานหรือสวนพฤกษชาติ (อันนี้หาคำแปลมาจากดิกฯออนไลน์ ผิดถูกอย่างไรไม่รับผิดชอบเพราะพึ่งเคยได้ยินเหมือนกัน) นี้ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วนะว่าเขาปลูกต้นไม้เพื่อการอนุรักษ์ ประมาณว่าสะสมต้นไม้สารพัดสายพันธุ์ แต่เขาปลูกแล้วออกมาหน้าตาเหมือนป่า ไม่ได้เหมือนแกลอรี่หรือสวน(สัตว์)ต้นไม้ ที่มีรั้วๆ กั้นๆ ไม่ให้จับให้ต้องนะ มันเหมือนเดินเข้าไปในป่าโปร่ง หรือสวนหลังบ้านคนรวยที่มีต้นไม้เยอะ ทุ่งหญ้ากว้างๆ นั่นแหละ (ป่าที่นี่ไม่ดิบทึบน่ากลัวเหมือนบ้านเราอยู่แล้ว) ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมาเดินป่าช่วงนี้ เพราะต้นไม้เริ่มออกดอก ผลิใบกันสวยไปหมด สารพัดสี สารพัดแบบ


ที่ดินของอุทยานนี้ (เขียนแบบย่อๆนะ) ดูเหมือนจะได้รับบริจาคมาจากเศรษฐีเจ้าของที่ดินเดิมที่มีบ้านเป็นปราสาทหลังเบ่อเริ่มที่อยู่อีกฟากนึงของถนน (แบบมองเห็นลิบๆ จากบริเวณปากทางเข้าพื้นที่เดินป่าของอุทยาน) เรากับเทรฟจอดรถแล้วก็ออกเดินสำรวจป่ากันเสียก่อน เริ่มจากส่วนที่เขาเรียกว่า Silk Wood อย่าถามว่าทำไมเขาเรียกอย่างนี้เพราะไม่รู้แล้วก็ไม่ได้สงสัยอยากรู้อีกต่างหาก พื้นที่เดินป่าส่วนนี้ห้ามน้องหมาเข้า คนเข้าได้อย่างเดียว (มีป่าอีกฟากที่เป็นพื้นที่อุทยานส่วนแรกเริ่ม น้องหมาเข้าได้) จะเห็นคนมาเดินเล่น "ชมนกชมไม้" ของจริง แต่ละคนต่างเดินเล่นกันอย่างสบายใจ มีต้นไม้สารพัดปลูกเรียงราย..แต่อย่างที่บอกเขาทำให้มันเป็นป่า ไม่ใช่พื้นที่จัดโชว์ต้นไม้ เพราะฉะนั้นมันก็คือการเดินป่าจริงๆ ต้นไม้ที่นี่เราเข้าใจว่าเขาคงต้องมีการคำนวณและคิดก่อนที่จะปลูกต้นอะไรลงไปเพื่อให้มันเอื้อต่อการเติบโตซึ่งกันและกัน เรียกว่าให้มันเป็นสมดุลธรรมชาติ ไม่ใช่แบ่งโซนเป็น ตรงนี้ต้นไม้ใหญ่ ตรงนี้ไม้พุ่มอะไรแบบนี้ ต้นไม้แต่ละต้นจะมีป้ายเล็กๆ ตอกติดไว้แสดงเลขอ้างอิงบนฐานข้อมูล ชื่อทางวิทยาศาสตร์ และชื่อเรียกสามัญทั่วไป (ซึ่งไม่ค่อยมีหรอกเพราะที่นี่เขามักเรียกชื่อต้นไม้ตามชื่อวิทยาศาสตร์) กับนามผู้บริจาค..ไม่ได้บริจาคต้นไม้ แต่บริจาคเงินเพื่อให้มีชื่อติดบนต้นไม้ (เหมือนบริจาคเงินซื้อกระเบื้องสร้างวัดบ้านเราเลยเนอะ)


เราเดินดูต้นไม้ไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกสดชื่นและมีความสุขกับบรรยากาศแบบนี้มากๆ อากาศที่นี่ส่วนใหญ่อึมครึมมีแต่เมฆ แต่ฝนทั้งวันทั้งคืน น้อยวันนักที่จะมีแดดมาให้ชื่นชมและอากาศไม่เปียกแฉะจนน่ารำคาญ เรียกว่ามันแห้ง (Dry) ต้องใช้คำนี้จริงๆ เพราะบางครั้งมันไม่มีฝนแต่อากาศมันชื้นจนพื้นเปียก เราดูต้นไม้น้อยใหญ่แล้วก็พาลให้นึกถึงว่า ลองพาคนบ้านเรามาเดินเล่นในที่แบบนี้คงได้ร้องถามกันบ้างว่า..มาทำไมวะ ไม่มีที่อื่นจะไปดูกันแล้วหรือไง ต้นไม้หน้าตาแบบนี้ป่าแถวบ้านก็มีให้เห็นอยู่ทุกวัน..ซึ่งจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะบ้านเราทั้งสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ล้วนสุขีสุขสบาย อุดมสมบูรณ์ ทั้งพืชป่านานาพันธุ์ อาหารการกินก็หลายหลายมากมายตลอดทั้งปี เรามีป่าที่มีต้นไม้เป้งๆ สีเขียวขจีให้เห็นจนชินตา..และชินชา..ชินจนเราลืมและไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้..เราเองพูดและสารภาพได้อย่างเต็มปากว่าเราเองก็เคยรู้สึกแบบนี้ เราไม่สนใจธรรมชาติ เราไม่สนใจป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายในตัวเมือง มองและเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองจะกินจะใช้ในแต่ละวัน ไม่เคยสนใจสิ่งอื่นใด..พอมาวันนี้วันที่เรามาอยู่ที่นี่ ถึงได้เข้าใจว่า..เมื่อวันนึงที่เราไม่สามารถชื่นชมสิ่งเหล่านี้ได้บ่อยและ "ฟรี" อย่างที่เคยเป็น เมื่อวันนึงเราไปอยู่ในพื้นที่ที่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นของมีค่า เพราะมันต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาลในการดูแลรักษาป่าให้มัน "ดูเหมือนป่าตามธรรมชาติ" เมื่อนั้นเราถึงเข้าใจว่า ทำไมอากาศที่มีพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างช่วยให้มันพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตได้เติบโตตามวิถีธรรมชาติจึงสำคัญและจำเป็นกับมวลมนุษยชาติขนาดนี้..ทำไมชาว "ผิวขาว" ทั้งหลายถึงโหยหาแสงอาทิตย์และธรรมชาติกันมากมายนัก..ก็เพราะพวกเขามิได้มีสิ่งเหล่านี้ให้ชื่นชมได้ทุกเมื่อเชื่อวันจนเจนตาเมื่อผู้โชคดีที่ชื่อว่าชาวไทยเช่นเราๆ พวกเขาจึงต้อง "ยอมจ่าย" เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้..และใช่แล้ว แค่การเข้ามาดูป่าที่เหมือนไม่มีอะไรเนี่ย..มีราคาค่าตั๋วคนละ ?8 (ราวสี่ร้อยกว่าบาท)..เราคงพูดไม่ได้หรอกว่า "ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนควรหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม" เพราะมันคงดูเกร่อและน่าเบื่อเกินไป..แต่เราพูดได้แค่ว่า..บางทีมันคงจะถึงเวลาที่เราควรจะชื่นชมสิ่งรอบข้างในมุมมองที่ต่างออกไป เพราะเมื่อไหร่ที่เราไม่มีสิ่งเหล่านั้น วันนั้นมันคงจะไม่เหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา...


..


ป.ล. ไม่จำเป็นว่า "สิ่งเหล่านั้น"จะหมายถึงต้นไม้ พื้นน้ำ หรือป่าเขาหรอกนะ แต่จะเป็นอะไรก็ได้ที่เราอาจเผลอคิดไปว่า "มันจะอยู่ตรงนั้นตลอดกาล" อาจจะเป็นเขา หรือเธอคนนั้น, พ่อ แม่เรา, เพื่อนเรา, รถติด, อากาศร้อน หรือแม้ถังขยะหน้าบ้าน..เพียงแค่ลองจินตนาการว่า "ไม่มีสิ่งนั้น" ซักหนึ่งวัน..บางทีอะไรๆ ที่คิดว่าไม่เป็นไร..ก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พุธ เม.ย. 28, 2010 10:38 pm

ขอบคุณ มากๆๆ ครับ !& !&
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ พ.ค. 03, 2010 11:04 am

2May2010..พักเหนื่อย..ยกที่หนึ่ง?

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2010 @ flat


ห้าโมงกว่าแล้ว..ใกล้เวลาข้าวเย็น เย้!


ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่รู้สึกว่าได้พักเต็มที่ ได้นอนเต็มตื่น..เฮ้อ..เล่นเอาแย่แฮะ


วันพฤหัสฯที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็ได้รับโทรศัพท์จากเอเจนท์ขายบ้าน (โทรมาก่อนทนายซะอีก..ทั้งๆที่เขารู้เรื่องจากทนายเพราะทนายเป็นคนเดินเรื่องขั้นสุดท้าย) ว่าให้ไปรับกุญแจบ้านได้แล้ว...เย้ๆๆๆ


เรากับเทรฟตื่นเต้นกันมาก เราเลิกงานบ่ายโมง..เพราะเมื่อเช้าเข้างานตีห้า..(แต่ตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง..เพราะงั้นหายห่วงพอเริ่มบ่ายเราจะเริ่มงัวเงียสุดๆ)..เทรฟมารับเราที่ทำงาน ก่อนจะพาไปรับกุญแจด้วยกันที่ออฟฟิศเอเจนท์ เราตื่นเต้นกันมาก จากนั้นก็ตรงไปบ้าน..ปรากฏว่า บ้านใหม่ว่างโล่งงงง..ไม่เหมือนอย่างที่ตกลงกันไว้ว่า เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างที่เห็นยกเว้นตู้เย็นจะทิ้งไว้ให้เรา เพราะเราไม่รังเกียจ..เพราะงั้นเทรฟถึงออกอาการหงุดหงิดสุดๆ โกรธ โมโห ไม่รู้จะโทษใครดี ไม่รู้ว่าควรจะโทษทนายที่ไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย เพราะของที่มาพร้อมบ้านควรจะระบุในสัญญาซื้อขายตั้งแต่ก่อนวันแลกเปลี่ยนสัญญา แต่เราก็ไม่เห็นรายละเอียดอะไร พอถามจี้ไปก็ได้แต่บอกเรา "ขายตามสภาพที่เห็น"..แต่ไม่ได้ระบุว่า "เห็นเมื่อไหร่?" หรือควรจะโทษคนขายบ้านที่ไม่ได้ถือคำพูดของเราที่บอกว่า "เรายินดีซื้อต่อของในบ้าน" ไปให้เจ้าของบ้านได้รับรู้ หรือว่าเจ้าของบ้านอาจจะรู้แต่พอเจอทนายเราไปจี้เอาเรื่องหยุมหยิมมากๆเข้า ก็เลยแก้แค้นด้วยการขนของออกไปหมดเลย..เฮ้อ..ไม่อยากจะคิด


เหตุผลที่เทรฟหงุดหงิดก็เพราะเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้จะเป็นเหมือนของ "ขัดตาทัพ" ให้เราได้มี "เงินและเวลา" เอาไปทำอย่างอื่นก่อนในขณะที่ยังพอมีของที่จำเป็นต้องใช้ให้ทนใช้ไปก่อน แต่นี่ไม่มีอะไรเลย ..ซึ่งก็หมายความว่าค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ควรจะต้องจ่ายก็ต้องจ่าย..เฮ้อ


เรา..หงุดหงิดหนักไปด้วย ด้วยเห็นเทรฟหัวเสียประกอบกับเราเริ่มง่วงนอนตอนบ่าย แต่ไม่สามารถจะหาเวลานอนได้ ต้องจัดการกับสภาพบ้านอันว่างโล่งก่อน มันโล่งมากขนาดไม่มีแม้แต่เก้าอี้จะให้นั่ง..สมองเราสองคนหมุนติ้วพยายามคิดว่าควรทำอะไรก่อนอะไรหลัง อย่างไร เมื่อไหร่ และที่สำคัญด้วยงบประมาณที่ต่ำที่สุด


เราพยายามปลอบเทรฟให้คิดเสียว่า เราได้เริ่มต้นใหม่ทุกอย่างจริงๆ เป็นบ้านของเราจริงๆ ไม่ต้องรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่บ้านใครก็ไม่รู้


พอกลับถึงบ้านเวบกัมทรี (gumtree)-เวบขายของมือสอง หางาน ฯลฯ เลยกลายเป็นที่พึ่งใหญ่ เราเข้าไปหาตู้เย็น ตู้ซักผ้า และโซฟามือสองเป็นหลัก (เดี๋ยวจะแจกแจงให้ดูว่าทำไมต้องมือสอง)


ในที่สุดเวลาประมาณสี่ทุ่มของคืนนั้นเราก็ได้ตู้เย็น(มือสอง) ตู้ใหม่มาครอบครอง เจ้าของเดิมต้องการขายภายในวันนั้น แต่เรามาเห็นโพสต์เอาตอนค่ำแล้ว ลองส่งเมสเซจไป เขาโทรกลับมาบอกว่าให้มาเอาไปได้เลย เรามองนาฬิกา..สี่ทุ่ม เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ดึกแค่ไหนถ้าได้ตู้เย็นใหม่ในราคาห้าสิบปอนด์ (ราว 2700 บาท) ในขณะที่ตู้เย็นใหม่มือหนึ่งราคาอย่างต่ำก็ ?300 (เกือบสองหมื่นบาท!!) โชคดีว่าคนประกาศขายเขาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย เขากำลังจะย้ายกลับอินเดีย บินพรุ่งนี้เช้า พอเข้าไปบ้านเขาถึงเห็นว่าเขาแพคของหมดแล้ว กำลังตัดใจทิ้งตู้เย็นไว้อย่างนั้นเพราะไม่รู้จะทำยังไง..เป็นอันว่าโชคดีทั้งเราทั้งเขา..เขาได้เงินสดติดตัวไปอีกนิดหน่อย เราก็ได้ของที่เราต้องการในราคาถูก..The first problem is sorted!
(ไม่ต้องสงสัย..เราก็ขนมันไปบ้านคืนนัั้นแหละ จะเอามันกลับมาที่แฟลตทำไมล่ะ!)


วันต่อมา..วันศุกร์ โชคดีที่อาทิตย์นี้เราได้หยุดสองวันศุกร์เสาร์ เพราะงั้นก็เลยมีเวลาช่วยกันกับเทรฟจัดการอะไรต่ออะไรให้เรียบร้อย..แต่เราดันมีปัญหาใหม่กับตัวเอง..แขนเราไปโดนตัวอะไรต่อยมาไม่รู้..ไม่เห็นตัวแมลง รู้แต่มันเป็นตุ่มที่แขนสามตุ่ม แล้วตอนนี้มันก็บวมจนสองตุ่มเชื่อมกันจนแขนเราบวมตุ่ย อีกตุ่มแถวข้อมือก็เริ่มบวมแดง คัน และแสบร้อนเหมือนกัน เราคันตลอดเวลา เลยเอายาแก้คันที่ซื้อมาคราวก่อนทาไม่ยั้ง (เพราะเป็นที่ตาตุ่มมารอบนึงแล้วเมื่อวันก่อน พอที่เท้าหายก็มาเป็นที่แขนอีก..เฮ้อ) ทั้งๆที่ฉลากเขาบอกให้ทาได้ไม่เกินวันละสองครั้ง เพราะยาแรงมากไม่ควรใช้เกินขนาด แต่มันคัน บวม แสบร้อน แถมเริ่มปวดกระดูกแล้วด้วย ไม่รู้จะทำไง พอทายาแล้วดีขึ้นก็เลยทามันทุกครึ่งชั่วโมงเลย..ผลเหรอ? เป็นไงเดี๋ยวเราให้ฟัง


วันนี้เราเริ่มวันด้วยการเริ่มขนของบางส่วนไปบ้าน แล้วก็จะแวะซื้อของสดไปทำอาหารกลางวันที่บ้านใหม่ เพราะเตาไฟฟ้า (ที่มีทั้ง hob-หัวเตา, เตาอบและเตาย่าง) ที่แฟลตดันเจ๊งซะนี่ ทำอะไรกินไม่ได้เลย ต้องพึ่งแต่ไมโครเวฟกับเตาไฟฟ้าอันเล็กที่ทำได้แค่ย่างอะไรเล็กๆน้อยๆ เพราะงั้นจะกินอะไรช่วงนี้ต้องวางแผนให้ดีๆ เพราะผัดๆ ต้มๆ ไม่ได้อย่างใจเหมือนเดิม เราบอกเทรฟว่าเราจะทำผัดเผ็ดเนื้อกับผัดผักให้กิน เพราะที่บ้านใหม่มีเตาแก๊ส (ไม่ใช่เตาไฟฟ้าอย่างที่แฟลต) จะได้ลองด้วยว่าหัวแก๊สแรงพอจะทำผัดผักดีๆ ได้ไหม..


ผลคือวันนี้ทั้งวันพอเราสองคนเริ่มซื้อของเข้าบ้าน ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรือเพราะหิว (ส่วนเราที่แน่ๆ คือง่วงเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ มัวแต่นอนคิดว่าจะจัดการกับบ้านยังไงดี) เราเริ่มเถียงกันตลอดเวลา เทรฟยังคงหงุดหงิดอย่างต่อเนื่อง เรายิ่งแย่ใหญ่ พูดอะไรคุยอะไรกันดูเหมือนจะขัดคอกันไปหมด..จนเมื่อไปถึงบ้านเริ่มทำกับข้าวนั่นแหละ ต้องบอกว่าน็อตหลุดของจริง เราหงุดหงิดชนิดเริ่มโยนนู่นโยนนี่ หงุดหงิดงุ่นง่านชนิดเกินควบคุม แถมกับข้าวก็ออกมารสชาติและหน้าตาแย่สุดๆ เราเลยยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เทรฟพยายามเข้ามาปลอบเราบอกให้เราไปพัก ช่างมันเถอะ เรารู้สึกว่า..ความอดทนมาถึงขีดสุด ไอ้นู่นไอ้นี่ก็ผิดแผนไปหมด เทรฟก็อารมณ์เสียไม่หยุด พาลเรายิ่งแย่ไปด้วย มาทำกับข้าว ก็ทำกะทะไหม้เสียตั้งแต่วันแรก โยนเนื้อที่ซื้อมาลงไป ทีแรกคิดว่ามันหั่นมาแล้วก็เลยซื้อมาที่ไหนได้มันมาเป็นก้อนๆ แล้วงี้จะผัดให้มันสุกทั่วได้ไง จะหยิบจะจับอะไรก็หาไม่เจอ ไม่คุ้นเคยไม่เข้าที่เข้าทางซักอย่าง แถมพอจะกินก็ยังไม่มีเก้าอี้ให้นั่งพักขา เลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่..ในที่สุดเราก็ต้องโยนทุกอย่างทิ้งไป แล้ววางแผนหาอย่างอื่นกินทีหลัง..


ความรู้สึกตอนที่อาละวาดตอนนั้นสงสารเทรฟสุดๆ เรารู้ว่าเราหงุดหงิด เทรฟก็หงุดหงิด แต่เราไม่เคยเป็นอะไรเกินควบคุมขนาดนี้..จนกระทั่งเราเย็นลงเยอะแล้ว มานั่งคิดดู ก็เลยคิดว่าคงเป็นเพราะยาทาแขนที่ทามากเกินขนาด ยามีส่วนผสมของ Steroid-สเตอรอยด์ ก็เลยอาจจะทำให้อารมณ์แกว่ง..พอสงบแล้วเราขอโทษเทรฟไม่เลิก เพราะเรารู้ว่าเราทำตัวแย่สุดๆ ถ้าไม่ใช่เป็นเทรฟป่านนี้คงโดนตะเพิดหรือทะเลาะกันใหญ่โตไปแล้ว แต่เทรฟเขาเข้าใจแล้วก็ใจเย็นมากๆ ขอบคุณนะเทรฟนะ


เย็นนั้นเราเลยทำก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ให้เทรฟกินเป็นการแก้ตัว ด้วยการลองใช้หม้อหุงข้าวนั่นแหละเป็นหม้อต้มก๋วยเตี๋ยว...พออิ่มแล้วเราก็กลับไปที่เวบกัมทรีกันอีกรอบ หนนี้หาตู้ซักผ้า แล้วในที่สุดเราก็ตัดสินใจขับรถไปดูตู้ซักผ้าใหม่ (มือสอง) กันตอนเกือบทุ่ม พอไปถึงสภาพของตู้ซักผ้าดีถูกใจเราสองคน แถมคนขายกำลังจะย้ายบ้านเขาก็เลยขายทุกอย่าง เรามองไปรอบๆ บ้านแล้วก็เลยขอซื้อโต๊ะกับม้านั่งยาวมาอีกอย่าง เขาแถมเก้าอี้สตูล (Stool) ให้ด้วยอีกตัวเพราะเห็นเราชอบ ตกลงราคาทั้งหมดที่ ?85 (เฉพาะตู้ซักผ้าอย่างเดียวเขาคิด ?75 แต่พอซื้ออย่างอื่นๆด้วยเขาก็เหมาๆ ลดๆให้เรา) เพราะงี้เราจึงได้ตู้ซักผ้าในราคาราวสี่พันกว่าบาท ในขณะที่ตู้ใหม่อยู่ที่ราว ?220 เป็นอย่างน้อย (ราวหนึ่งหมื่นสองพันบาทขึ้นไป)..Another problem is sorted! Yeah!


เช้าวันเสาร์ เราพยายามเริ่มต้นวันด้วยเรื่องดีๆ ด้วยหวังว่าวันนี้ทั้งวันเราจะได้ไม่ตีกันอีก อิอิ เราชวนเทรฟไปวิ่ง ความตั้งใจเดิมจะวิ่งให้ครบสิบกิโล แต่เข่าเราไม่อำนวยก็เลยวิ่งได้แค่ครึ่งเดียวทีเหลือก็หนักไปทางเดิน..หลังจากที่เมื่อวานจัดการปัญหาไปอีกหนึ่ง วันนี้จึงเป็นคิวของโซฟา เฟอร์นิเจอร์หลักในห้องรับแขก เราอยากได้โซฟาตัวขนาดอย่างน้อยสามที่นั่ง เพราะมันจะได้ยาวพอนอนกลางวันหลังจากเราเลิกงานได้ เราสองคนไม่ชอบโซฟาหนังเพราะเวลาอากาศเย็น โซฟามันจะเย็นไม่น่านั่ง..วันนี้เราก็เลยยังคงวนเวียนอยู่บนตลาดของมือสองทางอินเตอร์เน็ต..ในที่สุดเราก็กลับไปหาเพื่อนเก่า-อีเบย์ เราเจอโซฟาอยู่สองสามตัวที่น่าสนใจ เราเองไม่ค่อยเข้าใจระบบประมูลของอีเบย์ก็เลยปล่อยเทรฟเฝ้าจอไป ข้อแย่ของการซื้อของทางอีเบย์คือ เราไม่รู้ว่าเราจะได้ของนั้นแน่ๆหรือเปล่า และราคาเท่าไหร่ เราตกลงกันเรื่องราคาที่เรารับได้ แล้วก็เฝ้าจอต่อไป จนในที่สุดเราเสนอแผนสำรองว่า ทำไมเราไม่กลับไปดูในกัมทรีอีกทีเผื่อเจออะไรดีๆ ที่เราไม่ต้องรอประมูล เพราะซื้อของทางอีเบย์นอกจากลุ้นผลการเป็นเจ้าของแล้ว ยังต้องมาลุ้นอีกว่าเราจะจัดการขนโซฟาตัวใหญ่ได้วันไหน เมื่อไหร่ เพราะรถเล็กๆของเราสองคนคงไม่ใหญ่พอจะจุโซฟาแบบที่เราต้องการ


แล้วโชคก็เข้าข้างเรา..ปรากฏว่าเมื่อวานมีคนมาลงโฆษณาขายโซฟาเพิ่มทางกัมทรี เราบอกให้เทรฟส่งข้อความทางมือถือไปถามเขาว่ารายละเอียดเป็นยังไง ผลปรากฏว่า..โซฟาที่พึ่งลงโฆษณาล่าสุด เขายินดีให้ฟรี แถมเป็นขนาดสามที่นั่ง บุผ้าอีกต่างหาก..เราบอกให้เทรฟโทรไปถามเขาให้ละเอียดแทนการส่งข้อความเรื่องการขนส่งโซฟา (เทรฟไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้าทางโทรศัพท์) ในที่สุดเทรฟก็เห็นด้วยกับเราที่ว่า ลองขับรถไปดูโซฟาก่อนว่าเราจะขนมันกลับมาด้วยรถเราได้ไหม ถ้าไม่ได้ค่อยคิดต่อว่าจะขนมายังไง ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปล่อยมันไป แล้วกลับไปประมูลโซฟาอีกตัวที่ดูไว้ทางอีเบย์..แล้วในที่สุดเราก็ได้โซฟาเป็นของเราเองตอนสองทุ่มครึ่งด้วยการบรรทุกมันบนหลังคารถแล้วเอาเชือกมัดอย่างแน่นหนา แล้วๆ ค่อยขับมันกลับบ้าน เย้! ในที่สุดเราก็จัดการปัญหาพื้นฐานไปจนหมด..ภายในระยะเวลาสามวันหลังจากย้ายเข้าบ้าน ..เฮ้อ..เหนื่อยทั้งกายและใจกันไปหลายยก


หวังว่าหลังจากนี้ทั้งเราและเทรฟคงจะรู้สึกเครียดน้อยลง สมองปลอดโปร่งมากขึ้น และสดชื่นพอจะเริ่มต้นจัดการแผนต่อไปที่เราวางไว้ในที่สุด ..เย้!
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พฤหัสฯ. พ.ค. 13, 2010 9:12 pm

พี่ เล็ก มีตอนใหม่หรือยัง ครับ !$ !$ #^
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย cokemini » เสาร์ พ.ค. 15, 2010 2:31 pm

รออ่านอยู่เหมือนกันนะคะ #&
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
cokemini
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 470
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 7:06 pm
ที่อยู่: บางนา-รังสิต

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ พ.ค. 17, 2010 9:37 pm

รอเรตติ้งอยู่นี่แหล่ะครับ #(

8May2010 -first mail from Green Park Road?

สองทุ่มสิบนาที วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม 2010 ที่บ้านเลขที่ 11 ถนนกรีนพาร์ค


เย้! ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเขียนอีเมล์ฉบับแรก..ที่บ้านใหม่เสียที..เฮ้อ


หลังจากวุ่นวาย เหนื่อยอกเหนื่อยใจกับเฟอร์นิเจอร์จำเป็นพื้นฐานสี่ชิ้นแรกคือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โซฟาและเตียงแล้ว เราสองคนก็ได้มีเวลาหายใจหายคอ ตั้งสติ และตั้งหลักย้ายของกันแบบสงบสุข อิอิ


เราสองคนนั่งคุยกัน (แบบทั้งง่วงและเหนื่อย) ตกลงกันว่าจะย้ายเข้าไปนอนบ้านใหม่คืนวันพุธที่ 5 (ที่ผ่านมา) เพราะวันอังคารที่ 4 จะมีคนมาฉีดปลวก วันพุธเช้ามีคนมาซักพรม พอเขาไปเราก็ขนของย้ายเข้ามานอนกันเลย สัญญาเช่าแฟลตสิ้นสุดวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาฯ จริงๆ ของทั้งหมดส่วนใหญ่ค่อยๆ ทยอยขนมาบ้านตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เอามากองไว้ในโรงรถ รอให้เขาซักพรมทั้งหลังให้เสร็จ (ไม่มีของมาวางเขาจะได้ทำงานง่ายขึ้น) เพราะงั้นวันพุธที่ผ่านมา (ซึ่งเผอิญเราหยุดงาน) เรามาเปิดบ้านให้เขาเข้า พอเขาไปเราก็ขนของจากโรงรถซึ่งอยู่หลังบ้านเอาเข้าบ้าน รอเทรฟกลับมาก็มาช่วยกันขนฟูก ที่นอนและโซฟาเข้าบ้านด้วยกัน ก็แหม..ยกคนเดียวไหวที่ไหน..เย็นนั้นสองคนหลับเป็นตาย ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย


วันพฤหัสฯ ที่ 6 เราเข้างานเช้า แต่เรายังไม่ค่อยมั่นใจเรื่องปั่นจักรยานจากบ้านไปที่ทำงาน ระยะทางมันไกลขึ้นแล้วก็ยังไม่ชินทาง เรากวนเทรฟให้ช่วยขับรถไปส่งแล้วขนจักรยานใส่ท้ายรถไปด้วย เราจะได้มีจักรยานปั่นกลับบ้าน วันนี้เทรฟไม่ไปทำงานเพราะต้องไปขนเฟอร์นิเจอร์จากบ้านเก่าบางส่วนที่ฝากเขาไว้ที่เวลล์ เทรฟเช่ารถตู้ขับไปเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตกบ่ายหลังเลิกงานเรานัดแนะกับเทรฟไว้ว่าจะช่วยกันขนของลงจากรถตู้ (หมายความว่าเราต้องทำตัวให้สดชื่นและมีเรี่ยวมีแรง อิอิ) แต่จากแผนที่ว่าจะกลับมางีบตอนบ่ายซักชั่วโมงก็เป็นอันชวดไปเพราะเรากลับถึงบ้านช้า แล้วเทรฟก็มาถึงบ้านเร็วกว่าที่คิด..ซึ่งก็ดีเพราะจะได้มีเวลาขนของ จัดของกันมากขึ้น ..เฟอร์นิเจอร์วันนี้เป็นโต๊ะกินข้าว เตียง (อีกหลัง) และตู้วางจาน กับเครื่องมือช่างและของเล่นของเทรฟ (ได้แก่ กล้องดูดาว, กระดานโต้คลื่น, อุปกรณ์ดำน้ำ) วันนี้เราสองคนดีใจกันมากเพราะมีโต๊ะกินข้าวให้นั่งกินกันเป็นเรื่องเป็นราว (เสียที) หลังจากนั่งกินข้าวเข่าชนกันบนโต๊ะเล็กๆ ในแฟลตมาหลายเดือน ..เพราะงี้เทรฟเลยไม่ลืมที่จะซื้อไวน์มาดื่มฉลอง ฮ่ะฮ่า


วันศุกร์ที่ 7-เมื่อวานนี้ เราหยุดงาน..อาทิตย์นี้เราได้วันหยุดงานดีมากๆ คือ ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ยาวติดต่อกันนานสุดเท่าที่เคยมีมา เหตุก็เพราะวันอาทิตย์นี้เป็นวันวิ่งแข่งการกุศล ส่วนทำไมต้องหยุดศุกร์กับเสาร์ด้วยเราก็ไม่เข้าใจท่านผู้จัดการของเราเหมือนกัน แต่ก็ถือเป็นโชคดีไป เพราะเท่ากับเรามีเวลาจัดบ้านมากขึ้นด้วย..เมื่อวานนี้เป็นวันทำความสะอาดใหญ่ แต่ไม่ใช่ทำความสะอาดบ้าน เป็นวันทำความสะอาดแฟลตก่อนส่งคืนเอเจนท์ เทรฟต้องไปทำงาน เราก็เลยอาสาไปทำคนเดียว ไม่ต้องรอจนหยุดงานพร้อมกันแล้วค่อยไปทำ (เพราะจริงๆ เทรฟก็ทำอย่างอื่นมาเยอะแล้วด้วย) เราปั่นจักรยานจากบ้านไปแฟลตใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เราให้เทรฟเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดมาทิ้งไว้ให้ตั้งแต่วันก่อนแล้ว ของที่ต้องขนล็อตสุดท้ายทิ้งไว้ใน Hallway (โถงทางเดิน) ของแฟลต (ในห้องเราไม่ใช่ทางเดินรวมนะ) แล้วก็เริ่มทำความสะอาดส่วนที่เหลือ


แฟลตขนาดไม่ใหญ่ มีห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ เรากะไว้ว่าทำซักสองชั่วโมงคงจะเสร็จ แต่ที่ไหนได้เล่นเอาเราใช้เวลาห้องละหนึ่งชั่วโมง เราทำความสะอาดทุกส่วนที่ตาเรามองเห็นและมือเราเอื้อมถึง ไม่ว่าจะเป็นเพดาน หลังคา หลังตู้ ขอบหน้าต่าง ประตู ฯลฯ สารพัดที่ที่แม้เราจะไม่เคยสนใจตลอดระยะเวลาที่อยู่มา เล่าให้เทรฟฟังเทรฟยังงงว่า..มันใช้เวลานานขนาดนั้นเลยเหรอ? เราบอกว่าเราอยากให้คนตรวจห้องเขากวาดมือไปแล้วไม่เจอฝุ่นอ่ะ..เล่นเอาเหนื่อยเลยเหมือนกัน..ส่วนเทรฟเอง ทีแรกคิดว่าจะไปทำงานอย่างสงบสุขก็กลายเป็นว่าระบบทำความร้อนที่บ้านทำงานไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือระบบนี้เป็นระบบทำความร้อนที่นอกจากทำความร้อนให้บ้านแล้วยังต้มน้ำร้อนสำหรับใช้งานด้วย ทีนี้มันเป็นแต่ฮีทเตอร์ไม่ยอมต้มน้ำร้อน เราไม่มีน้ำร้อนใช้ล้างจาน เทรฟก็เลยต้องหาช่างมาซ่อม (อย่าคิดที่จะใช้น้ำเย็นล้างจานเชียว มือได้ชาตั้งแต่ล้างได้ยังไม่ถึงครึ่ง) ช่างว่างมาซ่อมให้เมื่อวานตอนบ่ายโมง (เท่านั้น) เพราะงั้นเทรฟก็ต้องโดดงานมาดูช่าง เพราะต้องมาอธิบายให้ช่างฟังด้วยว่าเครื่อง (Boiler) ช่างใช้เวลาซ่อมไม่นานแต่เทรฟมองเวลาแล้วว่าถ้ากลับไปทำงานตอนบ่ายก็จะทำอะไรต่ออะไรที่วางแผนไว้ต่อจากนั้นไม่ทัน สรุปก็คือเทรฟโดดงานตลอดบ่าย แผนของเทรฟมีว่า เทรฟต้องไปขนของรอบสุดท้ายจากแฟลตรวมทั้งอุดรูตะปูบนกำแพงให้เรียบร้อย (ไปเช็คงานทำความสะอาดเราด้วย อิอิ..อันนี้แซวกันเอง) แล้วเย็นนี้ก็มีนัดต้องไปรับเฟอร์นิเจอร์มือสองบางส่วนที่ตกลงซื้อพ่วงไว้กับตู้ซักผ้า เพราะงั้นเทรฟก็ต้องรีบไปขนของที่แฟลตแล้วกลับมาบ้านเพื่อขนของลงจากรถแล้วจะได้ขับไปเอาของต่อ ส่วนเราพอทำความสะอาดเสร็จก็รีบปั่นจักรยานมาบ้าน มาเตรียมข้าวเย็น พอเทรฟมาถึงบ้าน ช่วยกันขนของลงจากรถแล้วก็กินข้าว แล้วก็ขับรถไปเอาของด้วยกัน..เฮ้อ..โปรแกรมแน่นเอี๊ยดดด..


เพราะงั้นเช้านี้..เช้าวันเสาร์..เราเลยตกลงกันว่า..เราจะตื่นสาย..เย้!!!
(โชคดีที่เตียงใหม่ของเรา..ซึ่งเก่าของคนอื่น..นอนค่อนข้างสบาย เราก็เลยลั้นลากันไปเลย)
เช้านี้และวันนี้ทั้งวัน โปรแกรมมีแต่ขนของ จัดบ้าน และตัดหญ้า น่าเศร้าตรงอากาศไม่เป็นใจซะเล๊ยยย..ฟ้าครึ้ม ฝนตกปรอยๆ และมีลมหนาวทั้งวัน เรามีหน้าที่ขนของที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทิ้งไว้ในโรงรถเข้าบ้านให้หมด เทรฟจะได้มีพื้นที่เอารถเข้าจอดในโรงรถได้ (เพราะจอดรถนอกบ้านตรงไหนก็ดูจะมีปัญหาไปหมด..เฮ้อ) นอกจากจะจัดของในโรงรถแล้วเทรฟยังต้องซ่อมประตูโรงรถอีก เพราะความที่มันเก่าแล้วก็ต้องค่อยๆแก้กันไปอ่ะเนอะ ขนของเสร็จก็ได้เวลาไปซื้อกับข้าว เพราะของในตู้เย็นหมดแล้ว พอกลับมาจากซื้อของก็ได้เวลาตัดหญ้า เล็มต้นไม้ในสวน โชคดีที่สนาม้หญ้าไม่ใหญ่มาก (ซึ่งเทรฟชอบใจมาก) เทรฟใช้เวลาตัดไม่นาน ส่วนเรามีหน้าที่เอากรรไกรไปเล็มต้นไม้ซึ่งมีอยู่แค่สองต้นเท่านั้นแหละ..แต่แหม..อิฉันเป็นคุณหนูอ่ะค่ะ อยู่เมืองไทยไม่เคยต้องทำหน้าที่นี้ มีแต่แม่จ้างคนงานมาทำ วันนี้ต้องมาลงมือทำเอง..โอ่..ลำเค็ญเหลือทน..อิอิ..ล้อเล่น


พอจัดการสวนหลังบ้านเสร็จ (ส่วนสวนหน้าบ้านเทรฟบอกว่าเอาไว้ก่อน) เทรฟกับเราก็มาเตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่งสิบกิโลวันพรุ่งนี้ เขาส่งอุปกรณ์ที่เป็นตัวเซ็นเซอร์อันเล็กๆ ให้ผูกติดไว้กับรองเท้าซึ่งมันจะทำหน้าที่บันทึกเวลาที่คนๆนั้นใช้ในการวิ่ง เซ็นเซอร์จะเริ่มทำงานทันทีที่คนๆนั้นวิ่งผ่านจุดสตาร์ทและหยุด ณ จุดเส้นชัย ไฮเทคดีแท้ อ้อ แล้วก็มีป้ายหมายเลขประจำตัวที่ให้กลัดติดไว้กับหน้าอกเสื้อ แบ่งเป็นสีๆ ตามระยะเวลาที่คนๆ นั้นคาดว่าจะใช้ในการวิ่ง เพราะมีการปล่อยตัวสองล็อต พวกวิ่งเร็วก็ไปก่อน พวกวิ่งช้าก็ไปทีหลัง ว่างั้น..งานนี้คนร่วมวิ่งเป็นพัน การจัดการต้องดีมากๆ ผลเป็นไงจะเก็บมาเล่าให้ฟังวันหลังนะ


ช่วงนี้นอกจากเรื่องย้ายบ้านแล้ว เรามีเรื่องราวเกิดขึ้นรอบๆตัวมากมายจนแทบจะจำเก็บมาเล่าไม่หมด เพราะทั้งง่วงทั้งเหนื่อย แต่ก็อยากเก็บมาฝากกัน


มาถึงวันนี้ ย้ายมานอนบ้านได้หลายคืนแล้ว เรากับเทรฟค่อยๆ ปรับตัวให้เข้าที่เข้าทางกับบ้านใหม่ได้มากขึ้น แม้ว่าจะยังมีงงๆ อยู่บ้างว่าอะไรอยู่ตรงไหน หรือจะเอาอะไรไว้ตรงไหน เพราะของยังคงกระจัดกระจายไปทั่วตามตู้ต่างๆ บ้างก็ยังอยู่ในกล่อง (โดยเฉพาะเสื้อผ้าเรา อิอิ..ยังไม่มีอารมณ์ขนออกจากกล่อง..ส่วนของเทรฟน่ะเหรอ ไปอยู่ในตู้เรียบร้อยตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว) เรียกได้ว่าคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าทุกอย่างจะลงตัวจริงๆ


วันนี้เก็บมาเล่าให้ฟังเท่านี้ก่อนแล้ว แล้วเรื่องเก็บตกอื่นๆ จะเก็บมาเล่าให้ฟังวันหลังนะ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ พ.ค. 17, 2010 9:38 pm

10May2010 10K run?

9.27 am @ 11 Green Park Road
Monday 10 May 2010


โอ่ยยย...ง่วงๆๆ เหนื่อยๆๆๆ บอกไม่ถูกว่าจะโทษว่าทั้งง่วงทั้งเหนื่อยเพราะเรื่องย้ายบ้านหรือเพราะวิ่งสิบกิโลเมื่อวาน เฮ้อ..


เมื่อวานวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม อีกหนึ่งวันสำคัญของเรากับเทรฟ (อิอิ) เพราะเป็นครั้งแรกที่เราสองคนเข้าร่วมวิ่งการกุศลระยะทางไกลขนาดนี้ (เอิ่ม..ถึงแม้ว่าจะสั้นมากสำหรับนักวิ่งมาราธอนอ่ะนะ) เรากับเทรฟเพียรซ้อมกันมาตั้งสองเดือนกว่า กลัวจะวิ่งไม่ถึงเส้นชัย..แต่ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ เย้!!!


งานนี้มีคนมาร่วมวิ่งเรือนหมื่น..น่าตื่นเต้นดีใจมาก เรารู้สึกดีและสนุกไปกับบรรยากาศมาก คนเยอะแยะไปหมด เขาปิดถนนย่านใจกลางเมืองเพื่อจัดงานนี้กันเลยทีเดียว นับว่าทีมจัดงานเตรียมการมาอย่างดี (ไม่ว่าจะเพราะความเป็นมืออาชีพหรือประสบการณ์หรืออะไรก็ตาม) ถนนสายต่างๆ ที่เคยพลุกพล่านไปด้วยรถราและคนเดินมีแผงเหล็กกั้นให้รู้ว่าเป็นเส้นทางวิ่งสำหรับงานนี้ ตำรวจตัวเขียวๆ ยืนเรียงรายดูแลรักษาความปลอดภัยเต็มไปหมด ดูแล้วหายห่วง ..เอ่อ..ตำรวจที่นี่เขาใส่เสื้อสะท้อนแสงเขียวๆทับเครื่องแบบน่ะก็เลยจะเห็นกันมาแต่ไกล..เรากับเทรฟตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปร่วมงานเพราะไม่อยากมีปัญหาเรื่องที่จอดรถ มันตลกตรงที่คนที่เข้าร่วมวิ่งเขาจะให้ติดชิป (chip) เพื่อบันทึกเวลาที่ใช้วิ่งไว้ที่เชือกรองเท้ารัดติดไว้ด้วยสติ๊กเกอร์สีเหลืองที่ส่งมาพร้อมกับเอกสารอื่นๆ เพราะงี้พอเราเห็นใครมีไอ้เหลืองๆที่รองเท้าเราก็จะรู้ว่าเขากำลังไปร่วมงานนี้เหมือนกัน..เทรฟก็เลยสนุกใหญ่ใครเดินขึ้นรถเมล์มาก็จ้องรองเท้าอย่างเดียวแล้วคอยหันมาบอกเราว่าคนนั้น คนนี้ก็ไปวิ่งเหมือนเรา..เหมือนเด็กๆจริงๆเชียว...


เรานั่งรถเมล์ไปถึงบริเวณใกล้จัดงาน (รถเมล์ก็ต้องมีการปรับเส้นทางการวิ่งไปตามระเบียบเพราะปิดถนน) เราไม่รู้กันหรอกว่าต้องลงตรงไหน เพราะพึ่งย้ายบ้านมาเพราะงั้นก็พึ่งเคยใช้รถเมล์สายนี้เป็นครั้งแรก แต่อย่างที่บอกไม่ต้องห่วง..เราก็ลงตามคนอื่นเขาไปสิ..คนที่มีไอ้เหลืองๆที่รองเท้าตั้งเกือบครึ่งรถ อิอิ


บริเวณจัดงานบรรยากาศคึกคักไปด้วยเสียงเพลงที่ดูเหมือนจะเป็นการจัดรายการวิทยุสดจากบริเวณงาน (เพราะงานนี้มีสถานีวิทยุ Heart FM หนึ่งในสถานีวิทยุของบริสตอลร่วมเป็นสปอนเซอร์) แล้วก็เสียงประกาศเป็นระยะๆ อย่างนึงที่เราชอบบรรยากาศการจัดงานกลางแจ้งของที่นี่ก็คือ มันไม่เอะอะหนวกหูไปหมดเหมือนบ้านเรา เพราะซุ้มสปอนเซอร์เขาก็อยู่ของเขาเงียบๆ ไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร แถมไม่มีบรรดาร้านส้มตำไก่ย่าง ลูกชิ้นทอด ฯลฯ เรียงรายจนเลอะเทอะสกปรกไปหมด (ร้านเขาไม่สกปรกหรอกแต่คนซื้อที่กินแล้วทิ้งไม่เป็นที่นี่แหละตัวดี) มองมุมนึงมันก็ดีมีอะไรให้กินเยอะ แต่มันไม่ดีตรงเราไม่รักษาความสะอาด..ที่นี่ร้านขายของเขาจำกัดจำนวนมันเลยดูสะอาดและเรียบร้อย แต่ก็อย่างว่าตัวเลือกก็จะน้อยตามและราคาไม่ถูก


เราเดินวนรอบๆ บริเวณงานทั้งเพื่อสร้างความคุ้นเคยตามคำแนะนำในเอกสารจัดงานและเพื่อหาที่ฝากกระเป๋าและห้องน้ำ การจัดการเรื่องป้ายต่างๆ เขาทำได้ดี ป้ายทุกอย่างทำเป็นสีเขียวสะท้อนแสงติดอยู่ในระดับเหนือศีรษะขึ้นไปเพื่อง่ายแก่การสังเกต ขนาดอักษรตัวใหญ่..เอ้อ..เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่เคยเห็นพี่ไทยเคยทำให้มันดี เดินงานหนังสือทีไรหากันไม่เจอซ้าากที..เฮ้อ เรากับเทรฟเดินไปฝากกระเป๋าก่อน บริเวณฝากกระเป๋าเป็นเต็นท์ที่มีการแบ่งโซนตามสีป้ายเลขประจำตัวของนักวิ่ง และแบ่งเป็นล็อกๆตามช่วงหมายเลขอีกที เพื่อง่ายแก่การจัดการน่ะนะ กระเป๋าเขาก็ให้ติดป้ายกระดาษที่มีรายละเอียดชื่อที่อยู่ของเจ้าของกระเป๋าพร้อมหมายเลขประจำตัว ป้ายนี้เขาส่งให้พร้อมกับเอกสารที่่ส่งมาให้ทางไปรษณีย์ก่อนหน้านี้


ฝากกระเป๋าแล้วเราก็เดินไปหาห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่เป็นตู้ๆพลาสติกแบบห้องน้ำชั่วคราว เราไม่ได้ใช้บริการเพราะขี้เกียจต่อคิว ส่วนเทรฟประทับอกประทับใจเพราะเขามีการจัดบริเวณโถปัสสาวะชายไว้ร่วมด้วยนอกเหนือจากตู้ๆ ที่เป็นห้องน้ำแบบมีที่นั่ง เพราะผู้ชายไปฉี่มันก็เร็วกว่าอยู่แล้วจริงมะ


เสร็จจากการจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพพร้อมวิ่งแล้ว เราก็ไปรอกันที่จุดออกตัว อย่างที่เคยเล่าไป (หรือเปล่าวะ) ว่าการวิ่งครั้งนี้เนื่องจากมีคนร่วมวิ่งมากมาย และหลากหลายระดับความสามารถ เขาก็แบ่งล็อตการปล่อยตัวออกเป็นสองระลอก รอบแรกบรรดาป้ายหมายเลขที่เหลืองและสีขาว คือพวกวิ่งเร็วว่างั้น ส่วนอีกล็อตเป็นสีเขียวกับสีแดง เราอยู่สีเขียว สองล็อตปล่อยตัวห่างกันสิบห้านาที..งานนี้จะเพอร์เฟ็คมากถ้ามันมีแดด! อากาศเมื่อวานมีแต่เมฆ (โชคดีไม่มีฝน) ไม่มีแดดแม้แต่รำไร ทำเอาระหว่างรอปล่อยตัวนักวิ่งยืนสั่นไปตามๆกัน โชคดีเราเอาหมวกคู่ใจมาปิดหูปิดหัวไม่งั้นกว่าจะออกตัวมีหวังหูชา..


ระยะทางสิบกิโลเมตรมีป้ายบอกระยะทางพอให้เป็นกำลังใจทุกๆ กิโล มีบรรดาทีมงาน ญาติมิตรเพื่อนฝูงแล้วคนที่อยู่แถวนั้นคอยออกมายืนดู มาเชียร์ มาให้กำลังใจกันเป็นระยะๆ น่ารักมากๆ เพราะอย่างที่บอกคนที่เขาวิ่งเร็วหรือวิ่งเป็นประจำมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับบรรดามือสมัครเล่นหรือมาวิ่งเพื่อการกุศลหรือเพื่อเอาสนุกนั้น สิบกิโลเป็นระยะทางที่ไม่น้อยเลย การมีคนคอยตะโกนให้กำลังใจ "ทำดีแล้ว วิ่งต่อไป" "เกือบถึงแล้ว สู้ๆๆ" ฯลฯ มันก็เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจเล็กๆน้อยๆ จริงมะ


เราชอบบรรยากาศระหว่างการวิ่งมากๆ เพราะคนที่มาร่วมงานนี้ต่างก็มาด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันไป บางคนก็มาเพื่อองค์กรการกุศลที่ตนสนับสนุนอยู่ บางคนก็มาวิ่งเพื่อคนที่เขารัก บางคนก็มาเพื่อสนุก บางคนก็มาเพื่อสร้างสีสันให้งาน บางคนก็มาวิ่งเอาจริงเอาจัง บางคนก็มาเพราะอยากลอง ฯลฯ เราเลยเห็นคนแต่งตัวแปลกๆ น่ารักๆ พอให้อมยิ้มขำๆไปตลอดทาง เพราะมีทั้งสกูปีดู (Scoopy doo) ที่แต่งชุดเป็นหมาทั้งตัว, นักธุรกิจที่ใส่สูทมาร่วมวิ่งแต่แน่นอนต้องใส่รองเท้าผ้าใบ (แหม..เขาไม่ใช่นักธุรกิจจริงๆ อยู่แล้วล่ะ มาแบบขำๆ ฮี่), นางฟ้าตกสวรรค์, เจ้าสาวที่หลงทางมา, มนุษย์แฟนต้า! (ชื่อนี้เราตั้งเอง เพราะเขาใส่ชุดรัดรูปสีสันแสบตาปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบในโฆษณาแฟนต้า), พี่ทหารที่มาพร้อมเครื่องหลัง (กระเป๋าเป้ใบใหญ่), บางคนก็อุ้มตุ๊กตาตัวใหญ่ไปด้วย ฯลฯ


และแน่นอนว่าคนที่มาร่วมก็มีทุกเพศทุกวัย ที่น่าสนใจก็คือคนที่ติดป้ายสีขาวและสีเหลือง (บรรดาคนวิ่งเร็วทั้งหลาย) มีไม่น้อยที่อายุอานามเลยเรียกได้ว่าเป็นผู้สูงอายุ แต่ขอประทานโทษฟิตอย่าบอกใคร


ครบระยะทางสิบกิโล ณ จุดเส้นชัย แน่นอน น้ำและผ้าห่ม (ทำจากกระดาษฟอยล์) มีเตรียมพร้อมไว้รอ นอกจากนั้นแล้วนักวิ่งทุกคนจะได้รับของแจกจากบรรดาสปอนเซอร์ที่ใส่ถุงมาให้พร้อมสะพายเสร็จสรรพ เดินต่อไปก็จะมีเหรียญ (เงิน)ให้เป็นของที่ระลึก และที่ขาดไม่ได้ก็คือเสื้อยืด 10K run (วิ่งมาทั้งหมดก็เพื่อเสื้อตัวนี้แหละ ฮี่ฮี่) ซึ่งตั้งโต๊ะแจกได้เก๋ไก๋มาก เพราะมีป้ายเขียนเสร็จสรรพว่าไซส์อะไรมองเห็นเด่นชัดมาแต่ไกล..เป้าหมายต่อไปก็คือไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้..คิวยาวเหยียดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่โชคดีที่เต็นท์หมายเลขของเราแถวสั้นนิดเดียวเราก็เลยได้กระเป๋าเร็วกว่าที่คิด เสร็จสรรพเราชวนเทรฟออกจากงานอย่างด่วนเพราะอากาศหนาวเหลือใจ อากาศแบบนี้พอหยุดวิ่งแล้วก็ต้องเรียกว่าเดินสั่นกันเลยทีเดียว


พอเราสองคนกลับถึงบ้านก็รีบจัดการหาอะไรกิน แล้วก็ต้องไปจัดการธุระอีกมากมายที่รออยู่ต่อไป กว่าจะเสร็จสรรพพร้อมเข้านอนก็เกือบห้าทุ่ม..เพราะงี้ก็เลยไม่รู้ว่าที่ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงอยู่นี่เป็นเพราะวิ่งหรือเพราะงานบ้าน ฮี่ฮี่


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ พ.ค. 17, 2010 9:39 pm

11May2010 another-not-sunshine day?

เจ็ดโมงครึ่งกว่าๆ วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2010 ที่บ้านเลขที่ 11 ถนนกรีนพาร์ค


วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติเพราะต้องไปทำงานเช้ากว่าเดิม อิอิ เข้างานเก้าโมงเช้าไม่ใช่เวลาทำงานปกติของเรา แต่วันนี้ไปเข้างานแทนลีน่า เพราะเธออุตส่าห์ทำงานแทนเราเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ให้เราได้ไปวิ่ง 10K ...และสถิติออกมาแล้วว่า เราสองคนกับเทรฟใช้เวลาเท่ากันเป๊ะคือ 1 ชั่วโมง 8 นาที 52 วินาที...โว้ว..ดีกว่าที่คิด เพราะตอนซ้อมใช้เวลาประมาณชั่วโมงยี่สิบนาที เมื่อวานเทรฟมีการมาแหย่ว่าอีกสองสามเดือนข้างหน้าเขามีแข่งฮาร์ฟมาราธอนนะ (Hafl marathon=20K) สนใจมะ ฮี่ฮี่..เราบอกเทรฟว่าเรายังอยากวิ่งต่อไปนะ แต่เราคิดว่าถ้าจะวิ่งไกลกว่านี้คงต้องซ้อมหนักกว่านี้..เทรฟบอกว่าใช่แล้ว เพราะวิ่งสิบโลที่ผ่านมาโปร่งหยุดพักตั้งหลายรอบ ถ้าวิ่งฮาร์ฟมาราธอนคงต้องมาหยุดแบบนี้ไม่ได้..แล้วถ้าเราลองสมัครร่วมแข่งเพื่อดูว่าเราจะวิ่งรอดไหมเนี่ย มันจะแพงไปไหม..เราถามเทรฟแบบแบ่งรับแบ่งสู้.. อืม ก็คนละสามสิบกว่าปอนด์น่ะโปร่ง (ราวๆ 1500 บาทขึ้นไป)..เอ่อ..งั้นไว้ซ้อมให้ชัวร์ๆก่อนเนอะเทรฟเนอะ แฮ่


เมื่อวานปั่นจักรยานจากบ้านไปทำงานวันแรก ยังกะเวลาไม่ค่อยถูก จากที่ว่าจะออกจากบ้านเร็วกว่าปกติสิบนาที กลายเป็นว่าต้องออกจากบ้านช้ากว่าที่ตั้งใจไปตั้งห้านาที..จะเพราะอะไรล่ะ ก็มัวแต่เมาท์กับเพื่อนบ้านน่ะสิ..


ต้องบอกว่าใช้ชีวิต "แบบคนอังกฤษ" ที่นี่เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์และยังทำเรางงอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ เรียกว่ายังปรับตัวไม่ทันว่างั้นเหอะ..เวลาเราคุยกับใครเรื่องการใช้ชีวิตที่นี่ (คนอังกฤษ)ทุกคนที่นี่จะพูดทำนองเดียวกันว่า คนข้างนอก (ต่างชาติ) มักมีแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตของคนอังกฤษตามแบบที่หนังฮอลลีวู้ดสร้าง ประมาณว่าถ้าไม่เป็นแบบผู้ดีอังกฤษที่ใส่กระโปรงสุ่มยาวลากพื้น ใส่สูทแบบสามชิ้น มีนาฬิกาพกในกระเป๋า อยู่บ้านคฤหาสถ์กลางทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ขี่ม้า ขับเกวียน ก็คงออกแนวชีวิตคนทำงาน (เงินเดือนเยอะ)ในลอนดอนตามสไตล์บริเจ็ด โจนส์ซะละมัง..แต่เอาจริงๆ ถ้าจะให้รู้จักว่าคนอังกฤษอยู่กินยังไงต้องดูละคร(น้ำเน่า)ของที่นี่ต่างหาก ละครอย่าง Coronation Street, Emerdale, Home and away หรือ Eastenders ละครพวกนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าทึ่ง เพราะแต่ละเรื่องสร้างและฉายยาวนานเกินสิบปี เรียกว่าดูกันไปตามพัฒนาการของตัวละครเลยทีเดียว เราพูดได้ไหมหมดว่าแต่ละเรื่องเกี่ยวกับอะไรเพราะดู Coronation Street อยู่เรื่องเดียว เรารู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าละครน้ำเน่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่นี่ เพราะคนที่ดูละครแต่ละเรื่องก็จะติดตามเรื่องนั้นๆ เพียงเรื่องเดียว (ยังไม่เคยเจอใครดูหลายเรื่องพร้อมกัน) มีแม้กระทั่งการแบ่งชนชั้นว่าใครดูเรื่องอะไรกันอีกต่างหาก


ละครน้ำเน่าที่นี่ไม่เหมือนละครน้ำเน่าสไตล์บ้านเรา (ซึ่งเทรฟเรียกว่าสไตล์อเมริกัน) หมายถึงการมีชีวิตที่ออกแนวเพ้อฝันนิดๆ ว่าตัวละครหลักจะมีการพลิกผันจากคนจน ไม่มีอะไรเลยกลายเป็นมหาเศรษฐี ไม่ว่าจะด้วยการแต่งงานผ่านความรักความชนชั้นหรือการค้นพบภายหลังว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐีที่เผอิญตกกระป๋องไปพักใหญ่ ละครของคนอังกฤษที่นี่กลับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตความเป็นไปของคนธรรมดาๆ นี่แหละ ที่มีทั้งสุข เศร้า งี่เง่า และ.."มันทำไปทำไมวะ?" เรียกว่าเหมือนดังดูชีวิตอย่างเราๆ ผ่านหน้าจอทีวีนั่นแหละ ตอนพยายามหัดดูทีแรกก็ยังงงๆ ว่า "ตรูจะดูไปทำไมเนี่ย ชีวิตตรูเองก็มีเรื่องให้ต้องคิดอยู่แล้ว..แล้วนี่มันบันเทิงตรงไหนหว่า?" และที่ต้องใช้คำว่า "หัดดู" เพราะด้วยนิสัยเราที่ไม่ดูละครประกอบกับตัวละครมีมากมายมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น Corrie (ชื่อเล่นของ Coronation Street) เรื่องราวประกอบไปด้วยชีวิตของคนที่อาศัยอยู่บนถนนเส้นดี มีกันอยู่มากกว่าสิบครัวเรือน (ก็เหมือนอย่างชีวิตจริงๆอ่ะนะ) บ้านนั้นเป็นอย่างนั้น บ้านนี้เป็นอย่างนี้ ลูกบ้านนี้แต่งกับคนนั้น เลิกกับคนนี้ บ้านนี้มีเรื่องมีราวแบบนั้นแบบนี้ ฯลฯ เรียกว่าวนเวียนกันไปมา..ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมมันถึงเล่นยาวนานหลายสิบปีและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ..ก็แหม..อย่างเรื่องนี้เนี่ย ดูกันตั้งแต่รุ่นพ่อเทรฟเชียว จนป่านนี้ลุงเทรฟก็อายุอานามใช่น้อย..คอรี่ก็ยังอยู่คู่ฟ้าเมืองอังกฤษและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆอีกต่างหาก..


อย่างที่บอกแล้วมันบันเทิงตรงไหน?? ตรงนี้แหละที่เราพยายามหาคำตอบ แล้วเราก็ตอบตัวเองแบบงงๆว่า ละครคนอังกฤษเป็นละครสะท้อนชีวิตจริง ช่วงไหนสถานการณ์เป็นไง ละครก็มีเรื่องราวใกล้เคียงกัน แต่อย่างหนึ่งที่เห็นชัดจากละครและทำให้เรามอง "วัฒนธรรมฝรั่ง" ต่างออกไปก็คือ การสอดรู้สอดเห็น เราเคยมองว่าฝรั่งต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจกัน แต่หากละครเป็นตัวสะท้อนสังคมอย่างที่ว่า เราพูดได้เลยสังคมที่นี่ "อยากรู้อยากเห็น" แทบจะไม่ต่างจากเมืองไทยเลยทีเดียว..(เฮ้อ..อุตส่าห์หนีมาอยู่ซะไกล ยังตามมาหลอกหลอนกันอีก..ไอ้นิสัยแบบนี้เนี่ย)


ข้อสรุปนี้ได้หลักฐานสนับสนุนกับตัวเองก็ด้วยเพื่อนบ้าน "คุณซูซาน" นี่แหละ ซูซานอยู่ที่นี่มาคงแทบจะทั้งชีวิต อย่างที่บอกว่าในซอยตันกลมๆ เล็กๆ ที่นี่มีบ้านอยู่ทั้งหมดแค่สิบกว่าหลัง ซูซานอยู่บ้านรั้วติดกัน เมื่อวานได้คุยกันซูซานเล่าประวัติบ้านหลังนี้ให้ฟังตั้งแต่สมัยแม่ของเจ้าของบ้านคนเดิมอยู่ (และแน่นอนเธอจะรู้จักเจ้าของบ้านเดิมเป็นอย่างดี) เล่าประวัติบ้านยังไม่พอ ยังแถมรายงานรายละเอียดเพื่อนบ้านหลังต่างๆ ทั้งถัดไปและตรงข้ามให้ฟังอย่างละเอียด (แหม่..ลืมเอากระดาษมาจดตอนเธอเล่า จะได้จำได้วันหลังเวลาเธอพูดถึงใครให้ฟังอีก..เฮ้อ..)


ไอ้การมีเพื่อนบ้านแสนดีเป็นหูเป็นตาให้แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป วันก่อนหลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้สองวัน ก็มีจดหมายน้อยสอดการ์ดกับจดหมายเขียนมาแสดงความยินดีสำหรับการย้ายเข้าบ้านใหม่ (เซอร์ไพรส์!!) เราอ่านการ์ดด้วยความอึ้ง พยายามมองตามคนที่มาสอดการ์ดที่ประตูบ้านว่าบ้านอยู่ตรงไหน (เพราะเราเห็นเขาพึ่งเดินออกไปพอดี) ..การณ์กลายเป็นว่าอีกพักใหญ่เธอกลับมาแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ พอดีเทรฟกลับมาแล้วก็เลยได้คุยพร้อมๆกันเลย..ไอรีนเพื่อนบ้านผู้แสนดี (อีกเช่นกัน) มาทักทายแนะนำตัวเอง พร้อมบรรยายรายละเอียดเพื่อนบ้าน และบอกว่าอีกว่าเธอกับคนในละแวกนี้ร่วมกันตั้ง Neighbour Watch Scheme คือเพื่อนบ้านช่วยกันเฝ้าระวังอันตรายในพื้นที่ละแวกบ้าน ใครเห็นอะไรผิดปกติอะไรก็ช่วยกันสอดส่องดูแลแล้วก็แจ้งตำรวจว่างั้น..เราฟังแล้วก็..อืมดีเว้ย..ไม่ต้องจ้างยามหรือติดสัญญาณกันขโมยให้เสียเงิน..แต่อย่างว่า เหรียญก็มีสองด้าน การเฝ้าระวังทีดีก็หมายถึงการจับตามองอย่างใกล้ชิด..ตอนไอรีนมาคุยด้วย เธอรู้กระทั้งว่าเราทำงานที่ไหน ทั้งๆที่ข้อมูลนี้เราบอกซูซานไปหลายเดือนก่อนตอนที่ขี่จักรยานแวะมาดูบ้านตั้งแต่ยังไม่ย้ายเข้า ตอนนั้นไม่คิดว่าเธอจะสนใจหรือแม้แต่ฟังเราถนัด (เพราะสำเนียงทะแม่งๆของเรา) แต่ที่ไหนได้มีการส่งผ่านข้อมูลกันอย่างทั่วถึงซะด้วย..อะเมสซิ่งจริงๆ


เพราะความที่ดูแลกันอย่างใกล้ชิดนี่แหละ..เราเริ่มรู้สึกว่า..เอ่อ..มันชักจะเยอะไปไหมคะ?? คือหลังบ้านเรามันก็มีต้นไม้อยู่ไม่กี่ต้นหรอกนะ และมีต้นนึงที่มันไม่ได้มีท่าทางจะฟื้นคืนชีพมารับแสงตะวันเช่นเพื่อนๆ เรากับเทรฟก็กำลังสงสัยว่า..เอ๊ะ หรือว่ามันจะจำศีลนานเป็นปกติ เราควรจะรอดูซักอีกสองสามแดดไหม (เอ่อ..หมายถึงว่าอาจจะนานกว่าสองสามวัน เพื่อนับให้ครบสองสามแดด) เพื่อมันจะผลิดอกออกใบเช่นต้นอื่น ไม่งั้นมันก็คงแปลว่ามันตายแล้วแหงๆ (คือต้นไม้ที่นี่เวลามันผลัดใบเข้าช่วงหน้าหนาว มีหลายต้นมากที่ดูเหมือนต้นไม้ยืนต้นตาย แต่อากาศอุ่นขึ้นมันก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกที) ข้อสงสัยเรื่องต้นไม้ต้นนี้ไม่ต้องรอนานเพราะทั้งเราและเทรฟต่างได้รับคำ "แนะนำ" ที่ตรงกัน (แม้ว่าจะต่างวันกันก็ตาม) จากคุณซูซานว่า..ต้นไม้ต้นนี้ตายมาหลายปีแล้ว ตัดทิ้งไปได้เลย (แปลได้อีกนัยนึงว่า..ฉันทนเห็นต้นไม้ต้นนี้ยืนตายมาหลายปีแล้วตั้งแต่เจ้าของบ้านคนเก่า เธอช่วยจัดการฟันมันทิ้งที่เถอะ)..เฮ้อ..เรากับเทรฟเลยมองหน้ากันแล้วตกลงกันว่า เราคงทิ้งระยะเรื่องการตกแต่งสวนทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านไว้นานไม่ได้แล้ว..เทรฟให้เหตุผล Keep neighbour happy (เพื่อความสบายใจของเพื่อนบ้าน)..เฮ้อ ตกลงมันบ้านตรูหรือบ้านใครวะเนี่ย??


อ๊ะ..เพื่อความยุติธรรม เราจะบ่นคุณซูซานเธอแต่เพียงฝ่ายเดียวก็เกรงว่าจะไม่ยุติธรรม เพราะเมื่อวันที่เราเอาคนมาฉีดยาฆ่าปลวก วันนั้นทั้งเราทั้งเทรฟต้องไปทำงาน ไม่มีใครอยู่บ้าน เทรฟมาเปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้วก็กลับไปทำงาน พอตอนเย็นกลับมาเช็คบ้านเทรฟก็ยังอุตส่าห์รู้ว่าคนฉีดปลวกกลับไปประมาณสี่โมงเย็น..ถามว่าเทรฟรู้ได้ไงน่ะเหรอ..ก็คุณซูซานบอกไง..


อย่างว่าอ่ะนะ..มีเพื่อนบ้านดีๆ มันก็ดีแบบนี้แหละ อิอิ


ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ พ.ค. 21, 2010 11:54 am

20May2010 ห่างหายไปนาน..พอหายเหนื่อยแล้วก็กลับมาใหม่ :)

15.24 วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2010 ที่บ้านกรีนพาร์ค

ห่างหายไปนาน เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ต้องหาเวลาไปตั้งหลักพักผ่อนให้สติกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเดิม..วันนี้ก็เลยได้มีโอกาสกลับมาอัพเดทเรื่องราวให้เพื่อนๆฟัง

ช่วงนี้เกิดเรื่องมากมายทั้งเมืองไทยและที่นี่

ที่เมืองไทยสถานการณ์ก็ครุกรุ่น การปราบปรามมาถึงจุดสิ้นสุดและอาจจะรุนแรงที่สุด เราตามข่าวเมืองไทยผ่านสำนักข่าวที่นี่จากที่ไม่ได้ตั้งใจจะตาม กลายมาเป็นตามอย่างต่อเนื่อง เพราะบีบีซีพาดหัวเรื่องความรุนแรงเสียใหญ่โต วันนี้หนังสือพิมพ์ดิอินเด็บเพ็นเดนท์ (The Independent) ถึงขั้นขึ้นภาพหน้าหนึ่งเป็นข่าวพาดหัวข่าวใหญ่ข่าวเดียวเลย (จากเดิมที่กะจะซื้อ The Times มาอ่าน เป็นอันต้องเปลี่ยนใจ อิอิ) แต่เดิมเราเลิกตามข่าวเมืองไทยตั้งใจปันทั้งตัวและใจมาอยู่อังกฤษ เพราะเจ็บหนักมาตั้งแต่ครั้งทำงานการเมือง มาอยู่ที่นี่ตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้สดใสไฉไลกว่าเดิม แต่แล้ว..อ่ะนะ..คนเราสันดานเดิมมันแก้ยาก..พอเห็นเขารายงานข่าวการเมืองแบบ "ไม่ครบ" เราก็เกิดฉุนใจแทบขาด.. "แล้วทำไมไม่รายงานล่ะ ว่าทำไมพวกเสื้อแดงถึงรักทักษิณนัก!!! ก็มันเอาเงินภาษีของประเทศไปหว่านซื้อเสียงล่วงหน้าไว้ซะขนาดนั้น..แล้วทำไมไม่บอกล่ะว่าตอนนี้ทักษิณหนีโทษจำคุกอยู่จนต้นระหกระเหินไปทั่ว..แล้วทำไมไม่บอกล่ะว่า ทักษิณคนที่เสื้อแดงรักนักหนา แต่ประเทศอังกฤษไม่ยอมให้ลี้ภัยการเมือง ประกาศจะส่งตัวกลับเมืองไทยทันทีถ้าโผล่มาให้เห็นเมื่อไหร่.." "อย่าเอาแต่บอกสิว่า..ประชาชนเหล่าเสื้้อแดงส่วนใหญ่คือคนจนจากทางภาคเหนือและอีสานของไทย ที่พยายามต่อต้านรัฐบาลที่มีทหารหนุนหลัง นำโดยนายกรัฐมนตรีที่มีจบจากอีตัน-อ็อกฟอร์ด.." ฮึ่ม.. พูดเรื่องการเมืองแล้วของขึ้น..บอกแล้วๆๆ เขาห้ามคุยเรื่องการเมืองกัน

อ่ะ เลิกบ่นเรื่องการเมืองเมืองไทย หันไปสนใจการเมืองในอังกฤษ ช่วงนี้รัฐบาลใหม่พึ่งถือกำเนิดเป็นรัฐบาลผสมรัฐบาลแรกในรอบหลายสิบปี(เอ๊ะ หรือนานกว่านั้นหว่า จำไม่ได้) ของประเทศนี้..คนที่นี่ตื่นเต้นกันมาก..ขำดี ตอนที่เราตามข่าวว่าสรุปแล้วพรรคที่ได้ชนะเลือกตั้งได้เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งก็คือพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) แต่ไม่ได้เสียงข้างมากในสภาจะทำการตกลงกับพรรคที่ได้คะแนนเสียงรองลงมาในลำดับสามได้ยังไง (แน่นอนว่าต้องไม่ใช่พรรคที่ชนะเลือกตั้งอันดับสองเพราะเป็นพรรคแรงงาน (Labour Party) เพราะถือว่าเป็นการเมืองต่างขั้วกัน) ในความรู้สึกเราตอนที่ตามข่าว เราว่าไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองหรอกที่ตื่นเต้น นักข่าว และประชาชนก็ตื่นเต้น ต่างรอดูว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ..เราแอบแซวกับตัวเองเล่นๆ ว่า แหม..ทำเป็นไม่ชินกับการตั้งรัฐบาลผสม..นี่ ต้องไปดูเมืองไทย บ้านเราผสมกันเก่งจะตาย เผลอๆ มีสูตรความเป็นไปได้ให้ดูตั้งแต่วันประกาศผลเลือกตั้ง นักการเมืองบ้านเราคิดเลขเก่งจะตาย..หักลบบวกเพิ่มอย่างเร็ว..ไม่กี่วันก็รู้ว่าใครเป็นพรรคสำคัญที่จะมีผลให้ใครได้เป็นนายกฯ อิอิ..

แต่รัฐบาลผสมที่นี่ให้บรรยากาศที่ต่างออกไปในสายตาของเรา เมื่อครั้งอยู่เมืองไทยรัฐบาลผสมสาม-สี่-หรือห้าพรรค ต่างจัดสรรแบ่งขั้ว โชว์ความสำคัญของตนผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีในโควต้า ซึ่งในเรื่องนี้ที่ไหนๆ ก็คงทำไม่ต่าง แต่ที่นี่เรารู้สึกอย่างมากว่า ทุกคนจับตาและให้ความสำคัญกับแนวนโยบายที่รัฐบาลผสมจะคลอดออกมา เพราะตอนหาเสียงคุณก็ห้ำหั่นและประกาศกันไว้โจ่งแจ้ง มาวันนี้พอรวมกันแล้วจะมากลับคำ คนที่นี่เขาความจำดีไม่มีทางปล่อยให้ลอยนวลไปได้ง่ายๆ..

ความต่างอย่างสำคัญที่เราเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ รัฐบาลที่นี่ใช้มาตรการภาษีกันเป็นว่าเล่น ก็อย่างว่า เวลาคนเราไม่มีเงิน นอกจากประหยัดแล้ว ถ้ามันยังมีเงินเหลือไม่พอ มันก็ต้องหารายได้เพิ่ม ..ข่าวแว่วมาดังๆ ว่ารัฐบาลจะขึ้นภาษี Capital Gain Tax (CGT)-คือเงินภาษีที่เก็บจากกำไรที่มีการขายทรัพย์สิน (รวมถึงอสังหาริมทรัพย์และหุ้น) เพิ่มขึั้นจาก 18% เป็น 40% งานนี้เล่นเอาบรรดาคนมีตังค์ที่รักพรรคอนุรักษ์นิยมหันมาค้อนกันให้ตากลับ เพราะกระทบกับเงินในกระเป๋าพวกเขาอย่างจัง..ก็แหม..คนจนๆที่ไหนจะมีปัญญาหาบ้านหาหุ้นมาเปลี่ยนมือซื้อขายกันบ่อยๆ จริงมะ..ภาษีตัวนี้บ้านเราเรียกอะไรใครรู้ช่วยบอกด้วย เพราะอยู่เมืองไทยไม่เคยสนใจ มาอยู่นี่เรื่องภาษีเป็นเรื่องที่ต้องคิดจริงจัง ..ให้ข้อมูลเพิ่มเติม..เผื่อว่าจะช่วยให้พี่น้องชาวไทยสุขกายสบายใจขึ้น..ภาษีรายได้หัก ณ ที่จ่ายที่นี่มีสองอัตรา อัตราเบื้องต้นคือ 20% อัตราที่สองคือ 40% ส่วนพวกที่รวยจัดๆ มีรายได้ต่อปีเกินแปดล้านขึ้นไปจ่าย 50% จะเห็นว่าภาษีที่นี่โหดมากๆ ยังไม่นับภาษีรูปแบบอื่นๆ อีกเพียบ..เพราะงั้นพี่น้องชาวไทย โปรดสบายใจว่ายังไงท่านก็ยังถูกรีดเงินในกระเป๋าน้อยกว่าชาวเราทางนี้ อิอิ

หมดเรื่องการเมือง (ดีกว่า) นอกจากเรื่องภายนอกแล้ว เรื่องภายในหรือเรื่องส่วนตัวเราเองก็สารพัดต้องจัดการ

เรื่องที่ทำงานที่เหตุให้ต้องควงสามกะรวด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านเราทำงานยาว 11 ชั่วโมง เพราะไม่มีใครมาทำได้ เป็นครั้งแรกที่ทำงานจนรู้สึกเกือบเป็นลม เราเริ่มงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กว่าจะได้นั่งพักเป็นเรื่องเป็นราวก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็น พอหมดวัน เช้าวันจันทร์ก็เริ่มใหม่ตอนตีห้า..เล่นเอาทำงานแบบเหมือนคนเดินละเมอไปทั้งกะ อิอิ

เรื่องจัดบ้านที่มีรายการต้องทำเป็นหางว่าวเลยตกหนักที่เทรฟ เพราะเราเหนื่อย ง่วงและเพลียมากเกินไป เทรฟทำ จัดการสารพัด..พึ่งรู้ว่าสามีเราสารพัดประโยชน์ก็ตอนย้ายเข้าบ้านใหม่นี่แหละ..ทำไมน่ะเหรอ..

..ซื้อเครื่องซักผ้ามาใหม่ ต้องต่อท่อระบบน้ำดี น้ำทิ้ง..เทรฟทำได้
- ประตูโรงรถผุ ไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น..เทรฟซ่อมได้
- หญ้าในสวนทั้งหน้าบ้านหลังบ้านเริ่มรกสูง..เทรฟจัดการ
- ศรีภรรยาอยากช่วยดายหญ้า แต่ช่วยไปช่วยมาคราดสแตนเลสที่พึ่งซื้อมาใหม่ดันหักซะนี่..เทรฟแอบบ่นว่า...เขาเอาไว้ดายหญ้าอย่างเดียว ไม่ใช่เอาไปถากดิน (อ้าว..ก็ที่บ้านดิฉันมันสารพัดประโยชน์นิ..)..มะเป็นไร..เทรฟซ่อมได้..เทรฟมีเครื่องเจียรเหล็กด้วย..อึ้งไปเลยเรา!!!
- ถาดไม้ที่เอาไว้ใช้ใส่ช้อนส้อม วันนี้เกิดเปลี่ยนใจอยากเอาไปใช้ทำอย่างอื่น..เทรฟบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการดัดแปลงให้ใหม่
- พื้นลิ้นชักหลุด ฝาตู้พัง ประตูโรงเก็บของผุ ฯลฯ..ไม่มีปัญหา..เทรฟซ่อมเองหมด...หรือแม้แต่..

เทรฟ..โปร่งหิวแล้ว..แต่ขี้เกียจทำกับข้าว..มะเป็นไร..เทรฟทำให้กิน
โปร่ง..ผมรีดเสื้อของผมหมดแล้ว เหลือแต่เสื้อคุณอ่ะ..ไม่..โปร่งไม่รีด โปร่งไม่ชอบรีดผ้าอ่ะ..อ้าว..เหรอ..งั้นเดี๋ยวผมรีดเองก็ได้.. (ฮ่า)

ฮี่ฮี่ สารพัดเทรฟจะทำ..เทรฟทำจนเราเกรงใจ ต้องหายเหนื่อยเร็วไว จะได้มาช่วยกันทำงาน

เรื่องงานบ้าน งานส่วนตัว ยังไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่ได้สร้างความหนักใจเท่ากับเรื่องหัวใจ..ที่สำคัญ..ดันไม่ใช่เรื่องหัวใจของตัวเอง (อีกต่างหาก)

เพื่อนฝูงโทรมาหาปรึกษาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ (ด้วยหรือเปล่านี่..อาจจะมีในอนาคต..ฮี่ฮี่)..กันมากมายหลายรายอยู่ คงเป็นเพราะเราอยู่ไกลยังไงความลับก็ไม่รั่วไหลกลับไปยังเมืองไทย ไอ้โปร่งมันรู้แค่ไหนยังไงก็อยู่ที่มัน ที่คือเหตุที่มาของความไว้ใจ

ไม่เป็นไร..เพื่อนคนนี้รับฟังได้เสมอ..แต่หลังจากฟังไปฟังมาเริ่มได้ข้อสรุปหลายอย่างที่คิดเอาว่าถ้าเก็บมาเล่าให้ฟังกันทีเดียวน่าจะพอเป็นประโยชน์

ประเด็นแรกที่รู้สึก "คัน" และอยากจะ "ตะโกน" เตือนเพื่อนพ้องทั้งหลายเหลือเกินก็คือ เมื่อคุณมีความรัก, มีคนรัก, มีแฟน หรือกำลังจะคบใคร ขอได้ไหม "อย่าเล่นเกมทายใจ"หรือคิดว่า ใครต่อใครเขาจะอ่านใจคุณได้

ทำไมนะเหรอ? ก็มันเป็นปัญหาใหญ่ที่ได้ยินจากปากเพื่อนหญิงเสมอๆว่า "เขาไม่รู้หรือไงที่ว่าที่เราทำให้น่ะ เราตั้งใจมากเลยนะ เราไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลยนะ เราต้องเสียสละเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่อทำสิ่งนี้ให้เขาเลยนะ"..ขอบอกตรงนี้ดังๆ ชัดๆว่า..เขาไม่รู้ เมื่อใดก็ตามที่คุณทำสิ่งดีๆ ให้ใครด้วยความเต็มใจและตั้งใจ เราว่าเรามีสิทธิเต็มที่ที่จะเคลมความดีความชอบจากสิ่งที่เราทำ เพราะงั้นก็บอกไปเลย (แบบมีศิลปะ) ว่า.."เนี่ย ต้องยกเลิกนัดสำคัญให้เลยนะเนี่ยจะได้มีเวลาไปดูหนังด้วยกันตามสัญญา" หรือ "ของนี่ตั้งใจซื้อมาให้เลยนะ ใช้เวลาเลือกตั้งหลายวัน" หรือแม้แต่ "ที่เรายอมเป็นคนแบบนี้ นั่งฟังเธอบ่นแบบนี้เพราะเราอยากให้เธอสบายใจและมีความสุขนะ ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้เราตะเพิดไปนานแล้ว"...อะไรอย่างเนี้ย..บอกเขาไปเลยว่าสิ่งที่เราทำให้มันเป็นสิ่งพิเศษที่เราไม่ได้ทำกับใครที่ไหนก็ได้ หรือเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราทำให้เขาเพราะเขาเป็นคนพิเศษของเรา
"อ้าว อย่างนี้เราก็ทำเขาได้ใจดิ ประมาณว่าเห็นเราไปไหนไม่รอดต้องยอมเขาฝ่ายเดียว" ..อ้าว หรืออยากให้เขาไปกับคนอื่นล่ะ เพราะเท่าที่เข้าใจ..ก็ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาอยู่ไม่ใช่เหรอ?
"แล้วเดี๋ยวเขาก็เกรงใจ ครั้งหน้าก็ไม่กล้ารบกวนหรือชวนไปไหน"..คนเป็นแฟนกันเขาไม่ได้อยากได้รับการปฏิบัติที่เป็นพิเศษกว่าคนอื่นเหรอ เราว่า..เป็นใครก็อยากได้นะ ยิ่งได้รู้ด้วยว่าสิ่งที่เขากำลังได้รับไม่ได้ได้มาง่ายๆ เขาก็ควรจะภูมิใจหรือดีใจที่เราทำให้ถูกไหม

หรือถ้าหากยังกลัวว่าจะถูกเอาเปรียบหรือคนๆนั้นของเราแสดงอาการเอาเปรียบเราอย่างจริงจัง..แม้ว่าเราจะพยายามบอกเขาอยู่เสมอว่า "เราต้องแลก/ต้องเสียอะไรตั้งหลายอย่างเพื่อเขา" ก็อาจจะถึงเวลาที่จะพิจารณาว่า..เอ๊ะ..หรือเราทำดีๆ ให้ผิดคน?? (ก็น่าคิดนะ)

เรื่องนี้เป็นปัญหาเบสิคที่เพื่อนฝูงโทรมาฟูมฟายให้ได้ยินเสมอๆ "ทำไมเขาไม่รู้..(อย่างนั้น อย่างนี้)"..ใช่..เพราะเขาไม่รู้ เพราะงั้นบอกให้เขารู้ซะ..เพราะคนเราไม่มีใครอ่านใจใครได้ เข้าใจ๋??

ประเด็นที่สองที่คนรับฟังอย่างข้าเจ้าอึดอัดเหลือใจก็คือ..ก่อนจะรักใครได้ ต้องรู้จักรักตัวเองให้เป็นเสียก่อน..ข้อนี้ฟังแล้วลึก อธิบายก็ยาก แต่จะพยายามอธิบายละกัน
การรักตัวเองกับการเห็นแก่ตัวเป็นคนละเรื่องกัน เพราะการเห็นแก่ตัวเข้าข่ายที่ว่ารักตัวเองมากมายจนเริ่มเบียนเบียนผลประโยชน์ของคนอื่น อันนี้ไม่ดี ไม่ควรทำ
แต่การรักตัวเอง สำหรับเรา..เอาประเด็นที่มองเห็นง่ายสุดก่อน..เราต้องรู้ว่าความสุขกาย สบายใจของตัวเองอยู่ตรงไหน..รู้ลิมิตและข้อจำกัดของตัวเอง อย่าได้ปล่อยให้ใครมากระทำย่ำยีไม่ว่าทางกายหรือทางความรู้สึก หลายคนบอกว่า รักเขาแล้วมีความสุข ชีวิตนี้ขาดเขาไม่ได้ เขาคือคนสำคัญของชีวิต แต่ไหงฉันเห็นเธอโทรมาร้องไห้เรื่องเขาทุกที..คนรักกันเขาทำให้อีกคนเสียน้ำตาได้ขนาดนี้เลยเหรอ..เอ๊ะ..หรือมันจะไม่ใช่แล้วมั้ง?

รักตัวเอง..รู้จักรักษาสิทธิของตัวเอง สิทธิที่จะพูด จะแสดงความรู้สึก ความต้องการหรือไม่ต้องการอะไร..คนที่รักกันต้องรับฟังกัน ประนีประนอมและปรับความต้องการเข้าหากัน จริงไหม?
เมื่อไหร่เริ่มทำอะไรลงไป หรือความสัมพันธ์ดูจะไปในทิศทางที่ไร้สุข แต่ไต่ระดับความทุกข์ ก็น่าจะถึงเวลาหันมาทบทวนรูปแบบความรักของตัวเองกันใหม่..เพราะบางทีการมีคนรัก (ไม่ว่าจะ เรารักเขา หรือ "คิดว่า" เขารักเรา) ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า "อย่างน้อยก็มีใครซักคนอยู่เคียงข้าง" ก็อาจจะไม่ดีพอ..เพราะถ้าคนที่ข้างเคียงนั้นไม่ได้เป็นไหล่ให้พักพิง ไม่ได้เป็นอกที่อบอุ่น แต่มีเพียงกายเปล่าๆ กับมีคำพูดหรือการกระทำที่คอยแต่จะทำให้เราเสียน้ำตา..บางทีเราว่า..การไม่มีใครเลย (หรือต้องยอมเสียน้ำตาครั้งใหญ่เมื่อปล่อยเขาไป) อาจจะเป็นความสุขใจที่ยั่งยืนกว่า..เธอว่าไหม?

ป.ล.เรื่องนี้มีรายละเอียดและเงื่อนไขที่ต่างกันออกไปมากมาย เราว่าเราต้องได้กลับมาคุยเรื่อง "ความรัก" กันอีก (หลาย) ครั้งแน่ๆ เรามั่นใจ :)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ มิ.ย. 11, 2010 10:42 am

25May2010 ร้อนนน....น....น..

เช้าวันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2010 เก้าโมงกว่าๆ ที่บ้านกรีนพาร์ค

ช่วงสองสามวันก่อนอากาศที่นี่อุ่นจัดจนถึงขั้นร้อน อุณหภูมิไต่ไปถึง 27 องศาเป็นประวัติการณ์ เพราะไม่บ่อยที่ประเทศนี้จะมีอากาศอุ่นขนาดนี้พร้อมแสงแดดแรงกล้า (ฮึ่ม เกลียดมันนักเชียว แดดแรงๆเนี่ย)

ตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้วจนถึงเมื่อวานเราทำงานยาวติดต่อกันสี่วัน ซึ่งเป็นสี่วันที่ทำกะเช้าเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะงั้นตกบ่ายมาก็ต้องกลับมางีบเอาแรง แต่ปัญหามันดันมาอยู่ที่มันตรงกับวันเสาร์อาทิตย์เนี่ยแหละ เราเข้างานในขณะที่เทรฟหยุดงาน เทรฟก็ยังอาสาตื่นเช้าเป็นเพื่อนจะได้ขับรถไปส่งเราที่ทำงานแทนให้เราปั่นจักรยานไปทำงาน เทรฟให้เหตุผลว่าอย่างน้อยโปร่งก็จะได้มีเวลามากขึ้นอีกนิดนึง (แหม น่ารักจริงๆ เชียวคุณสามีดิฉัน) นอกจากจะยอมตื่นเช้าแล้วแทนที่เทรฟจะกลับไปนอนหลังจากส่งเรา กลายเป็นว่าเทรฟก็เริ่มทำงานบ้านตั้งแต่เช้าตรู่นั่นแหละ

ช่วงนี้เป็นช่วงพัฒนาปรับปรุงบ้านให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเช่นบ้านทั่วไป กล่าวคือ ตอนนี้สัมภาระที่ไม่ค่อยได้ใช้จำเป็นต้องหาที่เก็บแทนที่จะปล่อยให้มันอยู่ในห้องนอนห้องที่สองที่เราตั้งใจใช้เป็นห้องรับรองแขก (Guest room) ..แบบคิดเงิน (อิอิ) เทรฟกับเราลงมติร่วมกันว่า ต้องกำจัด เอ๊ย เคลื่อนย้ายมันไปอยู่ในห้องใต้หลังคา (Loft) ห้องใต้หลังคาบ้านนี้โชคดีมีจั่วสูง เลยมีพื้นที่กว้างพอใช้ทำเป็นห้องนอนอีกห้องนึงได้สบายๆ (แต่คงยังไม่ปรับปรุงไปถึงขั้นนั้น ณ ตอนนี้) แต่การจะขนของขึ้นไปบนนั้นได้เราจำเป็นต้องใช้บันได..(ก็แหงอ่ะนะ) ปัญหาคือในบ้านเราไม่มีบันไดซักอัน เทรฟใช้เวลาประมาณสี่วันเพื่อตัดสินใจว่าซื้อบันไดสำหรับห้องใต้หลังคา (Loft ladder) ที่ไหนจะถูกสุด..ไม่ต้องสงสัยว่าเทรฟย่อมไม่พลาดเช็คพี่อีเบย์และน้องกัมทรีอย่างแน่นอน (ใครไม่รู้จักน้องกัมทรี ต้องย้อนกลับไปอ่านของเก่าหลายวันเลยนะเนี่ย อิอิ) เราแอบติงเทรฟว่า อะไรที่มันต้องใช้นานและต้องการความปลอดภัยสูง ขอเถอะ ซื้อของใหม่มือหนึ่งก็ได้ ยอมจ่าย ไม่อยากตกมาตายแข้งขาหักนะพ่อคุณ เทรฟจำนนด้วยเหตุผล ยอมไปห้างขายของ DIY ที่นี่ห้างใหญ่สุดก็ต้องเป็น B&Q อยากรู้ว่าใหญ่แค่ไหน (ประมาณว่าขายอะไรบ้าง เยี่ยมชมได้ที่ www.diy.co.uk คิดดูแล้วกันขนานชื่อเวบไซต์ยังบ่งบอกจุดยืนธุรกิจอย่างชัดเจน..แอบโฆษณาให้เล็กน้อย..แต่อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขาย ฮี่) ไอ้การจะไปบีแอนด์คิวทีเพื่อซื้อบันไดลอฟต์มันฟังดูก็ไม่น่ายากอะไรเนอะ ก็แค่ขับรถไป หยิบของมา แล้วก็จ่ายตังค์ ก็น่าจะเสร็จ กลายเป็นว่าภารกิจนี้กว่าจะบรรลุเป้าหมายเล่นเอาสามวัน เพราะทั้งคุณเทรฟและดิฉันตารางงานแน่นเอี๊ยด แถมห้างที่นี่ก็เปิดปิดกันชนิดไม่ง้อลูกค้า บ่อยไปที่ขับไปแล้ว..อ้าว มันปิดแล้วเหรอ (วะ) ประมาณว่าเขาไม่ได้เปิดชั่วโมงยาวขึ้นในวันที่คิดว่าลูกค้าน่าจะว่างเช่นวันหยุดหรือเสาร์อาทิตย์ แต่เขาก็ปิดเร็วขึ้นเพราะพนักงานเขาก็อยากไปพักผ่อนเหมือนกัน..ซะงั้น (เอ่อ..เราเดาเอาอ่ะนะ..อีกอย่างทำงานวันหยุดต้องจ่ายเพิ่มอีกต่างหาก)

ในที่สุดเมื่อได้บันไดลอฟต์มาแล้ว คุณพี่เทรฟท่านก็ต้องหาเวลามาติดในขณะที่เราไปทำงานตามปกติ จนวันนึงเราถามขึ้นมาระหว่างเทรฟมารับกลับบ้านว่า "ติดบันไดไปถึงไหนแล้วอ่ะ" เทรฟหันมาทำหน้าตายแล้วตอบว่า..ยังติดไม่ได้อ่ะ ต้องใช้บันไดอีกอันด้วย..เราปล่อยก๊ากออกมาไม่ยั้ง สรุปต้องใช้บันไดเพื่อติดตั้งบันได ฟังดูก็ไม่น่าจะผิดปกติอะไร แต่เพราะเรา(แอบ)หงุดหงิดเทรฟว่า ก็บอกแล้วว่าให้ซื้อมันไปสองอันเลย (หมายถึงบันไดธรรมดากับบันไดลอฟต์) ตั้งแต่ตอนไปซื้อบันไดลอฟต์เพราะยังไงก็ต้องบันไดปกติปีนนู่นทำนี่แต่งบ้านอยู่แล้ว..คุณเทรฟไม่ยอมทำดื้อเงียบ เรารู้หรอกว่าอาการแบบนี้กำลังจะบอกว่า..ไม่เอาอ่ะ ขอเช็คราคาก่อนว่าที่ไหนถูกสุด..แล้วในที่สุดเทรฟก็ออนไลน์สารพัดเวบห้างที่ขายของออนไลน์ เพื่อหาบันไดแบบที่ต้องการในราคาต่ำสุด แล้วในที่สุดเราก็ได้สองบันได โดยใช้เวลาสามวันกับแค่ซื้อบันไดสองอัน..เฮ้อ...อ๊ะ...แต่ว่าไม่ได้นะครับ ว่าเทรฟไม่ได้เรื่องนี้..เพราะราคาที่ต่างกันต่างกันเห็นได้ชัด ชนิดคุ้มค่าน้ำมันรถกับเวลาที่ลงทุนเปรียบเทียบเลยทีเดียว..ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องปล่อยเขาไป..ขอ..เฮ้อ..อีกรอบละกัน

ได้บันไดครบอุปกรณ์พร้อม คุณเทรฟเธอก็ใช้เวลาช่วงเช้าวันเสาร์กับวันอาทิตย์ที่คุณภรรยาอยู่ที่ทำงานจัดการติดตั้งบันไดลอฟต์ หมายใจว่า กะทำโชว์คุณศรีภรรยาตอนกลับมาถึงบ้านหลังเลิกงานวันอาทิตย์ ปรากฏว่า ไม่สำเร็จ เพราะบางขั้นตอนต้องอาศัยอีกคนช่วยจับ (ฮ่าฮ่า) มาถึงตรงนี้เทรฟทำหน้าเขินเพราะเป้าหมายไม่สำเร็จดังตั้งใจ เราทำเทรฟ ทำอะไรเหมือนเด็กๆ เพราะเวลาเทรฟทำงานพวกดีไอวายทีไร เทรฟจะรู้สึกเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ทุกที ไม่ขลุกกับสิ่งที่ทำก็หายไปในโรงรถที่ตอนนี้มีอุปกรณ์ครบครัน (เห็นแล้วดูจริงจังกันน่าดู..เอ่อ..ประมาณว่าไม่เคยคิดว่าจะมีบ้านที่มีคุณผู้ชายเก่งกาจเรื่องงานประเภทนี้อยู่ในบ้านอ่ะค่ะ แต่ไหนแต่ไรอยู่เมืองไทยเราก็จ้างเขาทำกันตลอดใช่มะ..พอมาที่นี่แบบว่า..เทรฟทำทุกอย่างเลยค่ะ) พูดถึงซ่อมนู่นทำนี่ วันก่อนจักรยานเรายางรั่ว ต้องจูงมันกลับบ้านจากที่ทำงาน (ดันมาโดนเอาวันที่เราเหนื่อยสุดๆ อีกต่างหาก..แหม..ช่างเหมาะเจาะจริงจริ๊ง) เดินแบบสะบักสะบอมกลับบ้านพร้อมจักรยานยางรั่วกินเวลาไปกว่าชั่วโมงจากปกติปั่นแค่สิบห้านาทีถึง

เราโทรรายงานเทรฟตั้งแต่รู้ว่ายางรั่วตอนอยู่ที่ทำงาน เราแค่จะโทรไปถามเทรฟว่าถ้าเราจะฝืนขี่มัน มันจะมีผลให้ยางเสียหายมากขึ้นเปล่า ประมาณว่ากลัวโครงเหล็กมันจะครูดกับถนนแล้วยางนอกจะสึกอะไรประมาณนี้ เทรฟบอกยางมันไม่เป็นไรหรอก แต่โปร่งจะล้มอ่ะดิ อย่าขี่ดีกว่า (เทรฟทำเสียงสงสาร เรารู้ทันทีว่าเทรฟแอบเสียดายว่า เทรฟไม่ได้ขับรถไปทำงาน ไม่งั้นคงได้ขับรถมารับเรากลับบ้านแล้ว แต่เทรฟเดินไปทำงาน ถ้าจะเดินกลับบ้านไปเอารถแล้วขับมารับเรา ป่านนั้นเราก็คงเดินถึงบ้านแล้วล่ะ) จักรยานยางรั่ว..เทรฟไม่ได้รับรู้แค่จักรยานยางรั่ว แต่หัวสมองกลของเทรฟตื่นตัววางแผนทันที..อืม โปร่ง เอามันจอดไว้ที่เดิมก่อนนะ เดี๋ยวเย็นนี้ผมกลับบ้านแล้วไปดูให้ แล้วก็จะเอาจักรยานสำรองออกมาเช็คให้..ต้องดูก่อนว่ายางมันรั่วจริงหรือแค่มีคนแอบปล่อยลม..ถ้าแค่ยางแฟบก็ไม่มีปัญหาเดี๋ยวปั๊มลมเข้าไปใหม่..แต่ถ้ารั่วจริงก็ต้องเปลี่ยนยางใน...เอ..เดี๋ยวนะ..พรุ่งนี้คุณหยุดใช่มะ..โอเค งั้นผมก็มีเวลาอีกวัน บางทีอาจไม่ต้องใช้จักรยานสำรอง เพราะวันพรุ่งนี้ผมจะเข้าสำนักงานใหญ่ แถวนั้นมีร้านจักรยานเดี๋ยวไปซื้อยางในใหม่ที่นั่น แล้วพอตอนเย็นผมก็เปลี่ยนยางให้คุณใหม่ได้ คุณก็มีจักรยานใช้วันทำงานวันถัดไปพอดี ไม่ต้องย้ายไฟหน้าและไฟท้ายของจักยานไปติดที่จักรยานสำรอง..เฮ้อ..นี่แหละเทรฟ

และเมื่อเทรฟกลับมาบ้าน สิ่งแรกที่เทรฟทำก็คือเช็คจักรยานเรา (เป็นสิ่งแรกจริงๆ ชนิดที่ว่าวางกระเป๋า ถอดสูท เปลี่ยนรองเท้าแล้วก็เดินไปดูเลย..มุ่งมั่นสุดๆ สามีดิฉัน) เทรฟจับจักรยานพลิกคว่ำพลิกหงาย ประแจพร้อม ขันเอาล้อหลังออกมาดู ใช้ชะแลงอันเล็กๆ งัดเอายางในออกมาเช็ค..เรายืนมองสังเกตการณ์ (เพราะทำไม่เป็น)..เออ เว้ย..เหมือนร้านซ่อมจักรยานเลยเว้ย ปกติเคยแต่เข็นไปร้าน ทิ้งไว้ ซักพักกลับไปเอาแล้วก็จ่ายตังค์ เอาจักรยานกลับบ้าน ขั้นตอนที่เขาทำก็จำได้ว่าเคยไปนั่งมองเขาทำตอนเด็กๆ เขาก็ต้องงัดๆ เอายางในออกมาแล้วสูบลมเข้าไป จากนั้นก็เอาไปกดๆ ในกะละมังน้ำ ดูว่าลมมันปุดๆ ตรงไหน ตรงนั้นก็รั่วล่ะ..เอ๊ะ..ว่าแต่ บ้านเราไม่มีกะลังแบบนั้นนะเทรฟ ทำไงดี ทำไงดี..โชคดีเทรฟไม่ได้โง่ขนาดนั้น (ขนาดเท่าดิฉันนี่แหละ) เทรฟก็คว้ายางในที่อวบลมไปกดในถังรองน้ำฝนที่มีฝายางเก่าๆปิดไว้ เปิดมาใยแมงมุมเพียบ ให้อารมณ์โอ่งน้ำฝนเก่าเก็บเปี๊ยบ..เอ่อวะ..ใช้น้ำอะไรก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องเป็นน้ำสะอาดใส่ถัง ใส่กะละมังเลย..โง่ได้อีกดิฉัน..เฮ้อ..

แล้วในที่สุดเทรฟก็เจอตัวการ สองรูแน่ะ ทีแรกคิดว่าเป็นเศษแก้วที่วันก่อนขี่ผ่าน แต่กลายเป็นว่าฆาตกรตัวการเป็นหนามต้นไม้หลังบ้านที่ตัดไปวันก่อน โห..หนามมันแข็งขนาดทิ่มยางจักรยานทะลุเลยอ่ะ แถมหนามไม่หักอีก..น่ากลัวจัง ต้นไม้ต้นนี้..หลังจากที่หมอชี้ขาดการวินิจฉันอาการเป็นที่เรียบร้อย เราก็วางแผนกันต่อว่า วันพรุ่งนี้ซึ่งเราหยุดและเทรฟไปออฟฟิศแม่ เรามีหน้าที่ไปซื้อยางในจักรยานระหว่างที่เทรฟประชุม พอบ่ายเทรฟเลิกประชุมจะได้ขับรถกลับบ้านได้ทันที มีเวลามาเปลี่ยนยางในให้เราทันวันทำงาน

เทรฟซ่อมจักรยานไปก็หันมาถามเราว่า ตอนเด็กๆ ไม่เคยเล่นรื้อๆ ซ่อมๆ จักรยานตัวเองเหรอ..ไม่อ่ะ รู้แค่ใส่โซ่กลับเข้าไปตอนโซ่มันหลุดได้เอง ตอนนั้นก็ว่าเจ๋งสุดแล้วสำหรับเด็กผู้หญิง นอกนั้นไปร้านซ่อมจักรยานตลอด..แหม..ร้านแบบนั้นบ้านเรามีแทบจะทุกหัวถนนเนอะ ทำเองไมอ่ะ...สามสิบบาทเอง..อิอิ..เพราะงี้พอเห็นเทรฟทำเอง เลยแบบ..อู้..เขามีทำแบบนี้กันที่ "บ้าน" ด้วยเว้ย..ฮ่าฮ่า ขำตัวเอง ไม่ชินครับ ไม่ชิน

หมดเรื่องจักรยานก็มาติดบันไดลอฟต์ต่อ (นอกเรื่องไปไกลเลย) เป้าหมายหลักในการ "รีบ" ติดบันไดลอฟต์อย่างที่บอกว่าจะขนของขึ้นไปเก็บแล้ว เทรฟมีแผนการใหญ่จะปรับปรุงพื้นที่ข้างบนบางส่วนให้เป็นห้องทำงาน (ลับ)..เอ่อ..ก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไร เพียงแต่เป็นที่ทำงานที่ปล่อยทิ้งให้รกได้ โดยมีโอกาสโดนบ่นน้อยสุด เหอๆ...แล้วทีนี้จะทำอะไรมันก็ต้องปรึกษากันใช่ม้า..ไอ้เราตั้งแต่ตัดสินใจซื้อบ้านนี้มายังไม่เคยเห็นหน้าตาลอฟต์เลย ก็เลยช่วยคิดไม่ได้จนกว่าจะเห็นของจริงซะก่อน เทรฟเขาก็เลยอยากอวดว่ามันเป็นยังไง แล้วแผนที่เขาวางไว้เป็นยังไง พอเราเข้าใจ เห็นภาพ เห็นด้วยแล้ว จะได้ดำเนินการต่อ

เรื่องทำลอฟต์แบบเบสิค (แบบที่เทรฟทำอยู่เนี่ย..ซึ่งถือว่าทำอะไรกับมันน้อยมากๆแล้วเมื่อเทียบกันคนอื่นๆ) ก็ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ ไว้วันหลังจะเก็บมาเล่าให้ฟังอีก วันนี้ต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว ไปก่อนนะ (จบมันซะดื้อๆ อย่างนี้แหละ อิอิ)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ มิ.ย. 11, 2010 10:48 am

1June2010..เหนื่อยจัง..ชักเริ่มขี้เกียจ

สิบโมงกว่านิดๆ วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2010 บ้านกรีนพาร์ค

เผลอแป๊บเดียวเข้าเดือนใหม่แล้ว ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาเขียนไดอารี่เลย เพราะวุ่นๆ กับเรื่องในบ้านจนชักจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยๆ เสียแล้ว มองหน้ากันสองคนแล้วก็ชักอยากชวนกันเที่ยว หาวันหยุดพักผ่อนกันบ้างแฮะ เพราะช่วงสองสามเดือนนี้ทั้งวุ่นทั้งยุ่งเหลือใจ วันหยุดที่มีก็ทำบ้าน หลังเลิกงานก็ทำบ้าน ทั้งงานบ้านและงานต่อเติม ซ่อมแซม สนุกก็สนุกอ่ะนะแต่..เริ่มอยากหยุดหายใจบ้าง แหะ แหะ

ช่วงก่อนที่มีแดดช่วงแรกๆ อากาศร้อนจัดๆ เทรฟตื่นเต้นดีใจตั้งตารอว่าเสร็จงานบ้านเมื่อไหร่จะไปนั่ง "ตากแดด" ให้สมใจ อุตส่าห์ไปรื้อโต๊ะปิคนิคมาตั้งกลางสนามหญ้า เพราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้มีโอกาสนั่งเล่นใน "สวนหลังบ้านตัวเอง" เทรฟชวนเราไปนั่งตากแดดด้วยกัน ดิฉันหน้าเบ้บอก "ไม่ชอบแดด" เทรฟเลยขยับโต๊ะให้ครึ่งนึงอยู่กลางแดด ครึ่งนึงอยู่ในร่ม เราสองคนจะได้นั่งอยู่ด้วยกันได้..อืม..ช่างเป็นการหาทางออกที่ดี

อยู่อังกฤษมาได้พักใหญ่..เราเริ่มรู้ว่าวันที่เราไม่ชอบมากที่สุดคือวันอาทิตย์ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์-วันทำงานวันแรกหรอกนะ เพราะเวลาทำงานเราไม่เหมือนปกติอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ไม่ชอบก็เพราะวันอาทิตย์ไม่มีรายการโทรทัศน์อะไรดีๆให้ดูเลย เสาร์อาทิตย์เป็นวันที่รายการทีวีห่วยอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ฉายหนังเก่าๆ ซ้ำไปซ้ำมาก็จะเป็นรายการทีวีที่เอามาฉายซ้ำ น่าเบื่อสุดๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ร้านรวง ห้างสารพัดถ้าไม่ปิดเร็ว ก็ไม่เปิดเอาเสียเลย วันก่อนผ่านย่านช็อปปิ้งใหญ่ใจกลางเมือง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาปิดวันอาทิตย์ ทั้งๆ ที่วันอาทิตย์ที่เมืองไทย ตามห้างคนแน่นแทบจะเหยียบกันตาย วันอาทิตย์เมื่อไหร่ถ้าไม่วางแผนซื้อของให้ดีๆ เผลอๆ ไม่มีกับข้าวกินเอา เซ็งจริงๆ ..แอบสงสัยว่า วันนี้คนที่นี่ปกติเขาทำอะไรกันหว่า...ขับรถไปเยี่ยมญาติแล้วกิน Roasted กันเหรอ (อาหารประเภทเอาเนื้อก้อนใหญ่เข้าอบ ไม่ว่าจะเป็นไก่ หมู หรือเนื้อ เป็นอาหารที่กินกันเป็นธรรมเนียมเย็นวันอาทิตย์ แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ครอบครัว) ..สำหรับเรากับเทรฟพอวันอาทิตย์ทีไรถ้าไม่เลื้อยกันอยู่บนโซฟานอนเล่น ก็ขุดเอารายการทีวีที่อัดไว้แล้วยังไม่ได้ดูมาดูกัน เป็นการฆ่าเวลาก่อนเข้านอน

พูดถึงรายการทีวี วันก่อนได้มีโอกาสดูรายการทีวีดีๆ วันนี้เลยถือโอกาสเก็บมาฝากแล้วกันนะ รายการแรกเป็นรายการเกี่ยวกันคนที่เป็นอัจฉริยะ เขาพูดถึงความเป็นอัจฉริยะในรูปแบบที่ต่างกันออกไป
คนแรกเป็นสาวน้อยชาวแคนาดาอายุแค่สิบเจ็ดปี แต่อัจฉริยะในเรื่องการวาดรูปมาก เราเห็นผลงานเขาแล้วอ้าปากค้างเลย วาดรูปสีน้ำมันได้ออกมาสวยเหมือนภาพถ่าย ทำได้ไงวะ เขาบอกว่าเขาเริ่มวาดรูปมาตั้งแต่สี่ขวบ แล้วก็ตัดสินใจเรียนเฉพาะวิชาที่ตัวเองสนใจ ไม่เรียนตามหลักสูตรปกติ สาวน้อยคนนี้เธออธิบายที่มาความสามารถของเธอว่าเป็นเพราะพระเจ้าดลใจให้วาด เพราะเธอไม่เคยเรียนเรื่องทักษะการวาดภาพใดๆ เธอแค่วาดตามความรู้สึก ในขณะที่ผู้เป็นพ่อกับแม่ลงความเห็นว่าที่มาความเป็นอัจฉริยะของเธอเป็นผลมาจากการทำงานหนัก เพราะบางวันสาวน้อยใช้เวลาวาดรูปถึงวันละ 12-14 ชั่วโมง และเธอทำอย่างนี้อย่างต่อเนื่องทุกวัน ปัจจุบันสาวน้อยคนนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ผลงานของเธอเป็นแหล่งรายได้หลักของครอบครัว ล่าสุดผลแห่งความพยายามและความอัจฉริยะของเธอแสดงผลเป็นบ้านหลังใหญ่ราคาหลักล้านเหรียญสำหรับครอบครัว แน่นอนเธอยอมรับว่าตัวเองเครียดไม่น้อยที่ต้องแบกรับเป็นคนหารายได้เข้าบ้านแต่เธอก็วาดรูปเพราะใจรัก และดีใจที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักตลอดเวลา ด้านผู้เป็นพ่อผู้ดูแลเรื่องผลงานและเว็บไซต์ของเธอ คอยดูแลการขายผลงานของเธอทั้งแบบเลียนแบบและขายต้นฉบับ เขายืนยันว่าเขาเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ไว้ให้เธอเพราะเมื่อเธออายุสิบแปดเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็ต้องกลับไปเป็นชื่อของเจ้าตัวอย่างแน่นอน

อัจฉริยะคนต่อมาคือชายหนุ่มวัยทำงานที่มีความสามารถในการจำอย่างเหลือเชื่อ ล่าสุดเขาทำลายสถิติโลกคนที่มีความจำดีที่สุดในโลกโดยสามารถจำลำดับไพ่สามสำรับที่เรียงลำดับไว้แบบสุ่มได้ภายในเวลาน้อยกว่าครึ่งนาที ชายหนุ่มคนนี้(จำชื่อไม่ได้แล้ว เรียกโทมัสแล้วกัน) ทำงานเป็นนักบัญชี แต่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อตัวเองจะได้มีเวลาทุ่มเทให้กับการฝึกฝนทักษะนี้อย่างจริงจัง ความจำเป็นเลิศของเขาทำได้แม้กระทั่งจำเลขบาร์โค้ดของของที่ตัวเองซื้อเวลาไปห้างได้อย่างแม่นยำ ชนิดที่ว่าแคชเชียร์พิมพ์ตามนั้นโดยไม่ต้องสแกนได้เลย ความสามารถแบบนี้โทมัสฝึกจำโดยสร้างระบบของตัวเองขึ้นมาเขาจะผูกโยงสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องราวในหัวตามลำดับขั้นตอนที่ตัวเองฝึกฝนไว้อย่างดี..แต่น่าเสียดายที่ว่าความสามารถขั้นอัจฉริยะแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เขาลืมตาอ้าปากได้ เพราะปัจจุบันนี้โทมัสใช้ชีวิตอยู่อย่างกระเบียดกระเสียน และเริ่มคิดที่จะกลับไปหางานทำใหม่อีกครั้ง..ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ไม่มีจะกิน

อัจฉริยะคนต่อมา (ที่เราจำได้และอยากเล่าให้ฟัง) สมมุติให้ชื่อทิมละกัน (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว) ทิมเป็นเด็กที่เกิดมามีปัญหาทางด้านสมอง สมองซีกซ้ายและขวาของทิมไม่สามารถสร้างการเชื่อมโยงเช่นคนปกติได้ ทำให้พัฒนาการของทิมไม่เติบโตไปตามวัย ทิมอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองเช่น อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือกินข้าวได้เช่นคนทั่วไป ทักษะการเอาชีวิตรอดของทิมไม่ต่างไปจากเด็กสี่ขวบ แต่ด้วยความมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อของธรรมชาติ สมองสองข้างสร้างการเชื่อมโยงรูปแบบใหม่ขึ้น ผลลัพธ์ก็คือทิมกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทิมอ่าน ทิมจะสามารถจำข้อมูลที่ตัวเองอ่านได้อย่างน้อย 96% ความสามารถในการคำนวณเป็นเลิศชนิดที่ว่าคนในเมืองที่ทิมอยู่ขนานนามทิมว่า มนุษย์คอมพิวเตอร์ ทิมมักจะโดนคนที่เดินผ่านไปมาทดสอบความสามารถการคำนวณโดยการให้ทิมคำนวนอายุ หรือคำนวนย้อนหลังเพื่อดูว่าคนถามเกิดวันอะไร ทำนองเดียวกับเราเปิดปฏิทินร้อยปีนั่นแหละ ทิมได้มีโอกาสแสดงความสามารถเหล่านี้ให้กับคนทั่วไปโดยการไปโชว์ตัวตามสถานที่ต่างๆ แล้วตอบคำถามจากผู้คนเพื่อพิสูจน์ความเป็นอัจฉริยะของทิม ซึ่งแน่นอนว่าทำเอาคนดูอึ้งไปตามๆ กัน แต่ความเป็นอัจฉริยะของทิมไม่ได้ช่วยลดทอนความกังวลของผู้เป็นพ่อวัยแปดสิบกว่าลงได้เลย เพราะทุกวันนี้พ่อเป็นผู้เดียวที่ต้องดูแลทิมชายวัยห้าสิบกว่าผู้ซึ่งมีความสามารถในการดูแลตัวเองไม่ต่างไปจากเด็กสี่ขวบ พ่อเปรยขึ้นด้วยความกังวลว่า หากเขาตายไป (ล่าสุดพ่อพึ่งผ่านการผ่าตัดมะเร็งผิวหนัง) ใครจะดูแลทิม..โชคดีที่ว่า..ทางรายการอัพเดทข้อมูลล่าสุดว่า..ทิมได้เสียชีวิตแล้วเมื่อปีที่แล้ว

เรามองชีวิตผ่านความเป็นอัจฉริยะทั้งสามแล้วก็บอกตัวเอง..เอ่อนะ..ไม่ต้องเก่งจีเนียสขนาดนี้ก็ได้ ขอแค่ให้มีสติปัญญาและความสามารถมากพอที่จะหาอยู่หากินได้ด้วยตัวเองก็พอแล้ว..เพราะความเป็นอัจฉริยะไม่ได้มาพร้อมกับความสามารถในการอยู่รอดเสมอไป

ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ มิ.ย. 11, 2010 10:54 am

2June2010 จ๊ากกก เรียนขับรถวันแรก

บ่ายสามโมง วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2010 บ้านกรีนพาร์ค

ว๊ากกก..ยังกลับมานั่งมึนๆ งงๆ อยู่เลย หลังจากเรียนขับรถ (ที่นี่)วันแรก

จริงๆ วันนี้เป็นการประเมินความสามารถในการขับรถของเราก่อนที่จะรู้ว่าต้องเรียนอย่างน้อยอีกกี่ครั้งถึงจะมีระดับความสามารถไปสอบใบขับขี่ได้

ปกติเราก็ขับรถได้อยู่แล้ว แต่ก็รู้อยู่ว่ากฎ กติกา มารยาทของท้องถนนบ้านเรากับที่นี่ก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน (โชคดีแค่ไหนแล้วที่ขับพวงมาลัยซ้ายเหมือนกัน เฮอะๆๆ) เราทะเลาะกับเทรฟไปหลายยกเรื่องการอธิบายกติกาการขับรถที่นี่ เพราะวิธีการใช้รถใช้ถนนเขาไม่เหมือนเรา(เอาซะจริงๆ ในเชิงของตรรกะอ่ะนะ) เช่น เทรฟบอกว่าให้ตรงไป แต่ลักษณะถนนมันโค้งจนเหมือนเลี้ยวขวา เราก็เถียงแล้วมันจะตรงไปได้ไงวะ (มาเล่าให้เพื่อนฟัง..เพื่อนช่วยเถียงแทนเทรฟอีกว่า เขาเรียกตรงไปตามแนวถนนเว้ย..เอ้อ..ก็ไม่รู้นี่หว่า) เอาว่าทำให้รถมันวิ่งขับไปไหนมาไหนแต่ไม่มีคุณภาพดีพอจะถือใบขับขี่เขาว่างั้น เพราะงี้เทรฟเลยตกลงใจยอมเสียเงินส่งเราไปเรียนเพื่อแก้นิสัยเสีย (อื่นๆ ..เอ่อ..เกี่ยวกับการขับรถเท่านั้นนะ) จะได้มีมาตรฐานตามระบบระเบียบที่นี่เขา (เพราะเทรฟก็สอนเองไม่ได้ เพราะบางทีก็ลืมไปแล้วว่า ไอ้นิสัยดีๆ ที่ควรทำน่ะเป็นไง ฮ่าฮ่า)

หลังจากเพียรจองเวลาเรียนมาหลายอาทิตย์ ครูคนนี้ก็คิวแน่นเหลือหลาย แถมค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูก ในที่สุดบทเรียนแรกก็มาถึงซ้าากกที

ริชาร์ด-ครูสอนขับรถ มารับเราที่บ้านตามเวลาที่นัดหมาย (มาช้าไปนิดหน่อย) รถของริชาร์ดแน่นอนว่าต้องมีการดัดแปลงเพื่อให้เหมาะแก่การสอนขับรถ นั่นก็คือคลัชกับเบรคอีกหนึ่งชุด (ไม่มีคันเร่งนะคะ) ส่วนอื่นก็หน้าตาเหมือนรถทั่วไป แต่รถริชาร์ดมีคันไฟเลี้ยวสลับกับรถเราก็เลยแอบสับสนเล็กน้อย

ริชาร์ดพูดและอธิบายเยอะมากๆๆ (ก็เป็นครูอ่ะนะ) แรกๆ ก็กลัวมึนเพราะมันเยอะจัด แต่ก็เข้าใจได้เพราะมันเป็นการทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนปล่อยให้เราสตาร์ทรถแล้วขับออกไป เพราะปัญหาอย่างนึงที่มาแน่ๆ ก็คือสื่อสารกับลูกศิษย์ยังไงให้ทันเวลา (เบรคก่อนที่จะชนคนอื่นเขา ไรเงี้ย) ริชาร์ดก็เลยมีระบบ "คำสำคัญหรือรหัส" ที่ใช้ในการสอนลูกศิษย์ เช่น แทนที่จะบอกว่าให้เร่งคันเร่งอีกนิดนึง อีกนิดนึง อีกนิดนึง (Accelerate now! a little bit more. a bit more. a bit more.) ก็เปลี่ยนมาเป็น Gas on, 1 pound, 2 pounds.. อะไรทำนองนี้ จะเห็นได้ว่าจำนวนคำมันน้อยกว่ากันเยอะเลยใช่มะ คือนักเรียนไม่ต้องคิดก่อนทำ ฟังแล้วทำได้เลย อ่อ..ไอ้ 1 pound, 2 pounds เนี่ยเป็นการเปรียบเทียบระดับการเหยียบคันเร่งหรือเบรคให้ลึกเท่าความหนาของเหรียญหนึ่งปอนด์หนึ่งเหรียญ หรือสองเหรียญ ทำนองนั้น คือเราทำการตกลงกันก่อน เพราะงี้นักเรียนจะเห็นภาพในหัวแล้วขยับเท้าตามคำบอกไปได้เลย (เหรียญหนึ่งปอนด์หนาราวๆ เหรียญห้าบาทเล็กเหรียญครึ่ง..งงไหมเนี่ย?)

ปกติเราก็สตาร์ทรถ ขับออกจากบ้านหรือไปไหนมาไหนเป็นปกติ (ถ้าไม่ขี้เกียจ) พอวันนี้ต้องขับไปคิดไป อ้อ คิดก่อนขับอีกต่างหาก เลยทำให้รู้สึกว่า..แหม่ ทำไมมันเยอะขั้นตอนอย่างนี้หว่า แล้วครูก็คอยเช็คว่าเราทำครบตามนั้นด้วยหรือ มา! จะเล่าให้ฟัง (ถ้ายังจำได้) เผื่อใครอยากจะฝึกนิสัยดีๆ ในการขับรถ

ขั้นที่หนึ่ง การเตรียมตัว ประกอบไปด้วย
ก่อนสตาร์ทรถ ปรับเบาะให้อยู่ในระดับที่สามารถเหยียบคลัชในสุดโดยก้นไม่ขยับหรือลอยจากเก้าอี้, ปรับกระจกมองหลังให้สามารถมองเห็นกระจกหลังได้หมด ต้องไม่เห็นขอบเก้าอี้ตัวเอง ประมาณว่าสามารถมองเห็นหัวคนสามคนที่นั่งเบาะหลังได้หมด, ปรับกระจกมองข้างซ้ายขวา ให้เห็นเพียงขอบรถสองข้างเพียงเล็กน้อย, ที่สำคัญที่สุด คาดเข็มขัดนิรภัย ต้องระวังไม่ให้สายเข็มขัดเบี้ยวหรือบิด เพราะพอมันบิดแล้วมันจะไม่ทำงาน คือไม่ล็อกเวลาเกิดแรงกระแทก เพราะงั้นเข็มขัดนิรภัยก็จะกลายเป็นเข็มขัดไม่ปลอดภัยไป

ก่อนสตาร์ทรถ ต้องแน่ใจว่า ดึงเบรคมือขึ้น รถอยู่ตำแหน่งเกียร์ว่าง แล้วสตาร์ทรถ เหยียบคลัชจนสุด เข้าเกียร์หนึ่ง เช็คกระจกมองหลัง มองซ้าย เช็คจุดที่กระจกส่องไม่เห็น (Blind spot) เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วเปิดไฟเลี้ยวซ้าย มือพร้อมที่เบรคมือ เท้าขวาเริ่มเหยียบคันเร่งนิดๆ ถอนคลัชพอให้เครื่องเตรียมพร้อม เปิดไฟเลี้ยวขวา ค่อยๆ ออกตัวพร้อมปลดเบรคมือลง เร่งเครื่อง ถอนคลัช แล้วก็เข้าสู่ถนนปกติ

โห่..ไอ้ขั้นตอนปกติที่ใช้เวลาน้อยกว่าสิบห้าวินาที..วันนี้ต้องคิดเยอะขนาดนี้...เลยมึนไปเลย..แฮ่กๆๆ

ยังไม่พอ ยังมีเรื่องการหมุนพวงมาลัยที่ต้องแก้ไข เพราะมือสองข้างไม่ควรไขว้กัน และควรอยู่จุดนั้นจุดนี้เพื่อความปลอดภัย การมองซ้าย มองขวาเช็คก่อนเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ฯลฯ

ไม่น่าเชื่อว่า วันนี้เรียนแค่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ออกตัวกับจอดรถก็เล่นเอาหมดชั่วโมงได้แฮะ

หนึ่งบทเรียนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เสียค่าใช้จ่าย (สำหรับครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งแรก) ?36 หรือราวๆ 1800 บาท (จ๊ากก..ที่เมืองไทยเรียนได้จบคอร์สพร้อมแถมใบขับขี่อีกต่างหาก หุหุ)
ครูประเมินว่าเราต้องเรียนอีกอย่างน้อย 20 ครั้ง ครั้งละ ?24 คิดเป็นเงิน ?480 หรือราว 24,000 บาท ..อืม รายได้ดีนะเนี่ย..มาเป็นครูสอนขับรถกันมะ (ฮ่ะฮ่า..อย่าคิดว่าเป็นกันง่ายและถูกๆนะจ๊ะ รายละเอียดเรื่องเป็นครูสอนขับรถไว้จะค้นคว้ามาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อๆไป)

อืม..เรียกได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย..ถามว่าทำไมสำคัญนักหนาที่ต้องได้ใบขับขี่ ด้วยเหตุผลส่วนตัวหลายประการ (ไม่นับรวมเรื่องความสะดวกในการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง) กล่าวคือ เพื่อการหางานประจำที่มีตัวเลือกมากขึ้น เพราะปัจจุบันหลายตำแหน่งงานที่อาจต้องมีการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ เขาจะต้องเช็คว่าคุณถือใบขับขี่ประเภทไหน (ที่นี่มีหลายระดับและประเภท..เฮ้อ) และที่สำคัญ (มาก) อีกอย่างคือ ใบขับขี่ที่นี่ใช้เป็นเอกสารแสดงตัว (แบบที่บ้านเราใช้บัตรประชาชน) เพราะเป็นเอกสารที่ทางการออกให้พร้อมรูปถ่ายประกอบ ที่นี่เข้าใจว่ากฎหมายเรื่องบัตรประชาชนจะตกไปในไม่ช้า อ้อ..ใบขับขี่ที่นี่คนถือต้องอัพเดทข้อมูลทุกสิบปี เช่น เปลี่ยนรูป เปลี่ยนที่อยู่ สภาพร่างกายเปลี่ยน การเพิกเฉยไม่แก้ไขอาจมีโทษนอกจากปรับแล้วยังอาจติดคุกได้..เพราะงี้..ถึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ บางคนบอก..แหม่ ไม่่บอกใครเขาจะรู้ล่ะ ก็ใช่ค่ะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เขารู้คุณโดนปรับย้อนหลังนะคะ เพราะด้วยระบบฐานข้อมูลขนาดมหึมาของที่นี่ ชื่อเจ้าตัวคนๆเดียวกันควรจะมีชื่อและที่อยู่ที่ตรงกันในทุกเอกสาร เช่น บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภาษี และใบขับขี่ ถ้าเมื่อไหร่มันไม่ตรงกัน..คุณมีปัญหาแน่ เพราะเขาเช็คผ่านระบบฐานข้อมูลได้หมด

นอกจากเรื่องเรียนขับรถ(เพื่อให้ถึงมาตรฐานพร้อมสอบแล้ว) ยังต้องมีเรื่องสอบใบขับขี่่ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้่งข้อเขียนและปฏิบัติ มีหนังสือ ซีดี และเว็บไซต์พร้อมมูล ให้เลือกซื้อหา ค้นคว้าเพื่อเตรียมตัวสอบ

เรื่องหนังสือกฎจราจรของที่นี่ เราอ่านแล้วชอบใจมาก เพราะเขาเขียนด้วยภาษามนุษย์ หมายถึงภาษาธรรมดาที่อ่านแล้วเข้าใจ เอาไปปฏิบัติได้ทันที ไม่ต้องปีนบันได เปิดพจนานุกรมอีกรอบ ไม่ใช่ออกมาหน้าตาเป็นภาษากฎหมาย เพราะเขาจะเขียนแบบตีความไว้ให้แล้ว เช่น ถ้าคุณ "ทางรถเมล์ (Bus Lane)" เขาก็ไม่อธิบายประมาณว่า เป็นทางสัญจรสำหรับรถโดยสารประจำทางโดยเฉพาะ ฯลฯ แต่เขาจะเขียนง่ายๆว่า เมื่อเจอบัสเลนไม่ควรขับรถไปในเลนนั้น ยกเว้นว่ามีเหตุจำเป็น เช่นถนนแคบ เป็นต้น อะไรทำนองนี้ เรียกว่า อ่านแล้วเอาไปใช้ได้เลยว่างั้น

แล้วข้อสอบก็ไม่ได้ถามประมาณว่า สัญลักษณ์นี้แปลว่าอะไร เหมือนประมาณให้ท่องไปสอบเพราะไม่เกิดประโยชน์ แต่จะออกมาแนวๆ ว่าคุณขับรถมาถึงบริเวณนี้ (มีรูปให้ดู) คุณควรปฏิบัติตัวเช่นไร แล้วก็มีตัวเลือกให้เลือก บางข้อก็ตอบมากกว่าหนึ่งคำตอบ เช่น ให้ลดคันเร่ง ให้มองซ้ายก่อน ให้รถที่วิ่งสวนมาไปก่อน ฯลฯ อะไรก็ว่าไป เราก็เลือกๆ ไปว่างั้นเถอะ ..ถามว่ารู้ได้ไงว่าข้อสอบออกแนวนี้ ก็เขามีตัวอย่างข้อสอบให้ทำบนเว็บไซต์ของทางการอ่ะ (เรื่องเว็บไซต์ของทางการที่นี่เป็นเรื่องน่าประทับใจมาก ประเทศไทยควรเอาเยี่ยงอย่าง วันหลังจะเก็บมาเล่าให้ฟัง..ถ้านึกออก อิอิ)

วันนี้บ่นแค่นี้ก่อนละกัน วันหลังมีเรื่องอะไรตื่นเต้นในชีวิตแล้วจะเก็บมาเล่าใหม่ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน

cron