ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 10:40 am

8 Jan 2010(2) ตื่นเต้น ตื่นเต้น

ทุ่มครึ่ง วันศุกร์ที่แปดมกราฯ


ตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่ วันนี้..ไม่สิ จริงๆ ตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อคืนเรื่องจะทำอะไรให้ที่รักกินเย็นนี้ อิอิ ..อย่าพึ่งขำ หัดทำอาหารฝรั่งครั้งแรกมันน่าตื่นเต้นจะตาย


วันก่อนได้ปลาคิปเปอร์ (Kipper) รมควันมาแพคนึง ซื้อมาแล้วก็มานั่งคิดว่าจะทำอะไรกินหว่า ..เอ่อ เราเน้นประหยัด อะไรลดราคาซื้ออันนั้นแล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรกิน ไม่ใช่อยากกินอะไรแล้วซื้อมาทำ ฮี่ฮี่


เทรฟว่าทำฟิชพายดิ (Fish Pie-พายปลา) เพราะเรามีปลาแฮดด็อก (Haddock) เหลืออีกชิ้นนึง คิปเปอร์ค่อนข้างกลิ่นแรง รสคาวจัด ส่วนแฮดด็อกก็เป็นปลาเนื้อขาวรสชาติธรรมดา (เอ่อ ที่นี่เขาเรียกปลาตามสีเนื้อมันด้วยอ่ะ ทีแรกก็งง แต่มันมีเนื้อสีเหลือง สีส้ม(อย่างแซลมอล) ก็เลยคิดว่า..อืม พอเข้าใจได้..ความรู้เรื่องนี้จะหามาเล่าให้ฟังต่อไป) คิดว่าถ้าเอาปลาสองอย่างมาผสมกันคงพอไปได้ จะได้กำจัดของในตู้เย็นไปบ้าง อิอิ


เทรฟอธิบายวิธีทำฟิชพายตอนก่อนนอน เราก็จินตนาการตาม (ไม่ได้ทำให้หิว แค่ตื่นเต้นอยากลองทำ อิอิ) พอวันนี้เราก็รอ ร๊อ รอ เมื่อไหร่ดาร์ลิ่งจะหิว จะได้เริ่มลงมือทำกับข้าว (คืออาหารที่นี่ควรทำแล้วกินเลยค่ะ..อากาศมันเย็น อะไรมันๆ เลี่ยนๆ นมๆ เนยๆ ไม่ควรกินตอนมันเย็นใช่ไหมคะ) วันนี้เทรฟกลับมาทำงานที่บ้านช่วงครึ่งวันบ่าย ระหว่างรอที่รักหิว เราก็อ่านตำราทำกับข้าวไปพลาง (ยืมมาจากห้องสมุด..ไม่มีซะล่ะจะเสียตังค์ซื้อ อิอิ) คือนอกจากเมนูเย็นนี้คือฟิชพายแล้ว เราก็คิดว่าจะทำยังไงกับไอ้ปลาคิปเปอร์ที่เหลืออีกชิ้น (มันมีสองชิ้นในแพค) และอะไรก็ตามที่มันออกมาจากตู้แช่แข็งแล้ว ไม่ควรเอากับไปแช่แข็งอีกรอบ..นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนที่นี่โดนสอนมา เพราะมันนั้นจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียอันอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย (freeze-แช่แข็ง/defrost-ละลายน้ำแข็งหรือปล่อยให้ของแช่ละลายกลับสู่ระดับอุณหภูมิห้อง/refreeze-เอากลับไปแช่แข็งอีกรอบ..เอ๊ะ นี่มันชั่วโมงภาษาอังกฤษหรือไงเนี่ย??)


เพราะงี้เราก็บรรเจิดไอเดียจะทำซุปปลา คืองี้เมื่อตอนกลางวันเทรฟกับมากินข้าวบ้าน เราอุ่นซุปกระป๋องให้กิน..ได้ยินถูกแล้วค่ะ "ซุปกระป๋อง" อารมณ์เหมือนปลากระป๋อง เปิดฝา เทอุ่นให้ร้อนแล้วกิน ง่ายกว่ามาม่าอีก พอกินแล้วก็บรรเจิดไอเดีย..ถามเทรฟว่า ไอ้ซุปเนี่ย เราทำแล้วแช่แข็งไว้อุ่นกินทีหลังได้ไหม เทรฟว่าได้ สาวิตรีก็โอเคเลยค่ะ งั้นเราทำซุปปลาดีกว่า..ฉะนั้นบ่ายนี้ก็เลยพลิกตำราอาหารให้วุ่นว่าจะเอาอะไรผสมอะไร มันถึงจะออกมาเป็นหน้าตาที่เรียกว่าซุปได้บ้าง (แบบไม่ต้องซื้อเครื่องปรุงเพิ่ม ใช้อะไรก็ตามที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก อิอิ..หลักการเดิมค่ะ ประหยัด ประหยัด)


พอสี่โมงกว่า..เอาล่ะ ลงมือดีกว่า (เพราะเริ่มสับสนระหว่างตำราทำฟิชพายกับซุปปลา..เอ๊ะ เรียกฟิชซุป หรือพายปลาดีอ่ะ..เริ่มงงตัวเองอีกแล้ว)


เราเตรียมเครื่องปรุง...ไม่อยากจะเชื่อว่าเครื่องปรุงของกับข้าวสองจานนี้แทบจะเหมือนกันทุกประการ..เอ๊ะ อาหารฝรั่งมันง่ายอย่างนี้เลยเหรอ??


สับหอมใหญ่ กระเทียมเตรียมไว้ บนเตาเราต้มคิปเปอร์เพื่อลดความเค็ม ส่วนอีกหม้อก็ต้มน้ำเตรียมไว้ต้มมันฝรั่ง
แล้วเราก็ผัดหอมกระเทียมเข้าด้วยกัน ใส่เนื้อปลาที่ต้มแล้วผัดให้มันเข้ากัน ปรุงรสนิดหน่อย อ้อ มีไข่ต้มสับใส่แถมไปด้วยแล้วก็พักไว้ ส่วนมันฝรั่งพอสุก เทน้ำทิ้ง พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ (หนนี้เราไม่บดมันเพราะอยากกินแบบชิ้นๆ) อีกเตา(และอีกหม้อ) เทนม เติมเนย พาสลีย์ พริกไทดำ แป้งข้าวโพด ผสมเข้าด้วยกัน ระวังอย่าให้เดือดจัด..ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน รู้แต่ว่าเราไม่ชอบกลิ่นนมเดือด อิอิ จริงๆมันมีเหตุผลแหละแต่ไม่รู้.. เอาเป็นปล่อยให้ปุดๆ แต่อย่าเดือดจัด คนๆ จนมันเริ่มข้น แล้วก็เทมันลงไปในหม้อปลาคนๆ ให้เข้ากันแล้วก็เททั้งหมดใส่ถาดอบ โป๊ะหน้าด้วยมันฝรั่งแล้วขูดพาเมซานชีสโปะลงไป (Parmesan cheese) เอาเข้าเตาย่าง (Grill) แค่อยากให้ชีสละลายแล้วก็กลายเป็นสีน้ำตาลทองๆเท่านั้นเอง เพราะส่วนผสมอื่นๆ มันสุกหมดอยู่แล้ว กินคู่กับถั่วต้ม..เอ่อ..ถั่ว-Pea หน้าตาแบบเม็ดในของถั่วลันเตาต้มนะคะ มันจะเม็ดเขียวๆ ไม่ใช่ถั่วต้มเป็นฝักๆ แบบที่เขาหาบขาย อันนั้นเขาเรียก monkey nut ใช่แล้นน แปลว่าถั่วที่ให้ลิงกินนั่นเอง มีอีกอันคือ Peanut อันนี้ก็อีกอย่าง..แต่เอาไว้อธิบายวันหลังแล้วกัน


เอาเป็นว่า..ผลลัพธ์คือ..ที่รักชมว่า..อืม เก่ง รสชาติเหมือนฟิชพาย (เอ..ฟังดูเหมือนไม่ใช่คำชมเนอะ ..แต่ถ้าเทียบกับคราวก่อนที่ทำพาสต้าให้รสชาติเหมือนอาหารไทย อันนี้ต้องถือว่าเป็นคำชมอ่ะ อิอิ)


เราจัดการอาหารเย็นเสร็จก็มาจัดการกับซุป..ไม่อยากจะบอกเลยว่า ทำเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง ต่างกันที่ต้มทุกอย่างรวมกัน ตั้งแต่หอม กระเทียม ปลา มันฝรั่ง ถั่ว และนม จากนั้นก็ปั่นให้มันเละเป็นซุป แค่นั้นเอง


อิอิ วันนี้ซื้อที่ปั่น (Blender) มาใหม่ ซื้อมาเพื่อการนี้เลยนะเนี่ย ฮี่ฮี่ สนุกทีเดียว วันหลังทำอะไรกินอีกแล้วจะมาเมาท์ให้ฟังใหม่ วันนี้ไปดีกว่า
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย gb64_64 » พุธ ม.ค. 13, 2010 9:06 pm

ตอนแรกไม่ค่อยได้สนใจ อ่านๆ ไป ชักอยากติดตาม รออ่านต่อครับ ^+
ภาพประจำตัวสมาชิก
gb64_64
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 623
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 8:55 pm
ที่อยู่: 19 ประชาอุทิศ119 แขวง/เขตทุ่งครุ กทม. 10140

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ ม.ค. 16, 2010 7:28 am

11Jan2010 อีกหนึ่งวันที่ผ่านไป?

เกือบสี่โมงแล้ว วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2010


โห..ปวดตาจัง นั่งจ้องคอมมาได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว จะว่าไปหางานออนไลน์นี่ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นแฮะ


เราเริ่มลงมือหางานมาได้พักใหญ่แล้ว ตั้งแต่มาถึงก็วุ่นวายทำตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง หาข้อมูลซื้อบ้าน วุ่นวายไปหมด เมื่อเวลาเหมาะสมเราก็รู้ว่า อยู่เฉยๆ แบบนี้คงไม่ดี เราเข้าเน็ตหางานทุกวัน ระบบที่นี่ส่วนใหญ่ไม่รับใบสมัครงานที่เป็นกระดาษเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่มีมา (หมายถึงผ่านหน้าร้านแล้วเจอป้ายรับสมัครงานก็เข้าไปขอใบสมัครมากรอกหมด) เรารู้ดีว่ากระบวนการหางานเป็นเรื่องที่บั่นทอนจิตใจและ "กินพลังใจ" ไม่ใช่น้อย เพราะนอกจากจะตระหนักถึงโอกาสที่น้อยลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังมีข้อจำกัดของเราเองที่จะต้องปรับตัวให้เข้าเงื่อนไขที่นี่ ก็น่ะนะ ถ้าเขาเลือกได้เขาก็เลือกคนของเขาก่อนไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าคุยกันรู้เรื่องแน่นอน แล้วยิ่งตอนนี้ตัวเลือกมีมากมาย..แต่ก็นั่นแหละ ของอย่างนี้ใครจะรู้ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรารู้แล้วว่าจริงๆ แล้วความสามารถเราไม่ได้ด้อยกว่าเขา ขาดก็ตรงความมั่นใจ "เรื่องภาษา"ของตัวเองนี่แหละ ถ้าผ่านมันไปได้ อะไรก็ไม่ใช่ปัญหา


เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เทรฟรู้สึกว่ามันผ่านไปไวเหลือเกิน


เริ่มจากเช้าวันเสาร์เรามีนัดดูบ้าน (เอ่อ ระบบซื้อบ้านที่นี่..ไม่รู้ว่าเล่าไปหรือยัง เนื่องจากว่าตลาดบ้านเก่า (ต้องใช้คำนี้เพราะไม่ใช่แค่มือสอง มันอาจเป็นมือที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ บางหลังอายุเป็นร้อยปี) เป็นตลาดใหญ่ของที่นี่ เวลาสนใจบ้านหลังไหนก็จะติดต่อเอเจนท์ขอเข้าไปดูภายในบ้าน ถ้าสนใจก็เสนอราคาต่อรองกัน ทุกอย่างทำผ่านนายหน้าและทนาย ไม่มีการได้เจอหน้ากันระหว่างคนซื้อกับคนขาย ยกเว้นเจ้าของบ้านทำการขายด้วยตัวเอง ซึ่งมีน้อยมาก) เรามีนัดดูบ้านสองหลังในรอบแรก หลังจากนั้นอีกสามหลังในรอบสอง เรียกว่าแต่ละรอบห่างกันชั่วโมงนึงบ้าง สองชั่วโมงบ้าง เล่นเอาเรากับเทรฟวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านกันให้วุ่น (ก็ไม่รู้จะไปไหน ขับรถไปที่ที่นัดก็ห่างแค่สิบนาทีจากบ้าน)


บ้านที่ดูวันนี้ไม่มีหลังไหนสะดุดตา ยกเว้นหลังเดียวที่ราคาน่ารับได้แต่ต้องมาทำการรื้อ ปรับปรุง ตกแต่งภายในเยอะทีเดียว แต่ก็ได้แต่คิดไว้ในใจยังไม่คิดที่จะเสนอราคาเพราะจริงๆ มีบ้านที่น่าสนใจมากกว่า ซึ่งเรากับเทรฟกำลังเจรจาเรื่องราคากับเขาอยู่ และก็เพราะบ้านหลังนี้แหละที่ทำให้เราต้องเข้าไปคุยกับเอเจนท์กันอีกรอบ เราเริ่มคุยกันเรื่องตัวเลขความเป็นได้ของจำนวนเงินกู้ซื้อบ้าน เพื่อที่ว่าเราจะได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องว่า ราคาแค่ไหนที่เรารับได้ แค่ไหนแพงเกินไป


เอาเป็นว่าวันเสาร์แค่ดูบ้านอย่างเดียว เราสองคนก็หมดแรงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว


วันอาทิตย์ วันออกกำลังกายของเราสองคน ปกติจะออกไปวิ่งกัน แต่สภาพหิมะแบบนี้อันตรายเกินไป เราเลยตัดสินใจไปว่ายน้ำกัน (เอ่อ..สระว่ายน้ำในร่ม) ปกติเราไม่ค่อยชอบไปว่ายน้ำในสระตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว (ทั้งๆที่แต่ก่อนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียน) เพราะตั้งแต่สายตาสั้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ ว่ายน้ำในสระแล้วมองไม่ชัด มันเสี่ยงที่จะชนชาวบ้านเขาแล้วอีกอย่างคลอรีนก็แรงเหลือใจเล่นเอาผม หน้าพังหมด ..แต่ที่นี่..เรากลับรู้สึกว่ามันสนุกดี คงเป็นผลได้บรรยากาศของครอบครัวมากกว่าด้วยมั้ง แล้วก็นะ..หิมะตกข้างนอกให้ขาวไปหมด ได้มีโอกาสมานอนต๋อมแต๋มในสระว่ายน้ำอุ่นๆ ทำไมจะไม่ดี จริงมะ


หลังว่ายน้ำ เราซื้อของเข้าบ้านกันนิดหน่อย แล้วก็กลับมาพักกินข้าวเย็น รอเวลาเรียนเต้นซัลซ่าตอนรอบค่ำ (สนุกจริงๆ) ..และก็นั่นแหละ หมดเวลาของวันหยุดเสาร์อาทิตย์


วันนี้ทำงานหน้าจอจนปวดตาแล้ว เดี๋ยวก็ได้เวลาทำข้าวเย็นอีกแล้ว แล้วอีกหนึ่งวันของชีวิตที่นี่ก็ผ่านไป...
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ ม.ค. 16, 2010 7:29 am

13Jan2010- Getting anxioussss....แปลเป็นไทยว่า..ใกล้สติแตก (แล้ว)!!!

ห้าโมงกว่า...วันพุธที่ 13 มกราคม 2010


ช่วงนี้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จากเดิมชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเรื่อยเปื่อย (จะเห็นได้จากความถี่ของการเขียนไดอารี่ที่ลดลง) มาวันนี้ดูเหมือนทำอะไรไม่ทันไปซะหมดหว่า


หลังจากที่ผ่านกระบวนการเยี่ยมชมบ้านกันอย่างเข้มข้นในช่วงที่ผ่าน ในที่สุดเราสองคนก็ตัดสินใจยื่นข้อเสนอซื้อบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยปี 1930s ลักษณะบ้านจึงค่อนข้างมีพื้นที่กว้างขวาง ขนาดห้องใหญ่ (กรุณาอย่าจินตนาการเท่าคำว่า "ใหญ่"ของคนไทย เพราะห้องใหญ่ที่นี่ก็แค่พอใส่เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นแล้วยังมีที่เหลือให้เดินรอบห้องเท่านั้นเอง) ลักษณะอาการก่ออิฐถือปูนแน่นหนา กันเสียงได้ดี ห้องครัวอยู่ในสภาพดี ฯลฯ อ่อ..อาคารก่อสร้างในแต่ละยุคของที่นี่จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป บ้านยุคหลังๆ ห้องจะแคบ ผนังบางกั้นเสียงได้ไม่ดี เนื่องจากสร้างเพื่อลดต้นทุน ทั้งเรื่องเวลา วัสดุก่อสร้างและค่าแรง ดังนั้นบ้านเก่าจึงได้รับความนิยมมากกว่าเพราะถูกสร้างด้วยช่างฝีมือที่เน้นสร้างเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก ลักษณะอาคารบางประเภท เช่น สร้างด้วยคอนกรีตสำเร็จอย่างเดียว (ไม่มีส่วนที่เป็นอิฐถือปูน) บ้านประเภทนี้จะต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น เพราะความแข็งแรงอาจไม่ดีทำให้คนปล่อยกู้ไม่เสี่ยงปล่อยกู้ คนให้กู้ที่นี่อาจเป็นได้หลายรูปแบบทั้ง ธนาคาร, Building Society (ไม่อยากแปลเพราะอาจทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยรวมๆ คือบริษัทที่ดำเนินการทางด้านการเงินเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ), ไปรษณีย์, บริษัทประกัน, บริษัทค้าปลีก หรือสถาบันการเงินในรูปแบบใดๆ ก็ตาม หรือแม้แต่ผู้ให้กู้รายย่อยแบบนายทุนทั่วไป


การเจรจาเรื่องราคาต่อรองกันอยู่สองถึงสามรอบ นั่นก็คือเราต้องเสนอราคาซื้อผ่านเอเจนท์ที่ดูแลบ้านหลังนั้น เอเจนท์จะติดต่อไปที่เจ้าของบ้านว่ามีคนสนใจซื้อนะ ให้ราคาอย่างนี้ๆ ยอมรับราคานี้ได้ไหม ซึ่งราคาพวกนี้อาจสูงหรือต่ำกว่าราคาที่ประกาศขาย อันนี้ก็แล้วแต่สภาพตลาดบ้านตอนนั้นว่าร้อนแรงขนาดไหน ในที่สุดเราก็ทุ่มหมดตัวเพราะอยากได้บ้านหลังนี้มาก เรียกว่าถ้าให้ราคานี้แล้วไม่ขาย ก็ไม่มีปัญญาซื้อแล้ว ซึ่งก็โชคดีที่เขาตกลงยอมขาย (แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาที่ประกาศขาย 10%) แต่นี่ก็ยังไม่ได้แแปลว่าเราได้บ้านนั้นมาครอบครองอย่างแน่นอน เพราะกระบวนซื้อบ้านถือว่าพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น


จริงๆ ก่อนหน้าที่ผู้ซื้อจะทำการยื่นเสนอราคาขอซื้อได้ (Put offer) ผู้ซื้อต้องทำการติดต่อสถาบันการเงินเพื่อให้ออกหนังสือรับรองเงินกู้ก่อน พูดง่ายๆ ว่าต้องเช็คกับสถาบันการเงินก่อนว่าคนซื้อมีกำลังซื้อเท่าไหร่ (หรือมีคนยอมปล่อยกู้ให้เท่าไหร่) ผู้ซื้อถึงจะรู้ว่าตัวเองมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคาเท่าไหร่ได้บ้าง (เกณฑ์ในการมองหาบ้านอย่างกว้างๆ ก็มักเริ่มต้นกันที่ราคาว่าอยู่ในช่วงราคาเท่าไหร่ มากน้อยว่ากันไปตามกำลังทรัพย์, จำนวนห้องนอน หรือห้องน้ำ-เอ่อ เขาไม่ขยันสร้างห้องน้ำทุกชั้นเหมือนตึกแถวบ้านเรา),ลักษณะบ้าน เช่น เป็นแฟลต-แฟลตตามความหมายของวัฒนธรรมอังกฤษ อารมณ์จะประมาณห้องชุดบ้านเราคือมีห้องนอนแยกเป็นสัดส่วน ห้องน้ำ ห้องรับแขกและส่วนห้องครัว ไม่ใช่เข้าไปแล้วทุกอย่างรวมกันอยู่ที่เดียวกัน, บ้านเดี่ยว (Detached house), บ้านแฝด (Semi-detached house), บ้านหน้าตาเหมือนทาวน์เฮาส์บ้านเรา (Mid-terrace) หรือรูปแบบอื่นๆ ก็ว่ากันไป และที่สำคัญที่สร้างความแตกต่างเรื่องราคาอย่างมากคือ ทำเล


จากเดิมที่เราคุยกับเทรฟมาตลอดเรื่องทำเล (ตั้งแต่ยังอยู่เมืองไทย) มีพื้นที่อยู่ในข่ายการพิจารณาถึงเกือบสิบแห่ง (เอ่อ ที่นี่เขาเรียกกันเป็นย่าน และแต่ละย่านจะมีหย่อมความสะดวกสบายกระจายกันไป หรือที่เรียกว่า ทาวน์ (town) อารมณ์เหมือนย่าน "ในตลาดหรือในตัวเมือง"บ้านเรา หรือบริเวณใดๆที่มีการค้าคึกคัก แหล่งติดต่อต่างๆ ชุมนุมกันอยู่..เอ๊ะ..เขียนๆไปภาษาชักแปลก..โปรดให้อภัย
พอเรามาถึงหลังจากงงงวยหลงทิศอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเราก็ได้ผู้เข้ารอบสุดท้ายเหลือประมาณสามถึงสี่ทำเล จากนั้นเราก็เลือกบ้านจากเวบไซต์ของเอเจนท์ต่างๆ เริ่มหาบ้านที่เข้าตาและน่าสนใจ สู้ราคาไหว จากนั้นก็ติดต่อขอดูบ้านกับเอเจนท์ อย่างที่บอกพอเริ่มดูบ้านก็หมายถึงเราเริ่มศึกษาทำเลไปด้วย ผู้เข้ารอบสุดท้ายก็เลยเหลืออยู่สองทำเล เพราะย่านอื่นๆ หน้าตาไม่ถูกโฉลกกับเราซักเท่าไหร่ (การไปดูทำเลเราจะรู้สึกได้ถึงเพื่อนบ้าน การคมนาคม ความสะดวกสบายเรื่องร้านค้าและสภาพแถวนั้นว่าน่าอยู่แค่ไหน)


หลังจากเหลืออยู่สองย่าน ก็ต้องหาบ้านที่ดีที่สุดซักสามหลัง (ตัวเลขนี้เรากำหนดกันเอง) เพื่อมาลองเสนอราคาขอซื้อเรียกว่า ถ้าพลาดทางเลือกที่หนึ่ง ก็ยังมีสอง สาม จะได้ไม่ต้องไปเริ่มต้นดูบ้านใหม่ตั้งแต่ต้น..ช่วงที่ผ่านมาเรียกได้ว่าดูบ้านกันจนเอียน เหนื่อยและเบื่อมาก หน้าตาบ้านในย่านเดียวกันก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่มักจะสร้างในยุคเดียวกัน ใช้แปลนเดียวกัน จะต่างก็ตรงการตกแต่งและราคา บ้านไหนทำไว้ดีมากก็ราคาสูง หลังไหนต้องมาตกแต่งปรับปรุงใหม่ก็ราคาถูกมาหน่อย


และในที่สุดเมื่อเราตัดสินใจเสนอราคาซื้อและตกลงราคากันได้ดังที่ว่ามาแล้ว วันนี้เราก็เข้าไปที่ออฟฟิศของเอเจนท์อีกครั้งเพื่อตกลงเรื่องเอกสาร
อันได้แก่ แสดงเอกสารยืนยันตัวบุคคล (บ้านเราก็คงบัตรประชาชน) แต่ที่นี่เขาใช้พาสปอร์ตหรือใบขับขี่ (ของประเทศนี้เท่านั้น) และจดหมายที่ออกโดยบุคคลที่สามเพื่อยืนยันชื่อและที่อยู่ว่ามีชื่อนี้อยู่ที่ที่อยู่นี้จริง (ที่นี่ไม่มีทะเบียนบ้าน..บัตรประชาชนเองพึ่งมีกฎหมายบังคับใช้ไม่นานมานี้) ซึ่งเรื่องเอกสารยืนยันที่อยู่ของเราค่อนข้างลำบาก เพราะเราพึ่งมาอยู่ เอกสารส่วนใหญ่อยู่ในชื่อเทรฟ แต่ก็นะ..ก็หามาจนได้


จากนั้นก็พวกเอกสารทางการเงินต่างๆ (แน่นอนว่าเพื่อยืนยันว่ามีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้เขา)


เอกสารตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมการติดต่อ (Administration fee and mortgage fee) การว่าจ้างคนสำรวจสภาพบ้าน (Survey fee)-ส่วนนี้มีเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนปล่อยกู้ว่า สภาพบ้านอยู่ในสภาพดี คุ้มกับเงินที่ปล่อยกู้ กรณีคนกู้ไม่มีเงินผ่อนก็ขายบ้านใช้คืนได้คุ้ม, ค่าทนาย-ทุกอย่างดำเนินการผ่านทนาย..ตรงนี้ทำเองก็ได้ถ้ารู้วิธีทำ เช่น การตรวจสอบว่าคนขายมีสิทธิในการขายบ้านนั้นอย่างแท้จริง, การร่างสัญญาซื้อขาย เป็นต้น


เซ็นสัญญาเสร็จก็ยังไม่ได้แปลว่ามีการซื้อขายเกิดขึ้น เพราะวันนี้จริงๆ เท่ากับเรายืนยันว่า หนึ่งเราตกลงใช้เอเจนท์เจ้านี้ดำเนินการให้เรา (อันได้แก่จัดหาคนสำรวจบ้าน และหาทนาย อาจรวมถึงเรื่องการประกันบ้าน ประกันชีวิต ประกันทรัพย์สินต่างๆในบ้านด้วย-ประกันชีวิตเป็นเรื่องต้องทำเพราะถ้าคนผ่อนตาย สถาบันการเงินยังมีคนจ่ายคืนเงินกู้ให้อยู่) สอง ยืนยันว่าเราตกลงเลือกรูปแบบเงินกู้กับสถาบันการเงินนั้นๆ -เรื่องรูปแบบเงินกู้เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอย่างมาก เราใช้เวลาศึกษาเป็นอาทิตย์กว่าจะพอจับทิศจับทางไปคุยกับเขาได้


เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่นี้มีหลายร้อยรูปแบบ (คิดง่ายๆ ถ้ารูปแบบพื้นฐานที่แต่ละสถาบันการเงินส่วนใหญ่เสนอให้ลูกค้ามีอย่างน้อยที่สุด 5 แบบ แล้วสถาบันการเงินที่สามารถปล่อยเงินกู้ได้มีประมาณสองร้อยแห่ง นั่นหลายถึงจำนวนรูปแบบเงินกู้ที่ต่างกัน 1000 แบบ!...ขอยืนยันว่ามันต่างกันจริงๆ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ย) รูปแบบกว้างก็มีแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Interest rest), อัตราดอกเบี้ยแปรผันแบบอิงอัตราธนาคารแห่งชาติ (Flexible interest rate), อัตราดอกเบี้ยแปรผันแบบอิงอัตราที่สถาบันการเงินกำหนดเอง (Variable rate) อัตราดอกเบี้ยแบบผูกติดกับบัญชีเงินฝาก (Off-set) ยังมีแบบจะขอผ่อนแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว หรือผ่อนทั้งต้นทั้งดอก หรืออยากได้ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก ปีต่อไปไม่คงที่ก็ได้ หรือคงที่สองปี, สามปี ห้าปี ฯลฯ มีทั้งนั้น มีให้เลือกจนมึน ที่ยกมายังไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์ ..ไม่เล่าแล้วกันจะงงเปล่าๆ ต้องบอกว่าระบบเรื่องนี้ที่นี่ไปไกลกว่าเมืองไทยมากมายนัก เอาแค่ธนาคารเมืองไทยยังนับนิ้วได้ ที่นี่..อืม..ไม่ต้องนับจะดีกว่า


หมดจากเรื่องเลือกรูปแบบเงินกู้แล้วก็ต้องมาดูเรื่องระดับเงินดาวน์ เพราะดาวน์เยอะ ดอกเบี้ยก็ถูก (เป็นปกติ) อันนี้ก็ว่ากันไปมีหลายร้อยรูปแบบเหมือนกัน


และที่สำคัญคนซื้อบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ ทุกสองหรือสามปีเขาก็จะรีไฟแนนท์ (ภาษาบ้านเรา แต่ที่นี่เขาเรียก remortgage พูดง่ายๆ ก็คือเปลี่ยนคนให้กู้เงินเป็นเจ้าใหม่ที่ให้เงื่อนไขดีกว่า) ฉะนั้นไม่จำเป็นว่าจะทำเมื่อเราเกิดปัญหาทางการเงิน แต่ทำเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีกว่า (บางคนแอบคิดในใจ แล้วเราไม่เลือกไอ้ที่มันถูกที่สุดไว้ก่อนเล่า..ก็เพราะว่าสถานการณ์คำว่า "ถูก" มันไม่เหมือนกัน และไม่เหมือนเดิมเสมอไปน่ะสิ) เพราะนอกจากการดูเรื่องดอกเบี้ยและเงินดาวน์แล้ว เงื่อนไขเช่นค่าธรรมเนียม และค่าปรับในกรณีที่จะมีการ remortgage หรือ "โปะ" -หมายถึงเอาเงินมาตัดให้ผ่อนหมดไวๆ มันก็มีเงื่อนไขที่ต่างกันไปด้วย


เพราะงี้แหละ มันถึงเป็นเรื่องยุ่งยากและวุ่นวายมากมายทีเดียว


สรุปก็คือวันนี้ทำได้แค่ทำการเซ็นสัญญาผูกมัดกับบุคคลที่สามและสี่ที่เกี่ยวข้อง คือธนาคาร (ของเราเป็นธนาคารไม่ใช่สถาบันการเงินรูปแบบอื่น) และเอเจนท์


หลังจากนี้เอเจนท์จะติดให้คนสำรวจบ้านเขาดูบ้าน แล้วเขาจะรายงานกับธนาคารโดยตรงว่า สภาพบ้านเป็นอย่างไร (ซึ่งระดับความละเอียดของการสำรวจบ้านก็มีหลายระดับให้เลือกอีก..เฮ้อ เหนื่อยจริง) แต่ทั้งหลายทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของคนปล่อยกู้เป็นหลัก หากเราต้องการดูว่าบ้านอยู่ในสภาพพร้อมต่อเติมหรือไม่อย่างไร เราต้องจ่ายให้ช่างหรือคนสำรวจบ้านของเรามาดูต่างหาก..เฮ้อ..(อีกรอบ) หลักจากธนาคารได้รายงานแล้ว หากมีปัญหาเรื่องโครงสร้างหรือปัญหาอะไรที่สำคัญก็ต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจาเรื่องราคากันใหม่ ส่วนทนายความก็ทำหน้าที่ดูแลเรื่องเอกสารที่ดิน โฉลดบ้าน สัญญาซื้อขาย ฯลฯ อย่างที่บอกไปแล้ว สัญญาที่ร่างแล้วจะถูกส่งให้ทนายฝั่งผู้ขายและผู้ขายดู แล้วส่งให้ฝั่งเราดู แก้ไขกันไปมาจนกว่าจะพอใจ แล้วถึงจะนัดวันเซ็นสัญญา


หลังจากเซ็นสัญญาและตกลงจ่ายเงินดาวน์แล้ว ก็จะมีการกำหนดวัน "ส่งมอบกุญแจ" (Exchange Key-ถ้าเราแปลว่าวันแลกเปลี่ยนกุญแจเกรงว่าจะงงกันไปใหญ่) และนั่นแหละถึงจะแปลว่าการซื้อขายครั้งนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเราพร้อมจะย้ายเข้าอยู่ได้


...เฮ้อ...เหนื่อยไหมล่ะ..เราว่าแค่อ่านที่เราเขียนมาก็เหนื่อยแล้วเนอะ คงไม่ต้องจินตนาการว่าของจริงจะขนาดไหน...


เอาเป็นว่าวันนี้เอาแค่นี้ก่อนดีกว่า..จริงๆ นี่เป็นเพียงครึ่งเดียวของ "การสติแตก" วันนี้ของเรา อีกครึ่งหนึ่งเก็บไว้เล่าวันหลังแล้วกันนะ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » เสาร์ ม.ค. 16, 2010 7:30 am

15 Jan 2010: รำลึกความหลัง?

เกือบบ่ายสองโมงแล้ว วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2010 ที่แฟลต..โอ้ว..วันศุกร์อีกแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก!


บ่ายนี้มีนัดดูบ้านอีกรอบ ก็บ้านหลังเดิมที่ตกลงราคากันไว้นั่นแหละ วันนี้สองคนตัั้งใจจะไปสำรวจบ้านอย่างละเอียด ดูรอยแตก รอยร้าว โครงสร้างฯลฯ เท่าที่จะดูได้ด้วยตาเปล่าของตัวเอง


เช้านี้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า จัดการธุระหน้าคอมฯเสร็จแล้วก็ถึงเวลาอัพเดทข้อมูลข่าวสารหน้าทีวี เราใช้เวลาไปราวๆ สองชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาข้าวกลางวัน วันนี้ครึ้มอกครึ้มใจ คิดถึงเพื่อนที่เมืองไทย (เพราะไม่วุ่นหัวโตจนไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่น) ก็เลยกดโทรศัพท์ไปรายงานตัว แล้วก็ทำให้นึกได้ว่า ณ วันที่จากมา ไม่ได้บอกลาใครหลายคนอย่างเป็นทางการ วันนี้เลยถือเป็นฤกษ์ดีรำลึกความหลัง ณ วันแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต..ไม่สิ..เดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต "พฤศจิกายน 2552/2009"


ก่อนหน้าวันที่เทรฟจะบินไปถึงเมืองไทย 2 พฤศจิกายน 2552 สองสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เราวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลให้วุ่น ไม่ใช่เพราะตัวเองป่วย แต่เพราะเข้าไปเฝ้าหลานสาวที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก นอนโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนยาวหนึ่งอาทิตย์ พอเก็บข้าวของออกจากโรงพยาบาลนอนบ้านได้หนึ่งคืน คืนต่อมาพ่อก็เช็คอินด้วยอาการไข้ขึ้นสูงผิดปกติ เรานอนโรงพยาบาลไป พร้อมกับประสานงานกับเทรฟทางโทรศัพท์ ออกจะขลุกขลักและวุ่นวายเล็กน้อย เพราะปกติเราจะคุยกันผ่านระบบ video conference ของ google ซึ่งถูกกว่า (เพราะไม่เสียเงิน) และคุยได้นานกว่า


ยังจำได้ว่าวันนั้นกำหนดการเดินทางของเทรฟระยะเวลาสามสัปดาห์ในเมืองไทย ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียดเป็นเวลากว่าร่วมเดือน ปัญหามาอยู่ที่วันที่จะออกเดินทางนั่นแหละ..ว่าคือเมื่อไหร่ เพราะเอกสารสำคัญที่เทรฟต้องถือมา ออกอาการล่าช้า เดาเวลาไม่ได้ ยิ่งพอเรามาอยู่โรงพยาบาลการวางแผนต่างๆ ดูลักลั่น เพราะถ้าเทรฟมา แล้วใครจะเฝ้าพ่อ? โชคดีเหลือใจ พอออกจากโรงพยาบาลได้หนึ่งวัน เทรฟก็บินมาถึงทันที นั่นหมายถึง เราแพคกระเป๋าไปนอนโรงแรมอีกครั้ง


กำหนดการเบื้องต้น สำหรับการมาของเทรฟครั้งนี้ก็เพื่อมาเดินเอกสารเรื่องวีซ่าของเรา ซึ่งกินเวลาในการเตรียมตัวจากเราทั้งสองฝ่ายร่วมปี เราจึงตัดสินใจเปิดโรงแรมกลางกรุงเทพ เพื่อจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ (ยอมเสียมารยาท เพราะเทรฟไม่ได้เข้าบ้านไปไหว้พ่อกับแม่ก่อน) เวลาที่เทรฟลางานมาได้มีเพียงสามสัปดาห์ เวลาทุกนาทีต้องใช้ไปอย่างคุ้มค่า เริ่มจาก..


ทันทีที่เทรฟเช็คอินโรงแรม (ต้องเป็นวันอาทิตย์ เพื่อที่ว่าวันจันทร์ถัดมาจะได้ติดต่อราชการได้ทันที และวันอาทิตย์การเดินทางไปรับเทรฟที่สนามบินก็สะดวกที่สุด) เรารื้อเอกสารทุกอย่างออกมาดูกัน ไม่ต้องนับที่เราก็ขนของเรามามากมายเช่นกัน เอกสารสำคัญที่รอมานานคือ เอกสารยืนยันสถานภาพ (ความเป็นโสด) ของเทรฟที่ต้องออกโดยศาลเท่านั้น เช้าวันจันทร์เราถือเอกสารฉบับดังกล่าวตัวจริงไปยังสถานทูต เพื่อขอคำรับรองว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของจริง ขั้นตอนนี้ ต้องยื่นทิ้งไว้ แล้วมารับเอกสารที่ผ่านการรับรองแล้ววันรุ่งขึ้น
วันอังคาร เราไปรับเอกสารที่สถานทูต พร้อมถือใบแปล (ที่เราทำเตรียมไว้ล่วงหน้า..โชคดีที่มีอาชีพรับแปลเอกสาร ก็เลยไม่ต้องเสียตังค์ไป) และคำร้องขอรับรองเอกสารคำแปลภาษาไทยไปที่กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งวัฒนะ เพื่อขอให้เขารับรองว่าเอกสารภาษาไทยที่แปล ถูกต้องและรับรองโดยหน่วยงานราชการของไทย เอกสารชิ้นนี้ต้องเสียเวลารอ 4 วัน เขานัดให้มารับวันศุกร์ ..ไม่เป็นไร วันศุกร์ก็วันศุกร์..แต่ปัญหาก็คือหากผลออกมาว่าฉบับแปลต้องแก้ไข แล้วเราเอากลับไปแก้ แล้วเอามายื่นใหม่ มันจะต้องเสียเวลารออีก 4 วันไหม?? ไม่มีใครรู้..ฉะนั้น เราจึงเฝ้ารอผลเรื่องนี้ด้วยใจระทึก (เพราะจากคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ บอกว่า เจ้าหน้าที่สามารถงี่เง่าได้กับคำแปลไม่กี่คำแม้ว่าจะมีความหมายเดียวกันในภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย อ้อ ไม่นับรวมถึงประสบการณ์จากการตีกลับงานแปลของเราเองด้วย..เฮ้อ) และที่สำคัญอย่างที่บอก..ระยะเวลามีจำกัด หากทุกอย่างกินเวลายาวออกไป เรื่องยื่นวีซ่าอาจช้าออกไปอีก


เช้าวันศุกร์ เรากลับไปที่กระทรวงการต่างประเทศ รอรับผลอย่างใจจดใจจ่อ ผลปรากฏว่าเราต้องแก้ไขเอกสาร "เพียงหนึ่งคำ" เอาวะ..แม้จะคำเดียวแต่เขาก็มีเหตุผล ปัญหาคือเราต้องหาที่แก้และปริ๊นท์เอกสารให้เร็วที่สุด ไม่งัั้นต้องขับรถวนกันไปมา ไม่สนุกแน่นอน ..สุดท้ายเราก็ได้เอกสารฉบับแก้ไขยื่นกลับไปให้เขา แล้วก็นั่งรอผลต่อไป พักใหญ่ต่อมา เราได้เอกสารรับรองคำแปลมาอยู่ในมือ เป้าหมายต่อไป..สำนักงานเขตบางรัก


โชคดีที่เอกสารเสร็จก่อนเที่ยง เรามุ่งหน้าจากแจ้งวัฒนะไปบางรักทันทีเพื่อ..จดทะเบียนสมรส..ถามว่าทำไมต้องรีบร้อนกันขนาดนั้น ก็เพราะว่าระยะเวลาที่เทรฟอยู่เมืองไทยมีจำกัด เรามีเป้าหมายที่จะบินกลับอังกฤษพร้อมเทรฟ แต่ผลวีซ่าไม่มีใคร ถ้าโชคดีก็ได้กลับพร้อมกัน (นั่นหมายถึงปาฏิหาริย์ที่เราจะได้วีซ่าภายในเวลาไม่เกินสองอาทิตย์..เพราะจากสถิติที่สถานทูตแจ้งมีแนวโน้มว่าจะใช้เวลาพิจารณานานถึงสามเดือน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เทรฟต้องบินกลับก่อน และหากต้องมีการสัมภาษณ์ระหว่างนั้น การที่เทรฟอยู่แล้วเข้าสัมภาษณ์ด้วยจะดูเป็นประโยชน์มากกว่า..แต่ก็เอาเถอะ บรรดาสารพัดความเป็นไปได้เหล่านี้ เราสองคนเพียรคิด วางแผน และถกเถียงกันมาร่วมเดือน วันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด) เป้าหมายการไปสำนักงานแน่นอนว่าคือ..จดทะเบียนสมรส-เอกสารสำคัญสำหรับการขอวีซ่าแต่งงาน ปัญหาคือทำไมต้องที่บางรัก?? ไม่จำเป็นต้องเป็นที่นี่หรอก ที่ไหนก็ได้ แต่เลือกมาที่นี่เพราะเจ้าหน้าที่เขาคุ้นเคยกับการจดทะเบียนสมรสให้ชาวต่างชาติ ฉะนั้นก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่ว่า พอเดินเข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่จะทำหน้าเหวอ หาแบบคำร้องไม่เจอ หรือโทรถามกันวุ่นว่าต้องทำยังไงต่อไป ฯลฯ


กระบวนการจดทะเบียนสมรถไม่ยุ่งยาก ยกเว้นรอนานเพราะคิวยาว ประมาณสองชั่วโมงถัดมาเราก็ได้ทะเบียนสมรสไว้ในครอบครอง จำได้ว่าเป็นวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552..มันควรจะเป็นวันที่สำคัญอีกวันของชีวิตใช่ไหม..แต่เชื่อเหอะ..เดี๋ยวข้าพเจ้าก็จำไม่ได้อีก อิอิ


ออกจากสำนักงานเขตมาด้วยอาการหิวซกตาลาย เรารีบหาข้าวกินกันวุ่น จากนั้นก็มุ่งกลับโรงแรม เพราะหลังจากนี้คือกระบวนโ-ค-ต-ร ยุ่งของจริง..เตรียมเอกสารยื่นขอวีซ่า


อร-เพื่อนผู้แสนน่ารัก อยู่ช่วยให้ทั้งกำลังกายและกำลังใจมาตลอด ยอมลงทุนซื้อ all-in-one เครื่องใหม่มาตั้งไว้ที่โรงแรม เพราะเราต้องใช้ทั้งสแกนเนอร์ และปริ๊นท์เตอร์ (เอ่อ..คืออรจะต้องซื้ออยู่แล้ว ก็เลยได้ฤกษ์ซื้อมาประเดิมใช้งานนี้กันก่อนเลย) เอกสารขอวีซ่าต้องกรอกผ่านระบบออนไลน์ก่อนเท่านั้น ทีแรกอรยกโน๊ตบุ๊คตัวเองมาต่อเน็ตฟรีให้ แต่ไม่เวิร์ค ก็เลยเปลี่ยนเป็นเน็ตผ่านมือถือตัวเอง (เครื่องเราไม่มี blue tooth) แต่ก็ไม่ค่อยดี ในที่สุดเราตัดสินใจซื้อชั่วโมงเน็ตโรงแรมในราคาสามร้อยบาทเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เอาวะ..อะไรต้องจ่ายก็ต้องจ่าย


เราเริ่มต้นกรอกแบบฟอร์มกันอย่างระมัดระวัง ทั้งที่รายละเอียดทั้งหมดก็ผ่านการซักซ้อมกรอกข้อมูลล่วงหน้าในกระดาษมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง (มันเหมือนการทำอะไรซักอย่างที่มีอนาคตของตัวเองเป็นเดิมพัน ประกอบกับเราเคยมีประสบการณ์ถูกปฏิเสธวีซ่ามาถึงสองครั้ง ทุกครั้งที่ต้องกลับไปกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนนี้ ทำเอาเราน้ำตาตกทุกครั้งไป)


ในที่สุดใบสมัครของวีซ่าจำนวนกว่า 15 แผ่นก็ถูกกรอกและปริ๊นท์ออกมาอย่างเสร็จสมบูรณ์ ไม่นับเอกสารประกอบหลักจำนวน 2 แฟ้มห่วงความหนากว่าสามนิ้ว และเอกสารประกอบอื่นๆ อีกหนึ่งกระเป๋าเดินทาง! (ข้างในประกอบด้วยอีเมล์ที่ปริ้นท์ออกมาจำนวน 6 แฟ้ม และไดอารี่จำนวน 15 เล่ม)


วันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางพร้อมเอกสารทั้งหมดเพื่อไปยื่นวีซ่าที่ราชดำริตามเวลาที่นัดไว้ล่วงหน้าแล้ว ใจเราเต้นไม่เป็นส่ำกลัวทำอะไรผิดพลาดไป เทรฟคอยปลอบตลอดเวลาว่า อย่ากลัว อย่ากังวล เราทำทุกอย่างอย่างรอบคอบและดีที่สุดตามวิจารณญาณที่เรามีแล้ว..แต่เรายังคงเครียดต่อไป ที่สำคัญเราต้องเข้าไปคนเดียว..ฮือๆๆ เอาที่รักเข้าไปด้วยก็ไม่ได้เหรอ..


เราเดินเข้าไปพร้อมทุกหิ้วใบใหญ่ที่ใส่สองแฟ้มหนาไว้กับลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมตามไปด้วย..เอ่อ..ใหญ่เท่ากระเป๋าแบบที่แอร์ฯใช้เท่านั้นค่ะ อย่าจินตนาการให้น่ากลัวขนาดนั้น.. เจ้าหน้าที่หน้าประตูบอก..กระเป๋าเดินทางฝากไว้ข้างนอกก่อนครับ ไม่ต้องเอาเข้าไป..เอ่อ..ต้องเอาเข้าไปค่ะ เพราะนี่คือหลักฐานประกอบค่ะ..เจ้าหน้าที่สามคนมองหน้ากันทำหน้าบอกไม่ถูกเลยที่เดียว


เราเดินเขาไปยื่นเอกสารที่เคาน์เตอร์..เอ่อ พี่ครับ เดี๋ยวผมขอตรวจแบบฟอร์มพี่ก่อนนะครับ เอกสารประกอบมีตามนี้ใช่ไหมครับ ..เจ้าหน้าที่ว่าพร้อมกวาดสายตาไปที่สองแฟ้มยักษ์ตรงหน้า..ไม่ค่ะมีอีก..ตึ้ก! เราวางกระเป๋าเดินทางลงบนเคาน์เตอร์..เอ่อ..เจ้าหน้าที่พูดไม่ออกเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่ที่ท่าทางจะซีเนียร์กว่าเดินเข้ามาช่วยทันที..เอ่อ เดี๋ยวช่วยเอาเอกสารออกจากกระเป๋านะคะ เราเอาไปแต่เอกสาร กระเป๋าเราไม่เอาค่ะ..เราพยักหน้าแล้วก็ลำเลียงทุกอย่างออกจากกระเป๋า รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คนที่มองมารอบๆ ที่ส่งมาว่า..โห..อะไรมันจะขนาดนั้นวะเนี่ย??


ผลก็คือแบบฟอร์มที่เรากรอกไม่ถูกต้อง (อะไรวะ??) ต้องกรอกใหม่ ซึ่งทั้งๆที่ความจริงเนื้อหาข้างในมันก็เหมือนกันทุกประการ แต่ในเมื่อต้องกรอกใหม่ ก็กรอกใหม่ ที่น่าหงุดหงิดก็คือ ฟอร์มในเน็ต (ซึ่งสับสนไม่น้อย) มีเนื้อที่จำกัดกว่าในกระดาษมาก เมื่อเรากรอกข้อมูลออนไลน์ด้วยข้อมูลที่เราเตรียมไว้ในกระดาษล่วงหน้า เราต้องตัดทอนคำออกไปไม่น้อย (ซึ่งตรงนี้เรากับเทรฟก็ใช้เวลาแก้ไขกันหลายตลบ) แล้วทีนี้ต้องมากรอกลงในกระดาษ..รู้งี้ก็เอาเวอร์ชั่นเดิมมาลอกลงไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ..เราใช้เวลากรอกข้อมูลต่างๆ ไม่น้อย กรอกไปก็หวั่นใจไปว่าจะทำอะไรพลาดไป ..แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้แล้ว..เราทวนทุกอย่างสองรอบ ทำให้แน่ใจว่าข้อมูลทุกอย่างที่อยากจะบอก อยากจะกรอกอยู่ในสิบห้าหน้านั้น


เราออกจากที่ยื่นวีซ่ามาด้วยใจหวั่นวิตก เทรฟเพียรปลอบเราตลอด เราเครียดและหิวเพราะเสียเวลาอยู่ในนั้นเสียนานจนเลยเที่ยง..ในที่สุดเราก็ทำใจได้ว่า ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้อีกแล้ว เรากลับไปโรงแรม แล้วก็ได้รับข่าวที่คาดไม่ถึงผ่านทางโทรศัพท์ว่า..พ่อกับแม่เตรียมงานแต่งงานไว้วันเสาร์ที่กำลังจะมาถึง เรากับเทรฟมองหน้ากันงงเป็นไก่ตาแตก เพราะแผนเดิมเราจะเลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อน เพราะถ้าเราต้องวุ่นวายเรื่องเตรียมงานแต่งด้วย เราจะเครียดมากเพราะทั้งเรื่องเอกสารวีซ่าและงานแต่งล้วนเป็นเรื่องกินพลังงานทั้งแรงกาย แรงใจ และเมื่อเราเลื่อนงานแต่งผลก็คือเทรฟกับเราถึงได้ตัดสินใจมาอยู่กรุงเทพตั้งแต่วันแรกที่เทรฟมาถึงเพื่อเดินเรื่องวีซ่า..แล้วตอนนี้ทุกอย่างกลับตาละปัตร..เอาวะ ในเมื่อเขาว่าอย่างนั้นเราก็ต้องทำตาม ฉะนั้นทุกอย่างหลังจากนั้นทำได้เพียงผ่านโทรศัพท์ เราโทรจองช่างแต่งหน้า ล็อคคอเพื่อนให้มาเป็นตากล้อง เชิญแขกผ่าน sms (ต้องขออภัยสำหรับคนที่ไม่ทราบข่าว เราเลือกแขกที่จะไม่ลำบากในการเดินทางไปร่วมงานด้วยอีกประการหนึ่ง) ที่สำคัญงานนี้ไม่มีของชำร่วยค่ะ เพราะเจ้าสาวเตรียมไม่ทัน


วันเสาร์ทันทีที่เรากลับถึงเมืองชล เรากลับเทรฟพุ่งไปร้านเพื่อขอเช่าชุดแต่งงาน ลองกันตรงนั้นแก้กันตรงนั้น (โชคดีที่ใส่ได้ เพราะอย่างที่บอกพอแผนมีว่าไม่มีงาน แล้วมามีงาน เราเลยกลายเป็นเจ้าสาวรุ่น Heavy weight ไปเลย..ก็แหม..กินกระจาย) โชคดีที่เราหาโจงกระเบนให้เทรฟได้ (เทรฟชอบมาก) เรานัดเวลาช่างแต่งหน้าไว้ตีสองของวันอาทิตย์ คืนนั้นเราต้องรีบเข้านอน..ดีแปลกๆเนอะ สองคนพึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ แล้วก็กระโจนเข้าพิธีแต่งงาน


วันอาทิตย์งานแต่งเรา 15 พฤศจิกายน นอกเหนือจากรู้ว่าตัวเองต้องตื่นไปแต่งหน้าตอนตีสองแล้ว (โดยมีสารถีเป็นเพื่อนรักชื่ออรอีกเช่นเคย งานนี้เธอทุ่มสุดตัว ช่วยทุกเรื่อง) นอกจากนี้เราไม่รู้อะไรเลย งานทุกอย่างถูกเตรียมโดยพ่อ แม่และบรรดาพี่ๆ น้องๆ (จะว่าไปก็ดีเหมือนกันเนอะ ไม่เหนื่อย แหม น่าจะตกลงกันอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปล่อยเราบ้าไปคนเดียวอยู่ตั้งนาน) งานมีแค่ทำบุญ ตักบาตรตอนเช้า ไหว้ผู้ใหญ่ และรดน้ำ ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนเที่ยง ข้าวของและบ้านกลับคืนสภาพเดิมภายในบ่ายสองโมงของวันเดียวกัน รวดเร็วจริงๆ เฮ้อ..


วันรุ่งขึ้นเราสองคนรวมทั้งเจ้าอรเจ้าเดิม มุ่งหน้าสู่เกาะเสม็ด หนีไปพักหัวและพักเหนื่อยสองคืน (ได้แค่นั้นจริงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นเรื่องวีซ่า ถ้าโดนเรียกสัมภาษณ์หรือเขาขอเอกสารเพิ่มจะกลับเข้ากรุงเทพฯกันไม่ทัน ต้องบอกว่าเป็นสองวันแรกที่เราสองคนได้พักแบบไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร


วันพุธที่ 18 เราเดินทางกลับเมืองชล ต่างพูดคุยถึงเรื่องวีซ่ากันเป็นระยะ เพราะเราค่อนข้างกังวลกับผลที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับเทรฟกำหนดวันเดินทางกลับไว้แล้วว่าเป็นวันที่ 24 อรยังคงมองโลกในแง่ดีว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ผลแล้ว


วันพฤหัสฯ ที่ 19 เราค่อนข้างกังวล อาจเป็นเพราะฟังเจ้าอรไว้เยอะ แอบตื่นเต้นว่าถ้าผลมันออกวันนี้จริงๆ ล่ะ เราระบายความกังวลใจนี้กับเทรฟแล้วก็ตัดสินใจว่าจะเช็คผลออนไลน์ เทรฟว่า..อืม..มันพึ่งจะอาทิตย์เดียวเองนะ แล้วถ้าผลมันออกเขาก็น่าจะส่งข้อความมาบอกตามที่ตกลงกันไว้..เราว่า ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย ถ้าผลมันยังไม่ออก ก็ยังไม่ออก เทรฟเห็นด้วย แล้วเราก็เจอว่า..ผลมันออกแล้ว! ผลการพิจารณาใบยื่นวีซ่าพร้อมให้มารับแล้ว! เราอึ้ง! มันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ..หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาอรอย่างด่วน..ทำไมน่ะเหรอ..ก็จะติดรถเขาไปกรุงเทพ ไปรับผลวีซ่าไง! อ้าว..มี sms มาแล้วนี่


อร..แกอยู่ไหนอ่ะ..ไมเหรอ เอ้อ แล้วเมสเซสมายัง?? อรถามกลับซะงั้น ..ฉันโทรหาแกก็เรื่องนี้แหละ ผลออกแล้ว ฉันติดรถไปกะแกนะ...เหรอ! ตื่นเต้นๆๆ เอ้อ อีกสิบนาทีเจอกัน เดี๋ยวไปรับ.. แล้วเราก็ออกจากบ้านกันอีกครั้ง (ยังอยู่บ้านไม่เท่าไหร่เลยนะเนี่ย ตั้งแต่เทรฟมาถึง) เราไม่ลืมคว้ากระเป๋าเดินทางที่ใช้ใส่เอกสารกลับไปด้วย


..ห้ามเปิดก่อนนะแก! ต้องมาเปิดดูพร้อมกัน..นี่เป็นคำขาดจากเจ้าอร เราหันไปมองหน้าเทรฟ เทรฟเห็นด้วยกับอร (ซะงั้น) เราเข้าไปรับเอกสาร และดูเหมือนว่าทุกคนจะรออยู่ เพราะเขาต่างพากันบอกต่อกันว่า ..นี่ไง ชุดใหญ่มาแล้ว..เอ่อ เหตุก็มาจากเอกสารประกอบของเรานั่นแหละ เพราะหนึ่งตะกร้าของเขาปกติจะใส่เอกสารใบสมัครประมาณห้าถึงหกซอง แต่ของเราคนเดียวหนึ่งตะกร้า! เราเก็บเอกสารทุกอย่างลงกระเป๋า เจ้าหน้าที่รีบสำทับ ..อย่าลืมผลครับ.. เราคว้าซองกระดาษสีขาวมาถือไว้ด้วยใจระทึก..นี่ถ้าไม่โดนคาดคั้นไว้เราเปิดดูมันตรงนั้นไปแล้ว


เราสามคนระงับความตื่นเต้นไว้รอจนถึงรถ แล้วก็..เปิดซอง..มีแค่พาสปอร์ตเท่านั้น ใช่แล้ว! วีซ่าเราผ่านแล้ววววว! เย้ๆๆๆ เราสามคนกรี๊ดกันลั่นรถ โดยเฉพาะเรากับเทรฟจับมือกันแน่นด้วยความตื่นเต้น...ทำลายทุกสถิติที่ผ่านมา เพียงหนึ่งสัปดาห์วันทำงาน หรือสิบวันรวมเสาร์-อาทิตย์ ผลวีซ่าเราออก..ที่สำคัญ มันออกก่อนที่เทรฟจะเดินทางกลับ..เทรฟเองยังไม่ค่อยอยากเชื่อเรื่องนี้เท่านี้เท่าไหร่ เพราะจากสถิติของสถานทูตเองมีเพียงสองเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่วีซ่าจะพิจารณาเสร็จภายในเจ็ดถึงสิบวันทำการ It's great,isn't it? Yeaaaaahhh!


เรื่องต่อไปที่ต้องทำอย่างด่วนคือ จองตั๋วเครื่องบินและซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหม่


เป้าหมายคือมาบุญครอง ที่ซึ่งเราจะทำทุกอย่างที่ต้องทำได้ในที่เดียวกัน เราซื้อตั๋วเครื่องบินซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นเที่ยวเดียวกับเทรฟ, ซื้อกระเป๋าใบใหม่ราคาย่อมเยา, ตัดผม...รอมานานนนน เพราะต้องไว้ผมยาวสำหรับงานแต่ง และเราไม่มีทางยอมเสียเงินไปตัดผมที่อังกฤษเด็ดขาด, อัดรูป ฯลฯ


กำหนดเที่ยวบินของเรา ต้องออกจากบ้านเช้าวันที่ 24 ตอนตีสาม เพราะต้องเช็คอินก่อนหกโมงเช้า ฉะนั้นเวลาสองถึงสามวันก่อนเดินทางของเราถึงหมดไปกับการเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม ทั้งเรื่องเอกสารและเรื่องอื่นใดที่เราต้องดำเนินการเอง รวมไปถึงจัดกระเป๋าเดินทาง


ต้องบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเรามั่นใจว่าพ่อกับแม่เราต้องใจหายไม่น้อย เราเห็นแม่เรานอนร้องไห้คืนก่อนที่เราจะบิน..แม่ขา หนูรู้ว่าแม่คิดถึงหนู แต่หนูมีภารกิจที่ต้องจัดการและทำให้สำเร็จ..หนูรู้ว่าแม่รู้และเข้าใจใช่ไหมคะ


เราตกลงกันไว้ว่าเราจะให้อรขับรถไปส่งเราที่สนามบิน (อร..อีกแล้วครับท่าน..มันทำทุกอย่าง..จริงๆ!) เพราะมันเป็นเช้าวันทำงาน ถ้าให้คนที่บ้านไปส่งจะยุ่งยากกันไปใหญ่ ทั้งไหนต้องไปทำงานและเด็กๆต้องไปโรงเรียน.. แต่ทุกคนก็ยังพร้อมใจกันตื่นแต่มืดลงมาส่งเราที่น่าประตูบ้าน น่าปลื้มใจจริงๆ (ไม่ส่งก็แปลกเนอะ หนนี้เราไปนานนี่นา)


เราตื่นเต้นมากกับการกลับมาอังกฤษครั้งนี้ เพราะมันเหมือนการกลับบ้าน..ที่จากมานาน เราคิดถึงชีวิตเราที่นี่ คิดถึงอิสระ..อิสรภาพจากความคาดหวังของคนรอบข้างในสังคมไทย เบื่อมาตรฐานจอมปลอมที่บางครั้งก็ทำตามกันไปโดยไม่เคยสงสัยว่า "ทำไปเพื่อใคร (กันแน่)?"


เราขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการเดินทางของการรอคอย..ที่แสนยาวนานครั้งนี้ (และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลง..ซะที!)
ขอขอบคุณพ่อกับแม่ที่เข้าใจ และยอมให้เราสองคนแต่งงานกัน ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจจัดงานแต่งงานให้เรา เรารู้ว่าทุกคนเหนื่อยและเครียดกันมาก It's a really good surprise!
ขอบคุณคุณเอกสำหรับคำแนะนำและความช่วยเหลือพิเศษ..ที่พิเศษจริงๆ
ขอบคุณอรมากๆๆๆๆ ที่ช่วยทุกอย่างที่ผ่านมา ทั้งแรงกาย แรงใจ และร่วมรับรู้อุปสรรคทุกอย่างระหว่างทาง
ที่สำคัญขอบคุณที่รัก สำหรับทุกอย่างที่คุณทำและความอดทนอย่างที่สุด เพื่อที่เราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน..และในที่สุดเราก็ทำได้ที่รัก..เราทำได้!
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:34 pm

18Jan2010 Happy weekend?

8.12 am Mon18 Jan 2010 @ flat


โฮๆๆ วันจันทร์อีกแล้ว อยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ..จริงๆ ทีแรกเทรฟชวนไปนั่งเล่นที่ออฟฟิศด้วยกัน บอกว่าเขาอยู่คนเดียวในออฟฟิศวันนี้ แต่พอเราถามว่าแน่ใจเหรอ..เทรฟคิดไปคิดมาอีกที บอกงั้นโปร่งไม่ต้องไปดีกว่า..ซะงั้น


เมื่อวานเป็นเสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีเรื่องบ้านเข้ามาเกี่ยว..ตารางชีวิตเลยดูว่างๆ พิกล เทรฟถามตั้งแต่ก่อนเข้านอนคืนวันศุกร์ว่าเรามีโปรแกรมอะไรกันบ้าง เราก็ตอบไม่ได้ นอนมองหน้ากันแล้วก็หลับไป
จริงๆ เสาร์อาทิตย์เป็นวันแห่งการออกกำลังกาย ไม่วิ่งก็ว่ายน้ำ แต่เสาร์อาทิตย์นี้เทรฟบอกว่ามีงานต้องทำ เราเองก็อยากกรอกใบสมัครงาน สรุปสองคนเลยวุ่นวายกับเอกสารตรงหน้าแทน


แต่กระนั้นก็ยังไม่วาย หาเรื่องขับรถออกไปดูแถวบ้านใหม่กัน ไปดูว่าทำเลแถวนั้นเป็นยังไง ร้านรวงอะไรอยู่ตรงไหน แล้วเราก็ถือโอกาสหัดขับรถไปด้วยในตัว วันนี้ขับไปไกลกว่าเดิม เทรฟว่าขับรถมั่นใจขึ้นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ก็คงขับคนเดียวได้แล้ว (หารู้ไม่..เราเครียดแทบตาย)


วันอาทิตย์ไปๆ มาๆ เราก็เบี้ยวไม่ไปว่ายน้ำกันอีกแล้ว เพราะใจเรายังกังวลเรื่องสมัครงาน ..ก็ใบสมัครงานอันนี้มันเหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน ยาวเกือบสิบหน้า มีคำถามให้ตอบตั้ง 6-7 ข้อ แทนการส่งประวัติการทำงานอย่างเดียว เรียกว่าต้องคิด ต้องคั้นกันเลยทีเดียว ทำไปได้พักใหญ่ก็ไม่ไหว มึน เทรฟเลยชวนออกไปเที่ยวตลาดกันแก้เครียด


ตลาดวันเสาร์อาทิตย์เป็นอะไรที่เราสองคนพยาย๊าม พยายามหากันมาก เพราะตลาดแบบนี้จะหน้าตาเหมือนตลาดยามเช้าบ้านเรา เพียงแต่สะอาดกว่า(เยอะ) เพราะจะมีพ่อค้าแม่ค้าที่เขาทำของมาขายเอง ไม่ว่าจะเป็นของกิน ผักผลไม้สด ซึ่งราคาถูกและคุณภาพดีกว่าในห้าง ไม่ก็พวกของใช้มือสอง ..ปรากฏว่าตลาดวันนี้น่าผิดหวังมาก ของก็น้อยแถมดูไม่ค่อยน่าสนใจ ยกเว้นก็แต่พวกผักผลไม้จากพ่อค้าที่ราคาถูกกว่าเทสโก้เหลือหลาย เสียดายว่าไม่มีที่จะเก็บแล้ว เราเลยซื้อแต่กระเทียมมาแทน เพราะใช้หมดไวเหลือเกิน (ก็ขยันทำกับข้าวกันซะขนาดนั้น) ..โชคดีที่ว่าตลาดนี้อยู่ติดกับร้านขายของเอเชีย (น่าจะเรียกห้างมากกว่าเพราะใหญ่เหลือเกิน) รวมสารพัดเครื่องปรุงและของใช้ของเอเชียทั้ง เอเชียจีน ไทย อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ เราตื่นเต้นดีใจ ตั้งใจมาซื้อกระชายแล้วมีขาย กะซื้อติดบ้านไว้ทำน้ำยาขนมจีนกับแกงป่า ไม่มีกระชายเนี่ย..ไม่ได้เลย แล้วก็ซื้ออย่างอื่นนิดหน่อย เทรฟว่าไม่ต้องซื้อไปเยอะ ไว้ขาดอะไรค่อยมา เพราะรู้แล้วว่าจะซื้ออะไรได้ที่ไหน (ไม่ต้องเข้าลอนดอนหรือไปรีดดิ้ง (Reading-ชื่อเมืองนะคะ เขียนเหมือน เรดดิ้ง ที่แปลว่า กำลังอ่าน แต่ที่นี่เขาออกเสียง รี้ดดิ้ง) อีกอย่างกำลังจะย้ายบ้านไม่ควรกักตุนของเยอะจนเกินไป


หลังจากช็อปปิ้งแล้วเทรฟทำหน้าเจ้าเล่ห์ถามเราว่า..ที่รักจ๊ะ พร้อมจะไปออกกำลังกายกันซักนิดนึงไหมจ๊ะ..เรามองหน้าเทรฟแล้วเดาไม่ถูกว่าพ่อคุณจะมาไม้ไหน? ..ออกกำลังกายแบบไหนเทรฟ??..You know what exercise means. เทรฟตอบกลับมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ต่อไปอีก เรายังงงไม่เลิก..เทรฟบอก บอกไม่ได้อันนี้เป็นเซอร์ไพรส์ เทรฟขับรถออกไป ไม่พูดอะไร ไม่บอกว่ากำลังจะไปไหนด้วย เราก็เลยนั่นดูวิวเล่นไปแทน


เทรฟขับรถออกไปไกลเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรามั่นใจว่าเราไม่เคยมาแถวนี้ ในที่สุดเทรฟก็บอกว่าเรากำลังจะไปไหนกัน ..เทรฟเลี้ยวเข้าซอยซอยหนึ่งข้างหน้า..ถึงแล้วเหรอ? เราถาม ..ยัง แต่จะพาไปดูบ้านหลังนึงที่ผมเคยพักอยู่ก่อนที่จะย้ายไปทำงานที่ฟริมลี่ (Frimley) แล้วเจอคุณไง..อ่อ.. เราขับรถโฉบบ้านหลังนั้นแล้วก็ขับออกมา เทรฟว่ายังไม่ถึงที่หมายที่เขาตั้งใจจะพาเราไป ว่าแล้วก็ขับรถต่อไป..มันเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ แต่เราเริ่มเดาได้แล้วว่าเทรฟจะพาเราไปไหน..ในที่สุดเทรฟก็เลี้ยวเข้าลานจอดรถหน้าผับแห่งหนึ่ง..ใช่จริงๆ ด้วย


ที่นี่คือแคมป์ไซต์ (Camp Site) ที่เทรฟเคยเอารถตู้ (Van) มาจอดนอนพักช่วงสี่ปีก่อน และใช้ที่นี่เป็นที่นอนยาวนานกว่าสองปี!


ขอเล่าเรื่องแคมป์ไซต์นิดนึง คือถ้าพูดถึงการออกแคมป์หรือออกค่าย เรามักจะคิดถึงการกางเตนท์ซึ่งที่นี่เขาก็ทำกัน แต่แคมป์ไซต์อันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ที่จะให้คนเอาคาราวานมาจอด มีที่ให้เสียบปลั๊กไฟ มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำบริการ และมักมีผับไว้ให้กินข้าวด้วย พูดง่ายๆก็คือเป็นที่ไว้ให้จอด mobile house ราคาถูก แทนที่่จะนอนในโรงแรมราคาคืนละ ?60-80 (ราวสามพันถึงสี่พันบาทต่อคืน..สำหรับโรงแรมระดับธรรมดาไม่หรูเริ่ด) ก็เอารถชนิดที่เรานอนในรถได้มาจอด (ส่วนใหญ่เป็นรถตู้ดัดแปลงหรือรถคาราวานที่หน้าตาคล้ายตู้คอนเทนเนอร์) ราคาเพียงคืนละ ?18 (ประมาณพันกว่าบาท..ราคาเมื่อสี่ปีก่อน) ซึ่งจะเห็นว่าถูกกว่ากันเยอะ ฉะนั้นแคมป์ไซต์แบบนี้จึงเหมาะกับคนทำงานที่เดินทางตลอดเวลาแต่ไม่ต้องการจ่ายเงินเยอะๆ ค่าโรงแรม


สี่ปีก่อน (ก่อนที่เทรฟจะเช่าแฟลตที่นี่) เทรฟตัดสินใจซื้อรถแวนขนาดย่อมราคา ?400 (ราคาประมาณ28,000 บาท ณ วันนั้น)..ช่ายย โครตถูกสำหรับรถตู้ขนาดย่อม เทรฟจัดการดัดแปลงพื้นที่ในรถให้เป็นเตียงขนาดพอดีตัว ใส่อ่างล้างจานขนาดเล็ก ทำพื้นที่เคาน์เตอร์เล็ก ทุกพื้นที่ข้างใต้ใช้เป็นที่เก็บของ ติดม่านและที่แขวนของไว้ทั่วเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน ในพื้นที่ขนาดคนหนึ่งจะนอนหรือนั่งได้แบบไม่ลำบากมาก เทรฟออกแบบให้พื้นที่ในรถคันนี้เป็นทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องแต่งตัว และห้องน้ำในกรณีฉุกเฉิน เทรฟอาศัยรถคันนี้เป็นบ้านเคลื่อนที่สำหรับวันทำงานกว่าสองปี (เทรฟขับรถกลับบ้านในเวลล์ (Wales) ช่วงศุกร์เสาร์อาทิตย์) เทรฟเล่าให้ฟังว่า ปกติเทรฟจะทำอะไรกินเองในรถ (ในรถมีตู้อบเล็กๆ กับถังแก๊สปิคนิค) สองคืน ส่วนอีกคืนจะไปกินในผับ เท่ากับเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง..จินตนาการการมีบ้านเคลื่อนที่ในอากาศอุ่นสบายท่ามกลางบรรยากาศกลางทุ่งหญ้าและต้นไม้ช่างดูโรแมนติก..แต่เผอิญว่าอากาศในอังกฤษเป็นอย่างที่ว่าชนิดนับวันได้ นอกนั้นก็ทั้งฝน ลม และความหนาว จินตนาการถึงการต้องนอนในกล่องโลหะท่ามกลางอากาศหนาวช่างปวดใจ หลายครั้งทีเดียวที่เราได้ยินเสียงฝนตกต้องหลังคารถในระหว่างคุยกัน และมีหลายทีที่เทรฟต้องยืนตากฝนคุยกับเราเพียงเพราะสัญญาณมือถือที่ดีกว่า... คืนไหนที่เป็นคืนฉลอง..เทรฟได้นั่งกินข้าวในผับอุ่นๆ พร้อมหนังสือคู่ใจ..มันช่างเหมือนสวรรค์..หลายครั้งที่ได้รับรู้ข่าวคราวความเหน็บหนาวของอากาศยามหลังพระอาทิตย์ตกดิน..เราได้แต่เพียรขอร้องให้เทรฟไปนอนโรงแรมหรือกินในผับ..มันปวดใจเกินไปที่ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานหนักเหลือแสน ต้องทนนอนในกล่องโลหะเย็นเยียบทุกคืน เพียงเพื่อจะได้ประหยัดเงิน..ไว้เพื่อ..เพื่อใครซักคน..ที่เรารู้สึกเสมอว่า "เธอ"กำลังเอาเปรียบเขา..


น่าดีใจที่คืนวันเหล่านั้นสิ้นสุดลงแล้ว เทรฟพาเราไปที่แคมป์ไซต์เมื่อวานดึงเรากลับไปนึกถึงวันวานแห่งความลำบากของเทรฟ เราน้ำตาร่วงเสมอ สัญญากับตัวเอง "ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ตกอยู่ในสภาพนั้นอีกเด็ดขาด..ความสุขของเขาคือเป้าหมายสูงสุดของเรา"..เรารู้สึกอย่างนั้นเสมอ ตั้งแต่สามปีก่อนจนวันนี้ วันที่เราได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน..มันเหมือนฝัน..แต่มันเป็นความจริง..ความจริงที่ต้องสู้ผ่านอุปสรรคสารพัดที่มากมายเกินกว่าที่เราจะกล้าจินตนาการถึงวันนี้ ณ วันนั้น


สองปีที่แล้ว ณ วันที่เทรฟย้ายออกจากบ้านที่เวลล์มาเช่าแฟลตอยู่ เราดีใจแทนเทรฟอย่างที่สุด ทีนี้เขาจะได้นอนในเตียงอุ่น กินอาหารดีๆ ซะดี เทรฟรักแฟลตนี้มาก เทรฟว่ามันดีกว่าในรถแวนเยอะเลย..แน่อยู่แล้วที่รัก.. มา ณ วันนี้ เราขยายฝันของเราออกไปอีก เพราะเรากำลังจะซื้อบ้าน กำลังจะย้ายไปอยู่ในบ้านของเราเอง บ้านที่เราจะได้ทำอะไรที่เราฝัน เราวางแผนไว้ร่วมกัน .. เรามั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี อย่างที่มันเป็นมาเสมอเมื่อเราสองคนร่วมแรงกัน....


ความสุข ความหวัง และความฝัน ไม่เคยไกลเกินเอื้อม มันอยู่ในมือเรานี่แหละ..อยู่ที่เราจะทำให้มันเกิดขึ้น..ไม่ใช่คนอื่น ...มันไม่สำคัญว่ามันจะยากขนาดไหน มันอยู่ที่เรา "ต้องการ" มันมากขนาดไหนต่างหาก
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:35 pm

20Jan2010 บ้านนอกเข้ากรุง?

วันพุธที่ 20 มกราคม 2010 9.10am@flat


หิมะตกอีกแล้ว...ตกมาพร้อมฝนเลย (แบบนี้ภาษาอังกฤษเขาเรียก sleet) แต่คาดว่าคงอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็ละลาย เพราะอากาศค่อนข้างอุ่น ประมาณสี่องศา เทรฟพึ่งวางแผนว่าจะให้เราขับรถคนเดียวครั้งแรก เป็นอันต้องล่มไป เพราะถนนเปียกและลื่นมาก ไม่กล้าปล่อยไปคนเดียว
เล่าเรื่องเมื่อวานดีกว่า


เมื่อวานนั่งรถไป Bristol City Centre คนเดียวครั้งแรก จะอธิบายเรื่องซิตี้เซ็นเตอร์นี่ยังไงดีหนอ จริงๆ มันเหมือนเรานั่งรถจากต่างอำเภอเข้าในตัวเมืองอ่ะ ซิตี้เซ็นเตอร์ก็จะพลุกพล่านกว่า แหล่งช็อปปิ้งเยอะกว่า เป็นแหล่งการค้า แหล่งธุรกิจหลักของเมืองนั่นเอง (ไปบ่อยๆ ไม่ดี เสี่ยงต่อการเสียเงินในกระเป๋า อิอิ) เทรฟเตรียมเรื่องรถเมล์ในเราอย่างดี..โปร่งนั่งสายนี้นะ มันจะลงตรงนี้ เดินไปตรงนี้ เวลากลับก็มาตรงนี้ ถ้ามาไม่ทันสายนี้ก็นั่งสายนี้ เวลานี้ ฯลฯ คือจริงๆ เราค่อนข้างคุ้นเคยกับการนั่งรถเมล์ในอังกฤษ เพียงรถเมล์ที่นี่มันสร้างสับสนพิกล เจ้าของถิ่นยังงงเขาก็เลยกังวลเรา..เท่านั้นเอง ยังไม่วายสั่งเสียตอนท้าย..ถ้าหลงยังไงโทรมานะ เดี๋ยวผมออนไลน์ดูให้ว่ามันต้องทำยังไงต่อ..อ้าว..แหม่ เรานึกว่าจะใจดีขับรถมารับเรากลับบ้าน..อิอิ


เมื่อวานเรามีแผนจะไปวิทยาลัยในตัวบริสตอล เพื่อไปคุยกับเขาเรื่องลงคอร์สเรียนระยะสั้น คือเราเริ่มตระหนักว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้การหางานของเราล่าช้าและเป็นไปได้ยากมากก็คือ เรามีไปใบประกาศนียบัตรทางวิชาชีพ (Professional certificate) อะไรที่เขาต้องการเลย เพราะที่นี่ไม่ว่าตำแหน่งงานอะไรเขาก็จะมีมาตรฐานทางวิชาชีพกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น งานเลขาฯ แอดมินฯ เสมียน คนรับโทรศัพท์ ..นี่ขนาดแค่งานที่ใช้ทักษะ (skill) พื้นๆ ทั่วไปนะ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงสาขาอาชีพเฉพาะทาง..เฮ้อ..นึกได้ดังนี้ก็เลยต้องหาทางหาความรู้ใส่ตัวกันหน่อย ทีนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ลงเรียน มันอยู่ที่ค่าเรียนต่างหาก คอร์สวิชาชีพระยะสั้นพวกนี้ (อ่อ กรุณาอย่าเทียบกับโรงเรียนอาชีวะบ้านเราเด็ดขาด..แหม รูปแบบจะใกล้เคียงกัน แต่มั่นใจว่าคุณภาพคนละเรื่อง) ค่าเรียนไม่แพง อยู่ราวๆ คอร์สละสามถึงสี่ร้อยปอนด์ (เอ่อ คิดเป็นเงินไทยก็ยังหลักหมื่นอ่ะค่ะ) หรือพันนิดๆ (เฉียดแสนบาทเหมือนกันแฮะ) ..แหะๆๆ ที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าไม่แพง เพราะเมื่อคราวก่อนตอนเตรียมตัวเรียนปริญญาโทที่นี่ ค่าเรียนอย่างเดียวหมื่นปอนด์! หรือพูดง่ายๆ ว่าเตรียมไว้ปีละหนึ่งล้านบาทค่ะ(รวมค่าเรียนกะค่ากินอยู่ และค่าเดินทาง...จ๊าาากกก..อ่อ..ลืมบอกไปว่าตอนนั้นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ปอนด์ละ 72 บาท..แต่จริงๆ ค่าเงินบาทก็ไม่ค่อยมีผลกะเรา เพราะหาเงินปอนด์ส่งตัวเองเรียนไม่ได้ใช้เงินบาทจากเมืองไทยส่งมา) ..อ่ะๆ เข้าเรื่องต่อ.. คือราคาค่าเรียนที่นี่ หลักๆ ที่มันแพงสำหรับนักเรียนไทย(อย่างเราๆ) ก็เพราะมันเป็นอัตราสำหรับนักศึกษาต่างชาติซึ่งจะแพงกว่านักเรียนของเขาเองประมาณสามเท่า..ถึงกระนั้นนักเรียนของเขาเองก็กู้เงินเรียนเป็นหนี้เป็นสินกันหน้ามืด..นักเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่นี่ ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เตรียมเงินไว้ล่วงหน้า ส่วนใหญ่จะกู้เงินเรียนทั้งนั้น เรียกได้ว่าจบกันออกไปพร้อมหนี้สินติดตัวกันเลยทีเดียว


การที่เราไปพบเจ้าหน้าที่วันนี้ เรื่องใหญ่ใจความก็เพื่อถามว่า ณ สถานภาพปัจจุบันของเรา (แต่งงานกับสามีชาวอังกฤษ) เราจะต้องค่าเรียนอัตรานักศึกษาต่างชาติหรือเท่ากับคนของเขา ซึ่งคำตอบก็ไม่น่าแปลกใจคือเท่ากับนักศึกษาต่างชาติ เพราะเราพึ่งย้ายมาอยู่ แต่ถ้าเราอยู่ที่นี่เกินหนึ่งปีแล้ว เราก็จะจ่ายเท่าคนที่นี่..เอาวะ..ไม่แย่อย่างที่คิด เพราะวันก่อนโทรไปถามคอร์สเรียนในมหาวิทยาลัยแถวบ้าน..UWE University of West England..แหะๆๆ เรียกมหาวิทยาลัยแถวบ้าน ฟังดูแล้วเหมือนราชภัฎเลยเนอะ..แต่ อะฮึ่ม UWE (ออกเสียงว่า ยู-อี) ถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของที่นี่นะคะ อ่อ จริงๆ มหาวิทยาลัยที่นี่คุณภาพค่อนข้างดี แต่จะให้ดีต้องดูเป็นสาขาวิชา ว่าที่ไหนเก่งด้านไหน..อ้าว นอกเรื่องอีกแล้ว..คือ ยูอีเขาบอกว่าสำหรับสาขาวิชาที่เราอยากเรียน (เป็นอนุปริญญา..เราไม่อยากได้โทอีกใบแล้วล่ะ ขี้เกียจทำวิทยานิพนธ์) เราต้องอยู่ที่นี่นานกว่าสามปี..อืม ฉะนั้นข้อมูลที่ได้จากคอลเลจ (วิทยาลัย) ก็ถือว่าไม่แย่เท่าไหร่ อิอิ เราออกจากคอลเลจด้วยหัวใจเปี่ยมหวัง..


มะเป็นไร ยังเรียนเพื่อหาใบประกาศเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ ก็ทำอะไรเท่าที่ทำได้ไปก่อนก็ได้เนอะ


ว่าแล้วก็กลับบ้านไปนั่งฝันเรื่องแต่งบ้านใหม่ต่อ อิอิ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:36 pm

21Jan2010 เล็กๆ น้อยๆ เราก็ยอมกันไป..?

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2010 บ่ายโมงครึ่ง..ที่แฟลต


หวายยย..เผลอแป๊บเดียวใกล้จะหมดเดือนอีกแล้วเนอะ ไวจัง


วันก่อนทำแกงลาว (แกงหน่อไม้) กิน เป็นการทำแกงลาวด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากเพียรพยายามจำสูตรพริกแกงจากแม่อยู่หลายหน วันนี้ก็ได้ฤกษ์เปิดกระปุกหน่อไม้แช่ในน้ำใบย่านางแล้วลงมือทำซะที..เอ่อ..หน่อไม้แกงลาว น้ำใบย่านาง ปลาร้า หน่อไม้รวก หน่อไม้ดอง ดูจะกลายเป็นของยอดฮิตในร้านขายของเอเชียส่วนใหญ่ เพราะไปที่ไหนก็มักหาซื้อได้เสมอ..เยี่ยมจริงๆ


เราชอบกินหน่อไม้และรู้แต่ว่าถ้าไม่มีใบย่านาง แกงลาวก็จะไม่ใช่แกงลาว เราลงมือตำน้ำพริก แล้วก็แกง เครื่องปรุงมีอะไรก็ใช้ไปตามมีตามเกิด วันนี้มีเมนูกุ้งเป็นหลักก็เลยอาศัยกุ้งที่เอาออกมา defrost ใส่แกงไปด้วย จริงๆ มีเมนูอลังการกว่านี้รออยู่อีกสองจาก แกงลาวเป็นเมนูแก้ขัดหากหนึ่งในสองจานที่ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า


เราตั้งใจจะทำกุ้งคั่วพริกกับเกลือแบบที่กินในร้านจีน เขาทำยังไงไม่รู้กุ้งมันกรอบ เผ็ดแล้วก็มีรสเค็ม จำได้แค่คร่าวๆ ก็เลยคิดเอาเองว่า..อยากให้มันกรอบก็ชุบแป้งมันแล้วกัน เพราะกุ้งที่นี่มันไม่ได้สดเหมือนบ้านเรา เอามาทอดเฉยๆ จะได้เนื้อสดหวานกรุบกรอบไหมก็ยังสงสัยอยู่ ส่วนพริกกับเกลือก็คงเห็นๆอยู่ เราเลยเริ่มลงมือ ทำกุ้งชุบแป้งทอด..แต่มันไม่มีแป้งโกกินี่หว่า ทำไงอ่ะ เทรฟบอกว่าไปซื้อแป้ง self-raising flour มาใช้ (มันคือแป้งผสมผงฟู) เราก็ไม่รู้เขาว่าอย่างนี้ก็อย่างนี้ พอซื้อกลับมาถึงบ้าน เปิดสูตรทำแป้งชุบทอดกี่สูตรต่อกี่สูตรก็ใช้แต่แป้งธรรมดา (plain flour) ทำไงอ่ะทีนี้ แต่พออ่านสูตรอีกที เขาก็ต้องผสมอะไรให้มันพองๆ ฟูๆ อยู่ดี เอาวะ เป็นไงเป็นกัน


เราผสมแป้งผสมผงฟูกับน้ำและเกลือนิดหน่อย แล้วก็จุ่มกุ้งลงไป เทรฟหันมาเห็น..อ้าวโปร่งไม่คลุกกุ้งกับผงแป้งก่อนเหรอ ไอ้น้ำแป้ง (batter) มันจะได้ไม่ไหลจากตัวกุ้งลงไปกองก้นกะทะ (พูดง่ายๆ มันช่วยให้แป้งที่ผสมน้ำแล้วติดกุ้งดีขึ้น) เราก็..เหรอ..อยู่บ้านไม่เคยทำงี้นี่นา เอาวะ ลองก็ได้..แล้วก็ประสบความสำเร็จ กุ้งออกมาสีสวยน่ากิน กรุบกรอบ รสชาติเยี่ยม (ชมตัวเองเข้าไป) ..มีตอนท้ายที่ไอ้น้ำแป้งมันหมด เราก็เลยมั่วนิ่มคลุกผงแป้งอย่างเดียวแล้วลงทอดเลย เอ่อ..เว้ยย ไม่แย่เท่าไหร่..หาวิธีประหยัดเวลาตามประสาคนขี้เกียจได้อีกหนึ่งวิธี


อีกหนึ่งเมนูที่เราตั้งใจจังทำก็คือบล็อกโคลี่ผัดน้ำมันหอยใส่กุ้ง..แต่ผลปรากฏว่า หลังจากทอดกุ้งไปได้ครึ่งทาง ความขยันที่มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่ก็สลายไปหมด เรามองหน้าเทรฟ..กินมันแบบนี้แล้วกันนะ..เย็นนั้นเราก็เลยกินข้าวกับแกงลาว กุ้งชุบแป้งทอด อ้อ มีเกี๊ยวแผ่นทอดแถมด้วยอีกอย่าง เอาวะ ไม่แย่เท่าไหร่ ..แถมยังมีเมนูผักอยู่ด้วย (ไม่งั้นคุณสามีบ่นตายเลย)..


----


บนกระดานไวท์บอร์ดเขียน 'Contact Aldi' มาหลายวันแล้ว..เรามองประโยคที่ว่า แล้วก็เมินหน้าหนี..Aldi (อัลดี้) เป็นชื่อซุปเปอร์มาเก็ตขายของราคาประหยัด เราลงมือสมัครงานที่นั่นผ่านแบบฟอร์มใบสมัครงานออนไลน์ของเวบไซต์ห้างมาได้สองสามอาทิตย์แล้ว ข้อมูลที่เขาต้องการรู้ต้องกรอกลงในฟอร์มที่เขามี ห้ามส่งหรือแนบซีวี (CV) อย่างเดียว มีข้อคำถามต้องตอบยาวเหยียด เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เรากลับมองว่า ข้อคำถามที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจงยิ่งเพิ่มโอกาสที่เราจะได้งานมากกว่าแค่การส่ง CV เฉยๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่เราไม่สามารถเซฟ (save) ข้อมูลที่เรากรอกแล้วลงในเวบเซต์ได้อ่ะดิ เราเขียนใหม่เขียนแล้วเขียนอีก ลองสารพัดวิธีจนท้อใจ เทรฟพาไปลองใช้คอมฯ เครื่องอื่นเผื่อจะเป็นปัญหาที่คอมฯเรา แต่ก็ไม่ใช่ ผลมันมาจากระบบเวบของเขาเอง..เราก็เลยเซ็งไม่อยากกรอกใบสมัครมันแล้ว เพราะใบสมัครของห้างนี้ห้างเดียวทำเอาเราหงุดหงิดหมดอารมณ์ทำอย่างอื่นไปเลย


เทรฟเขียนโน้ตไว้บนไวท์บอร์ดเพื่อเตือนเราให้กลับไปกรอกให้เสร็จ พร้อมสัญญาว่าจะช่วยทำ..เมื่อคืนก็ถึงเวลาดังว่า..เทรฟเริ่มเปิดคอมฯ แล้วเอ่ยว่า.. มาติดต่ออัลดี้กันเหอะ เราโบ้ยใบ้ให้เทรฟทำอย่างอื่นไปก่อน เทรฟรู้ทันเพราะเราเลี่ยงมาหลายที จนในที่สุดเราก็บอกวิธีให้เทรฟหาทางเข้าไปอีเมล์เราแล้วลิงค์ (link) ไปยังใบสมัครงานที่เรากรอกค้างไว้ เราบอกเทรฟว่าถ้าเทรฟแก้ปัญหาบ้าบออันนั้นได้ เราจะลงมือเขียนรายละเอียดทั้งหมดใหม่ จนแล้วจนรอดเทรฟก็บอกว่า..มันเป็นเหมือนเดิม..งั้นเรามา Copy and Paste ไปยังเอกสารเวิร์ด (MS word) เหอะ แล้วเดี๋ยวปริ๊นท์ไปส่งเขา หรือเราก็โทรไปบอกเขาว่าเวบเขามีปัญหา ฯลฯ เทรฟก็พูดไปๆๆ เราก็นั่งฟังเฉย..คนไม่มีอารมณ์จะทำแล้วนี่ เทรฟอยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ ในที่สุดเทรฟก็ถึงทางตัน อยู่ๆ ก็เข้าเวบไม่ได้ซะงั้น (เทรฟเริ่มหงุดหงิด) เรานั่งดูทีวีต่อไปไม่สนใจอะไร เทรฟหันมารายงานสถานการณ์ เราพูดตอบหน้าตาเฉยว่า..เทรฟอยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ เราไม่สนใจจะสมัครงานนั้นแล้ว งานที่ไม่รู้ว่าจริงๆ มีตำแหน่งว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราเพียรทำมาตั้งหลายรอบแล้ว พอหงุดหงิดกับมันก็พาลไม่อยากทำอย่างอื่น เสียอารมณ์ เสียเวลา เราไม่อยากให้ไอ้เวบงี่เง่าเวบเดียวมาทำเราหมดอารมณ์ไม่อยากสมัครงานที่อื่น..
"เฮ้ย..ได้ไง" เทรฟโวยวาย
"ได้ดิ เราไม่สนใจจะสมัครงานออฟฟิศแล้ว เดี๋ยวไปหางานกุลีอะไรทำก็ได้ให้มันได้เงินเข้ามา เราเริ่มเรียนรู้แล้วว่า การไม่มีใบประกาศฯ บ้าบออะไรเนี่ย มันทำให้หางานยากขนาดไหน..เราจะเปลี่ยนวิธีหางานใหม่แล้ว"
"ได้ไงโปร่ง เราก็ทำไปทุกวิถีทางนั่นแหละ พยายามไปเรื่อยๆ"
"เทรฟไม่ใช่โปร่งนี่ เทรฟไม่เข้าใจหรอกว่า การสมัครงานแล้วถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหน โปร่งไม่ยุ่งกะไว้เวบอัลดี้แล้ว.."
"โอเค งั้นวันนี้ไม่ทำ"
"ไม่ ไม่ทำวันนี้ ไม่ทำพรุ่งนี้ และไม่ทำอีกแล้วเดือนนี้!" เราว่าอย่างหมดความอดทน
เทรฟถอนใจ หมดปัญญาจะต่อล้อต่อเถียงกับเรา


เราไม่ได้โกรธเทรฟ แต่เราก็มีสิทธิจะรู้สึกและทำในสิ่งที่เรารู้สึก เทรฟเขาก็มีสิทธิจะบ่นหรืออยากให้เราทำนู่นทำนี่ เสนอนู่นเสนอนี่ เราไม่มายด์ แต่เราก็มีสิทธิเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ..ไม่ใช่เหรอ??


...


คืนนั้นเราคุยกันอีกที เทรฟเป็นห่วงกลัวว่าเราจะเลิกหางาน แล้วเดี๋ยวถ้าเราต้องติดแหง่กอยู่บ้านนานๆ เราจะเบื่อ เซ็งจนทนไม่ไหว..เราบอกเทรฟว่า เรารู้ว่าเราเจ้าอารมณ์ ปล่อยเราไว้อย่างนี้แหละ เดี๋ยวเราอารมณ์ดี มีกำลังใจ เราก็ลุกขึ้นมาทำใหม่เองแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก..เพราะถึงแม้เราจะอารมณ์แปรปรวน ..แต่เราไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายหรือเลิกพยายาม เพราะเรารู้เสมอว่า..ผลลัพธ์ที่ได้ มันคุ้มเสมอกับความพยายามที่ลงไป..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:36 pm

22Jan2010 ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราพยายามใหม่ก็ได้..

เกือบบ่ายสี่โมงเย็น วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2010 @ flat




---
บรรยากาศขมุกขมัว เราถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์ ได้ยินแล้วล่ะ แต่ไม่มีแรงจะเปิดเปลือกตาแล้วลุกไปรับ..ช่างมันเหอะ..ยังอยากนอนอยู่เลย


..เก้าโมงกว่าแล้ว สายมากแล้ว หัวมึนเหมือนคนนอนไม่พอทั้งๆที่เมื่อคืนเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม เฮ้อ..ทำไมเป็นงี้หว่า..
..เข้าครัวตักมูสลี (Muesli..อาหารเช้าประเภทพวกธัญพืชผสมกับถั่ว และผลไม้แห้งสารพัด เวลากินก็เทนมใส่เหมือนซีเรียล ใส่น้ำตาลเพิ่มได้ตามชอบ..อุดมไปด้วยกากใยและวิตามิน) ใส่ชาม เทนมใส่ ตักเข้าปาก..ช่างไร้อารมณ์สิ้นดีเช้านี้..
..เปิดทีวีดูรายการปกติ..เปิดคอมฯ เช็คอีเมล์ตามหน้าที่..อีเมล์จากเว็บหางานรอให้เปิดอ่านตามปกติ..แต่..วันนี้เราไม่อยู่ในอารมณ์แม้แต่จะคลิกมันเพื่อดูหัวข้อ..ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสมัคร..


"ไม่ได้ๆๆ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้" เราบอกตัวเอง หลังจากรายการโทรทัศน์ช่วงบ่ายจบ เราบังคับตัวเองให้มานั่งหน้าคอมฯอีกครั้ง ฝืนใจเปิดอีเมล์จากเวบหางานทุกฉบับ..เปิดอ่าน..และคลิกสมัคร..
"เดี๋ยวมันก็ปฏิเสธกลับมาอีก.. ไม่มีทางได้งานหรอก" ความคิดติดลบเริ่มทำหน้าที่ของมัน
..เฮ้ย สมัครงานด้วยอารมณ์แบบนี้ มันจะดีเหรอ โปร่ง..เรานั่งเถียงกับตัวเอง..เราจะไม่ยอมให้ตัวเองมาเสียเวลากับอารมณ์ขึ้นๆลงๆ แบบนี้หรอกนะ ..เราว่าตัวเองต่อไป


แล้วเราก็ฝืนตัวเองนั่งอ่านเวบหน้าสมัครงานไปเรื่อยๆ .. จนในที่สุดเราก็ตัดสินใจทดสอบสมมติฐานของตัวเอง..ที่ว่า..การที่เราไม่มีงานทำเพราะเราไม่มีประกาศนียบัตรแสดงคุณสมบัติที่เป็นที่เชื่อถือได้ให้บริษัทต่างๆดู เพราะงั้น เราต้องหาทางพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า ฉันทำงานได้ จะด้วยการหาทางประเมินความสามารถตัวเองหรือด้วยการลงเรียนเพื่อสอบเอาใบประกาศก็ตาม..


เราเริ่มค้นกูเกิ้ล (Google) เมื่อมีโจทย์ใหม่มาให้คิด เราเริ่มมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น..
'Administration skill' คีย์เวิร์ด (key word) คำแรก ..ผลการค้น..เราเจองานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุถึงคุณสมบัติของคนทำงานแอดมินฯ (Administrator) ที่นายจ้างต้องการ ฯลฯ แล้วก็สะดุดตากับตัวย่อสองสามตัว 'CfA' 'NVQ' ..อะไรหวา??


เราค้นต่อไป 'CfA' ..ได้ความว่า CfA คือ Council of Administration โหย..แค่งานแอดมินฯ มันยังมีสภาเป็นของตัวเองเลยเหรอเนี่ย?? เราอ่าน อ่าน และอ่าน.. แล้วก็ได้ความว่า ไอ้หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานทำหน้าที่รับประเมินความสามารถพนักงาน หรือไม่ก็เข้าไปประเมินศักยภาพพนักงานขององค์กรแล้วก็จัดอบรมเพิ่มเติม อะไรทำนองนี้ มีหลักสูตรให้เรียนหลากหลายว่ากันไป ...ว่าแต่ไอ้หน่วยงานนี้มันเชื่อถือได้แค่ไหนหว่า?? แล้วทำไงเราจะเอาตัวเราเข้าไปประเมินได้บ้าง?? คำถามสารพัดพรั่งพรู..ในที่สุด เราก็ตัดสินใจโทรไปถาม


"Hi there, let I explain my situation a bit. I have moved to UK for couple months... " เราเริ่มต้นอธิบายสถานการณ์และความต้องการของตัวเองว่า..เราถึงย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสองเดือน เราเริ่มต้นสมัครงานแล้วเจอว่า เรามีแต่ประสบการณ์ทำงานแต่ไม่มีใบประกาศฯ อะไรที่เป็นที่รับรองความสามารถเรา แบบนี้เราควรจะเริ่มต้นทำอะไร ยังไงต่อไป..
ปลายสายแนะนำว่าให้เบอร์หน่วยงานอื่นมา แนะว่าน่าจะเหมาะกับสถานการณ์เรา.. Learning and Skills Council 0800.. สภาแห่งทักษะและการเรียนรู้ (แปลเองเสร็จสรรพ) ซึ่งคาดว่าเป็นหน่วยงานรัฐดูแลเรื่องพวกอบรมหรือเพิ่มพูนทักษะในการทำงานอะไรทำนองนี้..ตอนนี้เริ่มชัดเจนขึ้นมานิดนึงว่า ไอ้ CfA อะไรเนี่ยน่าจะเป็นบริษัทเอกชน..ไม่ต้องไปสนใจที่มันตั้งตัวเองเป็น council เพราะเขาอาจจะเป็นสภาวิชาชีพจริง แต่ไม่ได้ทำงานภายใต้งบประมาณของรัฐโดยตรง (อันนี้เราเดาเอาเองอีกเช่นกัน)


เมื่อได้ชื่อใหม่มา..อากู๋ก็ต้องมาช่วยตามเดิม..กูเกิ้ล 'Learning and Skills Council'...มาแล้ว www.lsc.gov.uk อันนี้ทำให้พอเดาได้ว่าเป็นหน่วยงานรัฐจากหน้าตาเว็บไซต์..ค้นต่อไป ค้นต่อไป..
ในที่สุดก็มาถึงชื่อใหม่ที่โผล่ขึ้นมา learning direct คืออะไรหวา?? ดูเหมือนพวกเรียนเสริมเพิ่มเติมเพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะกับงาน..นั่นไง มีหัวข้อให้เลือกตั้งหลายแบบ..มีทั้ง.."ฉันต้องการหาคอร์สเรียน" "ฉันต้องการได้ใบประกาศนียบัตร.." "ฉันอยากเรียนเพิ่มเติมในระดับมหาวิทยาลัย" ฯลฯ เลือกซักอันที่ใกล้เคียงที่สุด..แล้วมันก็มาสิ้นสุดที่.."เราแนะนำให้คุณเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ของเราที่สำนักงานเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม" ..อ่า..งั้นออฟฟิศที่ใกล้สุดอยู่ตรงไหนล่ะ..อ่า..เจอแล้ว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่..จดๆๆ ..


--


เช้านี้ สิ่งแรกที่เราทำหลังจากจัดการตัวเองก็คือ หาทางไปให้ถึงออฟฟิศของ learningdirect (เขาเขียนติดกันเป็นคำเดียว เพราะเป็นชื่อเฉพาะของประเภทหน่วยงานที่นี่..อ่านว่า เลิน-นิ่ง-ได-เร็ค นั่นแหละ) ฝนตกพร่ำ..ไม่ใช่ปัญหา ที่นี่ฝนตกเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ทางเลือกคือเลือกให้ตัวเองเปียกมากหรือน้อยเท่านั้นเอง..


ในที่สุดเราก็ตัดสินใจนั่งรถเมล์ไป (ซึ่งสายที่ผ่านแถวบ้านมีแค่ชั่วโมงละเที่ยวเดียว) เรานั่งรถเมล์ไปแล้วก็ต้องเดินนิดหน่อย ร่มก็ไม่มี อาศัยใส่หมวกเอา..ไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ไม่มีลมหนาวๆ พัดมาเป็นพอ..เราเดินวนเวียนหาออฟฟิศอยู่แป๊บนึง ในที่สุดก็หาเจอแล้วก็พบความจริงที่(ไม่ค่อย)น่าแปลกใจว่า..บริการนี้สำหรับคนที่อยู่ที่นี่มาแล้วอย่างน้อยสามปี..จบข่าว!


เราหาทางกลับบ้าน รายงานสามี แล้วก็รู้สึกว่า..เอาวะ ไม่เป็นไร..อย่างน้อยเราก็ได้พยายามแล้ว เราทำทุกอย่างที่เราทำได้แล้ว ในเมื่อบางอย่างมันอยู่เหนือการควบคุมของเราก็ต้องปล่อยมันไป.. ว่าแล้ว...ไปหาอะไรสนุกๆ ทำดีกว่า..ให้รางวัลกับความพยายามของตัวเองบ้าง..จริงมะ :)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:42 pm

25Jan2010 พักผ่อนศุกร์ เสาร์ อาทิตย์?

เก้าโมงเช้า วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2010 @ flat

เช้าวันใหม่แล้ว โห..นี่ใกล้สิ้นเดือนอีกแล้วเนอะ เวลาผ่านไปไว๊ ไว..


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากเหนื่อยล้า (ทางใจ) มาทั้งอาทิตย์ เราเสนอเทรฟให้หาอะไรพิเศษทำกันดีกว่า..แทนการนั่งดูรายการทีวีรอบดึกอย่างทุกที


ฉะนั้นคืนนี้เราสองคนเลยชวนกันไปท่องราตรีกัน..เราเลือกผับนึง หนึ่งในลิสต์ 'will go together' ของเทรฟ ตั้งใจไปดูดนตรีเล่นสด (ต้องเสียค่าเข้า) แต่พอไปถึงแล้วก็เปลี่ยนใจไปผับเพื่อนบ้านซะงั้น เพราะผับที่ว่าดูไม่ต้องรสนิยมเราเสียเลย โชคดีที่ผับข้างบ้านก็มีวงเล่นสดเหมือนกัน แถมไม่ต้องเสียค่าเข้า (สบายเราไป) เราซื้อดื่มแล้วก็ตั้งหลักกันที่โต๊ะมุมห้อง ที่ว่างที่เดียวที่เหลืออยู่..โว้วว..วงนี้เล่นใช้ได้เลย ดนตรีบลูผสมแจ๊สยุค 70s เราไม่ค่อยรู้อะไรเรื่องดนตรีหรอก รู้แต่ฟังแล้วสนุกก็พอแล้ว เทรฟค่อนข้างกังวลว่าเราจะไม่สนุก พอเรายืนยันว่าเราโอเคที่นี่ เทรฟเองก็โอเค เราเลยตกลงใจไม่ไปไหนแล้ว เทรฟดื่มไปเยอะเหมือนกัน แต่ไม่ห่วงเพราะเราตั้งใจไปกลับด้วยขนส่งมวลชนอยู่แล้ว ถูกและปลอดภัย(กับเงินในกระเป๋า เอิ๊ก..ค่าแท็กซี่ขาเดียวอยู่ประมาณยี่สิบปอนด์ หรือราวพันกว่าบาท ส่วนรถเมล์ตั๋วไปกลับอยู่ที่คนละสามปอนด์เจ็ดสิบเพ็น หรือราวเกือบสองร้อยบาท)
เราอยู่กันไม่ดึกเท่าไหร่เพราะรถเมล์เที่ยวสุดท้ายคือห้าทุ่มนิดๆ กลับถึงบ้านเที่ยงคืน..ดึกกำลังดี เราวางแผนสำหรับเสาร์อาทิตย์แล้วก็พากันหลับไป


วันเสาร์..วันช็อปปิ้ง..เย้..
เราสองคนเห็นต้องตรงกันว่าไป Bishopston บิชอบส์ตัน ย่านร้านขายของสารพัดสิ่ง เราหาที่จอดรถแล้วก็เดินๆๆๆ ร้านที่นี่ก็คือร้านตึกแถวเรียงรายไปตลอดสองข้างทางถนนแคบๆ แต่เป็นถนนสายหลัก-กล็อกเตอร์ โรด (Gloucester Road-ไม่ได้อ่านว่า โกล-เซซ-เตอร์ นะจ๊ะ) เราเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ แต่ไม่ซื้ออะไรหรอก ดูอย่างเดียว แฮ่..หมายตาไว้แค่พวกผักผลไม้จากร้านขายผักผลไม้ (Green grocery) ซื้อผักจากร้านพวกนี้หรือตามตลาดราคาถูกกว่าซื้อจากห้างเยอะ แล้วก็เลือกหยิบได้เอาตามจำนวนที่ต้องการ เพราะมันไม่ได้มาในถุงตาข่ายแบบในห้าง ซื้อของกันเสร็จก็ได้เวลาข้าวกลางวันพอดี รีบบึ่งกลับไปกินข้าวบ้านดีกว่าประหยัดตังค์กว่าเยอะ หลังข้าวเที่ยงเทรฟมีงานต้องทำ เราก็ทำนู่นนิดนี่หน่อยไปเรื่อยๆ แล้วก็หมดไปอีกวัน


วันอาทิตย์..วันออกกำลังกาย..
เช้านี้เทรฟหมายมั่นปั้นมือว่าต้องออกไปวิ่งให้ได้ เพราะไม่ได้ไปมาหลายอาทิตย์เนื่องจากหิมะปกคลุมทั่วพื้นที่ เราที่แรกอิดออดเพราะไม่ค่อยชอบ เทรฟรู้ทันหาสายคล้องคอที่ไว้ใช้แขวนกุญแจเวลาไปวิ่งมาให้ต่างหากอีกอัน ทีแรกเรางงๆ แต่เทรฟอธิบายว่า เผื่อโปร่งวิ่งไม่ไหวก็จะได้กลับก่อนได้ ..คือ แปลว่าไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องวิ่งให้ครบที่ตั้งใจคือ 40 นาที..เราพยักหน้าหงึกๆ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่า ยังไงวันนี้ต้องลองซักตั้ง ลองวิ่งให้มันตลอดรอดฝั่ง เทรฟแอบบ่นว่าคราวที่แล้วๆมา เราเล่นเอาแต่เดิน กว่าจะวนกลับมาถึงบ้านปาเข้าไปสองชั่วโมง วันนี้ไม่เอาแล้ว..
...ในที่สุด..เราก็วิ่งสำเร็จ สี่สิบนาทีดังที่ตัั้งใจ เล่นเอาหอบไปเลย..ตอนแรกคิดว่าหนาวจนหมดแรงสู้ซะแล้ว แต่ในที่สุดก็อึดจนถึงบ้าน เทรฟว่า น่าประทับใจจริงๆ ผิดกับที่ผ่านๆมาลิบลับ..เราแอบบอกว่า..เรามีเป้าหมายว่า ต้องทำตัวให้ฟิตๆไว้ เล่นสควอชคราวหน้าจะได้ไม่หมดแรงซะก่อน ฮ่าฮ่า


กลางวันนั้นเราลองทำขนมจีนน้ำยาป่ากินดู ชีวิตนี้เคยแต่ดูเขาทำ หนนี้จะลองทำกินเอง..จะดูสิว่า มันออกมากินได้ไหม..
เอ้อ..ใช้ได้เว้ย..ไม่แย่เท่าไหร่ เทรฟทำท่างงๆ เพราะไม่เคยกิน แต่ก็กินจนหมด (แอบฝืนใจเปล่าไม่รู้) เทรฟว่าแปลกดีไม่เคยเห็นน้ำซุปที่มันมีปลาผสมอยู่ด้วย เราพยายามจะอธิบายว่ามันไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวหรอก มันเป็นน้ำแกง..แต่อธิบายไปทั้งๆที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเนี่ยก็ยากเหมือนกัน..ก็เลยช่างมันแล้วกัน


เย็นนี้จริงๆ เราต้องไปเรียนเต้นรำ แต่เทรฟท่าทางไม่ค่อยสบาย เจ็บคอเหมือนจะเป็นไข้ เราก็เลยตัดสินใจพักไว้ก่อนแล้วกัน เลยได้มีโอกาสได้นั่งดูทีวีเย็นวันอาทิตย์เป็นครั้งแรก..ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย..ดีแล้วที่เลือกไปเรียนเต้นรำ (ฮา)


อ่อ ลืมเล่าให้ฟังว่า..เมื่อวันเสาร์เรามีปฏิบัติการระทึกขวัญ..นั่นก็คือ ตัดผมให้เทรฟ!!! (มันน่าระทึกขวัญตรงไหนวะ??) อิอิ จริงๆ คนระลึกน่ะควรจะเป็นเทรฟ ไม่ใช่เราหรอก เพราะเราไม่เคยตัดผมให้ใครมาก่อนเลยในชีวิต เรียนก็ไม่เคยเรียน จับกรรไกรตัดผมก็ไม่เคย..ว๊ากกก..
เทรฟถามแบบปอดๆว่า ..โปร่งเคยตัดผมให้ใครมาก่อนหรือเปล่า?..อ๋อ ไม่อ่ะ..นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่กลัวโปร่งฝันถึงมันมาหลายหนแล้วล่ะ แป่ววว..มันจะช่วยไหมเนี่ย..
ในที่สุดผมคุณสุดที่รักก็ออกมา..เป็น "นายหัวไข่" เทรฟหัวเกลี้ยงกลมมาก แต่ไม่ล้าน ..แหะ แหะ ประมาณว่าสั้นไปนิด แต่ไม่แหว่งนะ ขอบอก เทรฟบอกว่าดูเรียบร้อยเหมือนมืออาชีพมาก ตกใจแค่ว่ามันสั้นจัง (เหมือนคนพึ่งสึกเลย อิอิ) เรานั่งชมเทรฟว่า น่ารักดี ให้กำลังใจกันไปมา เพื่อเรียกขวัญกำลังใจ..เทรฟบอกว่า เดี๋ยวต้องมารอดูว่ามีใครที่ทำงานหัวเราะเยาะผมบ้าง...อะไรๆๆ เทรฟ ใคร ใครจะหัวเราะเทรฟ ให้บอกโปร่งมาเลยนะ...โปร่งจะได้ร่วมวงไปกะเขาด้วย (ฮาาา) ..มุขนี้เล่นเอาเทรฟค้อนเลย..ว่าแล้วไว้มารอดูผลเย็นนี้ดีกว่า ว่ามีใครวิจารณ์หัวกลมๆ ของเทรฟว่าไงบ้าง อิอิ
ป.ล. ลืมเอารูปมาลงให้ดู ติดไว้ก่อนแล้วกันนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:43 pm

27Jan2010..อ่อย..อ่อยย ปวดตา..?

สี่โมงครึ่ง วันพุธที่ 27 มกราคม 2010 @ flat


อ่อยยย..ปวดตา นั่งอ่านข้อมูล นั่งหางานทั้งวันจนปวดตา..วันนี้ขอพักวันนึงแล้วกัน..


วันก่อนเจอเวบไซต์ใหม่ (ไว้หางาน..อีกแล้ว) ก็นั่งจิ้มๆ ค้นๆ อ่านๆๆๆ ..อืม อืม JobcentrePlus เวบไซต์หางานของรัฐบาล..เอ๊ะ..อยากได้ใบรับรอง (certificate) ไว้หางานต้องทำไงหว่า?? อ่าน อ่าน อ่อ..ต้องไปอบรม..เอ๊ะ ทำไงให้ได้อบรม..อ่าน อ่าน ..อ่อ..ถ้าอายุ 16-19 ให้ติดต่อ Connexian (อีกหน่วยงานนึง) แล้วถ้าอายุเกิน 20 ต้องติดต่อ NextStep (อีกหน่วยงานนึง)..แต่ถ้าอยากเข้าร่วมโปรแกรมฝึกงาน (Apprenticeship) ..ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานมานาน หรือต้องการฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ เพื่อจะได้หางานในสาขาใหม่ๆ ที่อยากทำได้..ก็ต้องติดต่อ Apprenticeship อีกหน่วยงานหนึ่ง (อีกแล้ว)..อ๋อ เป็นอย่างนี้เองเหรอ เอ๊ะ..ว่าแต่มันมีสาขาอะไรบ้างหว่า?? ค้นๆ อ่านๆ ..แล้วเราก็ยื่นใบสมัครไปประมาณสามถึงสี่ที่..ตกเย็นมาก็รายงานให้เทรฟฟังอย่างละเอียดว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง..เพื่อหาความเห็นน่ะ ไม่ใช่รายงานตัว อิอิ..
เทรฟนั่งฟัง พยักหน้าหงึกๆ แล้วเทรฟก็เข้ามาจิ้มๆ หน้าจอ..โปร่ง..แล้วโปร่งลองเข้าหน้านี้ยัง..เอ่อ..ยังอ่ะ..เราว่าเสียงอ่อย..ว่าแล้วเทรฟก็ลุกขึ้นจากหน้าคอมฯ ทำทีชี้ชวน..งั้นก็อย่าลืมหางานจากหน้านี้นะจ๊ะที่รัก.. เราแอบทำหน้ามุ่ยเหมือนโดนเจ้านายจับได้ว่าทำงานพลาด..ไม่สิ..ไม่ใช่ซะหน่อย เรารีบปัดความคิดติดลบที่ว่าทิ้งไป..เทรฟเขาแค่แนะนำโอกาสใหม่ๆ ..ว่าแล้วเราก็กระโจนเข้าใส่เวบหางานนั้นต่อทันที่


เราเลือกงานที่น่าสนใจใส่ลิสต์ไว้ได้ระดับหนึ่ง พอเห็นว่าค่ำมากแล้ว เริ่มเหนื่อยแล้วด้วยก็เลย..พอดีกว่า มีบ้างบางงานที่ตัดสินใจส่ง CV ไปทางอีเมล์ทันที ..ก็แหม มันไม่ยากอะไร ทำให้มันเสร็จๆ ไปซะหน่อย จากนั้นก็ถือว่าหมดเวลาสำหรับวันนี้ เราหันไปกินข้าว ดูทีวีไปตามเรื่อง..


เช้าวันใหม่ เราเปิดหน้าเวบเดิมที่เปิดเมื่อคืน ไล่เปิดงานแต่ละตำแหน่งเพื่อดูว่าต้องติดต่อใครเพื่อขอสมัครงาน บางงานต้องโทรไปถามรายละเอียดตามเบอร์ที่ระบุ บางงานให้ส่ง CV ไปที่ที่อยู่หรืออีเมล์ที่กำหนด บางงานต้องเข้าไปติดต่อขอใบสมัครมากรอก บางงานก็ต้องเข้าเวบไซต์นั้น เวบไซต์นี้ ฯลฯ ก็ว่ากันไป


เราสาละวนอยู่หน้าจอกับโทรศัพท์มือถืออยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็มีโทรศัพท์สายนึงโทรเข้ามาระหว่างที่เรากำลังใช้สายอยู่..เราโทรกลับไป
"ขอโทษนะคะ มีใครโทรเข้ามาที่เบอร์นี้หรือเปล่า"
"อ๋อใช่ คือเราโทรจาก..ใช่ สาวิตรีไหม"
"ใช่ค่ะ"
"คุณจะสะดวกเข้ามาสัมภาษณ์งาน ...ฯลฯ.." หา!!!! อะไรนะ!!! สัมภาษณ์งาน!!!
"อ๋อได้ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ" เย้!!!! ในที่สุดก็มีการตอบรับกลับมา (ซะที) เราตื่นเต้นดีใจมาก มือไม้สั้นรีบโทรไปหาเทรฟ (จะอีเมล์ก็ไม่ทันใจ) ...ด้วยความดีใจอย่างที่สุด..เทรฟดีใจใหญ่เลย (แหงอยู่แล้ว)


..เราดีใจ ไม่ใช่เพราะคิดว่ามันจะได้งานแน่ๆ แต่แค่เพียงมีโอกาสได้อธิบายศักยภาพตัวเองให้เขาฟังบ้าง มันก็น่าจะดีกว่าแค่เห็นในกระดาษไม่ใช่เหรอ..และถึงแม้ว่าถ้าจะได้ทำงานที่นี่ ที่เป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆ คนนึง ค่าจ้างก็แค่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเราก็ยังดีใจ..เพราะอย่างน้อย..ความพยายามของเราก็บังเกิดผล..อย่างน้อยเราก็หาเงินเข้าบ้าน (ไม่ใช่ใช้อย่างเดียว) ..อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรบ้าง..และอย่างน้อยมันก็ช่วยให้เราก้าวเข้าใกล้ความฝันของเราไปอีกก้าวนึง..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:45 pm

28Jan2010 ไปดูหนังมา?

เก้าโมงครึ่ง เช้าวันพฤหัสฯที่ 28 มกราคม 2010 @ flat


จำได้ไหมว่าไปดูหนังกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่.. แล้วไปกับใคร..
..ถ้าไปกันสองคน ไม่ไปถึงโรงหนังพร้อมกันเราก็จะนัดเจอกันหน้าโรงเนอะ..ไปดูโปรแกรมกัน เรื่องอะไรน่าสนใจ หรือหนังที่จะดูฉายกี่โมง ถ้ามีเวลาก็เลือกรอบช้าๆ หน่อย จะได้ไปเดินช็อปปิ้ง กินข้าวกันก่อนเข้าโรง ไม่ต้องรีบร้อน บรรยากาศหน้าโรงหนังก็อึกทึกทั้งเสียงโฆษณา เสียงเพลง เสียงคนคุยกันไปตามเรื่อง แถมบางทีมีกิจกรรมโปรโมชั่นกันหน้าโรงให้สนั่นกันเข้าไปอีก..อ๊ะ ได้เวลาหนังฉายแล้วเข้าโรงกันดีกว่า..เข้าเร็วหน่อย เราจะได้ดูหนังตัวอย่าง (Trailer) รอบหน้าจะได้รู้ว่าจะมาดูเรื่องอะไรดี อิอิ.. บางก็มีน้ำ ขนม ป๊อปคอร์นติดมือเข้าไปด้วย นั่งติดกันกับเพื่อนก็เมาท์ๆๆ จนโฆษณาเริ่มฉาย ระบบเสียงรอบทิศทางดังกระหึ่ม ..รอจนมีช่วงเงียบอยู่อึดใจเราก็เริ่มรู้ว่า ..อ่ะนะ..ถึงเวลาลุกขึ้นยืน Please stand for His Majesty the King ..พอหนังเริ่มฉาย..ด้วยตำแหน่งที่นั่งชั้นดีที่เลือกสรรแล้วว่าจะเห็นจอได้ชัดประกอบกับชำเลืองดูซับไตเติ้ลได้ง่าย (และอ่านทัน)..เราก็พร้อมเอ็นจอยกับหนังไปจนจบ..
..
"หนังหนุกดีนะแก.."
"..อืม..ใช้ได้เว้ย.."
"...ดีกว่าที่คิดว่ะ.." "กูว่าแล้ว.. แม่งต้องจบแบบนี้" ฯลฯ ..คำวิจารณ์เหล่านี้มักลอยแว่วเข้าหูเราให้ได้ยินเมื่อหนังจบ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง อะไรก็ว่าไปสุดแต่คนดูจะรู้สึกยังไงกับหนัง ลุกขึ้นยืนเดินลงบันไดไปที่ทางออก เสียงคนพูดคุยกันก็จะแว่วมาให้ได้ยินตามปกติ ...


--
เรากับเทรฟขับรถไปถึงโรงหนัง ลานจอดรถหน้าโรงหนังแน่นไปด้วยรถ มองข้ามไปที่ทางเข้า โห..คิวยาวล้นออกมานอกประตู..อะไรกันเนี่ย ไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้..เทรฟว่า โห..นี่มันกลางอาทิตย์ของเดือนมกราฯนะ (หมายความว่า อากาศหนาวๆ แบบนี้คนไม่น่ามีกะใจออกมาดูหนังกัน) เราว่า..ก็แหม วันนี้วันพุธมันมีโปรโมชั่นซื้อตั๋วหนึ่งแถมหนึ่ง ใครจะไม่มา ทีเราสองคนยังมาวันนี้เลย..ขับรถวนไปเรื่อยๆ จนโชคดีเจอที่จอด เราพากันไปต่อคิวที่หน้าประตู ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังคิวยาวอยู่ รอบหนังสองทุ่มสี่สิบห้า เราไปถึงสองทุ่มห้านาที..หน้าจอมอนิเตอร์ที่แขวนไว้เหนือตู้ขายตั๋วบอกว่า ตั๋วเรื่องที่เราจะดู "ขายหมดแล้ว" ..ไรว้าาา..ดูหนังเมืองไทยมาก็เยอะ ยังไม่เคยเจอ ที่นั่งเต็มมาก่อนเลย..โห..เซงงงเลย ระหว่างต่อคิวเรากับเทรฟเลยเล็งหนังรอบต่อไปไปพลางๆ
..อ่ะ เอาเรื่องนี้ก็ได้ฉายตอนสองทุ่มครึ่ง..ตอนนี้สองทุ่มสิบห้าแล้ว..พอไปถึง..ตั๋วหมด..อีกแล้ว! ไรเนี่ย?? เราสองคนรีบขบคิดหนังเรื่องต่อไปอย่างด่วน แล้วก็ตีตั๋วเข้าไปดูกันด้วยราคาตั๋วสองใบ แต่จ่ายครึ่งเดียว ?6.80 (ราวสามร้อยกว่าบาท..แฮ่..แพงกว่าตั๋วสองใบที่เมืองไทยอีกเนอะ)..
ก้าวเข้าโรงหนัง หมุนซ้าย หมุนขวา หาที่นั่งเหมาะๆ ..ที่นี่เขาไม่ได้มีระบบล็อกที่นั่งตั้งแต่หน้าโรงค่ะ.. พอได้ที่แล้ว เราก็เริ่มถอดเครื่องเคราเสื้อกันหนาวและถุงมือ คนดูยังทยอยเดินเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านทางเดินกลางที่กว้างขนาดรถเข็น (Wheelchair) ผ่านได้ หนังยังไม่เริ่มฉาย เสียงเพลงฮิตดังเป็นแบรคกราวด์ บนจอมีภาพโฆษณาสินค้านานาชนิดฉายให้ดูเป็นเหมือนโฆษณาแบบภาพนิ่ง ไม่ใช่โฆษณาแบบในทีวีปกติ ..ซึ่งก็ดีเพราะอัตราค่าโฆษณาน่าจะถูกกว่า เพราะทำง่ายกว่าแล้วก็ใช้เวลาฉายไม่เยอะ เขาก็แค่เปิดทิ้งไว้เหมือนสไลด์ภาพนิ่งหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่มีเสียงรบกวนคนดูด้วย (ไม่เอะอะดี) ..มองอีกแง่ก็น่าจะเข้ากับวัฒนธรรมของที่นี่มากกว่าเพราะคนของเขาก็เปิดหาสินค้าหรือบริการตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือพวกนามบัตรที่มีให้หยิบฟรีตามห้างหรือหน้าร้านขายของอยู่แล้ว ฉะนั้นโฆษณาแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้สินค้าดูแย่เท่าไหร่..มันมีแม้กระทั่งโฆษณาโรงเรียนในท้องที่..เอ่อ ตลกดีโรงเรียนมันก็ยังต้องโฆษณา..สงสัยการแข่งขันเยอะ..


เสียงคนรอบข้างคุยกันลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะ จับความได้บ้างไม่ได้บ้าง จนได้เวลาหนังตัวอย่าง..ก่อนฉายเขาขึ้นคำรับรองว่าหนังตัวอย่างเหล่านี้ถูกตัดต่อมาให้อยู่ในระดับเดียวกับเรทหนังที่จะฉาย..อืม..รอบคอบดีมาก ไม่ใช่หนังเป็นเรทที่เด็กดูได้ แต่หนังตัวอย่างเด็กห้ามดู..อันนี้ก็คงไม่ใช่ที่.. โฆษณาหนังก็ฉายไป จนถึงเวลาจอเงียบ..ภาพบนจอขึ้นข้อความว่า..หนังเรื่องต่อไปนี้อยู่ในระดับเรทอะไร ผ่านการตรวจอนุญาตแล้วโดยใคร..เอ่อ..ไม่ต้องยืนขึ้นแฮะ (แอบรู้สึกไม่คุ้น..จะเผลอยืนโดยอัตโนมัติ ฮี่ฮี่)


หนังเริ่มฉายแล้ว..อืม หนังฮอลลีวู้ด..ก็ต้องเป็นภาษาอังกฤษ..อืม..เนอะ มันก็เลยไม่ต้องมีซับไตเติ้ล ..ไม่เป็นไร มั่นใจตัวเองไว้ ฝึกจากเมืองไทยมาดี แม้ว่าวันนี้จะไม่มีภาคภาษาไทยด้านล่างจอมาเสริมความมั่นใจว่า "ตรูฟังรู้เรื่องเว้ยยย".. หนังก็ดำเนินไปจนจบเรื่อง..อย่างเพลิดเพลิน..
..อืม..หนังดีกว่าที่คิดแฮะ..เราคิดในใจกับตัวเอง
...'It was exactly on my mind.'...'It's good,isn't it?'... etc.. คำวิจารณ์หนังลอยมาให้ได้ยิน ปลุกเราขึ้นจากภวังค์..
เราสองคนลุกขึ้นยืน..คนรอบข้างลุกขึ้น บ้างพันผ้าพันคอ บ้างกลัดกระดุมเสื้อโค้ด รูปซิบแจ็คเก็ตให้กระชับตัว..
'Cheers!' ผู้ชายคนที่เราหลีกทางให้หันมาขอบคุณ..เสียงนั้นตอกย้ำให้เรานึกขึ้นได้ว่า..เราอยู่ในบรรยากาศที่รอบตัวพูดกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่บรรยากาศที่เคยคุ้น


คนที่นี่ต้องห่มคลุมเวลาออกจากบ้านและออกนอกอาคาร คนที่นี่ดูหนังกันไม่ต้องมีคำบรรยายข้างล่าง (เอ่อ..ยกเว้นหนังเป็นภาษาอื่น เช่น จีน ฝรั่งเศส ฮินดี ฯลฯ) เขาพูด เขาคุย และเขาวิจารณ์กันเป็นภาษาอังกฤษ..ซึ่งก็แน่อยู่แล้ว..ไม่เห็นแปลกเลย..


แต่มันแปลกเมื่อเรารู้สึกว่าตัวเอง..คิดและพูดกับตัวเองด้วยภาษาที่คุ้นเคย แต่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศของภาษาที่สอง แล้วเราก็ตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นด้วยภาษาของเขาอย่างคุ้นเคย..คำถามคือ..ช่วงเวลาของการสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสองภาษาอยู่ตรงไหน?? It's interesting,isn't it?
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:46 pm

28Jan2010(2) วันสัมภาษณ์งาน?

บ่ายสองโมงห้านาที Thur 28/01/2010 @ flat


จนเวลานี้แล้ว..เรายังตื่นเต้นไม่หาย..


วันนี้มีนัดสัมภาษณ์งานตอนสิบเอ็ดโมง..จนป่านนี้แล้ว การสัมภาษณ์งานเสร็จสิ้นไปกว่าสองชั่วโมง เรายังรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ ในหัวยังคงวนเวียนไปด้วยคำถาม-คำตอบที่ตัวเองพึ่งพูดออกไป


เราไปสัมภาษณ์งานตำแหน่งพนักงานประจำทีม (Team Member) ของร้านกาแฟในสถานีรถไฟใกล้บ้าน จำได้ว่ารู้สึกตื่นเต้นมากที่เจอตำแหน่งงานที่ระบุว่า Previous experience as barista will be preference..มีประสบการณ์ในตำแหน่งพนักงานชงกาแฟมาก่อนจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ.. เรารีบอีเมล์ CV ไปทันที
..
ก่อนออกจากบ้านไปสัมภาษณ์ จำได้ว่าไม่ตื่นเต้นเท่านี้ มีบ้างเมื่อคิดถึงผลภายหลังสัมภาษณ์ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ตื่นเต้นมือไม้สั่นแบบตอนนี้..ตลกดี..สงสัยเป็นพวกความรู้สึกช้า (ฮา) วันนี้สามีไม่ได้ไปทำงาน เลยอาสาขับรถไปส่งแล้วรอรับกลับ (ดีใจจัง..ได้อ้อนสามี) นัดแนะกันว่าไม่เกินยี่สิบนาทีคงเสร็จ เทรฟบอกว่าเดี๋ยวซื้อของเสร็จจะมาจอดรถรอตรงนั้นตรงนี้..


เราไปถึงก่อนเวลาประมาณห้านาที ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะทีแรกตั้งใจจะไปนั่งดูบรรยากาศร้านก่อนที่จะเข้าไปบอกเขาว่าเรามาถึงแล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินไปบอกเขาทันทีเลยดีกว่า


เรานั่งรอพร้อมกับชาที่เขาเอามาเสริฟให้ระหว่างรอ อีกแป๊บ เชน (Shane) ซุปเปอร์ไวเซอร์หรือไม่ก็คงเป็นผู้จัดการร้านซึ่่งเรามีนัดสัมภาษณ์ด้วยก็ออกมาพร้อมเอกสารในมือ..เขายื่นเอกสารให้สองฉบับ ฉบับนึงเป็นใบสมัครงาน (ต้องกรอกข้อความเดิมๆ อีกแล้วเหรอ??..แอบเซ็งเล็กน้อย..แต่ห้ามบ่น) กับอีกฉบับเป็นชุดคำถามที่เป็นเสมือนแบบทดสอบพนักงาน แบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆ คือ หนึ่งวัดว่าคิดเลขทอนเงินเป็นไหม สอง วัดเรื่องการให้บริการ และสามวัดเรื่องทัศนคติในการทำงาน สองส่วนหลังเป็นข้อคำถามปลายเปิดไม่มีผิด-ถูก แต่ให้ตอบเยอะที่สุดที่จะตอบได้ เพราะเขาจะคิดคะแนนจากตรงนั้น ส่วนส่วนแรกก็คิดเลขง่ายๆ แต่ห้ามใช้เครื่องคิดเลขใดๆ แม้แต่ในมือถือ..เอ่อ..อันนี้เขียนไว้คำสั่งของข้อสอบเลยทีเดียว..เชนทิ้งเอกสารไว้ให้แล้วบอกว่าให้เวลายี่สิบนาที เดี๋ยวเขาจะกลับมาใหม่หรือไม่ก็ถ้าเสร็จก่อนก็ให้ไปเรียก


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป..เราตอบคำถามได้ไม่หมด..แต่แต่ละข้อที่ตอบไปก็ตอบไปเยอะอยู่..เราไม่ได้กังวลตรงนั้นแล้ว..เพราะไม่มีเวลาให้กังวล เพราะหนนี้เชนกลับมาพร้อมแมรี่ (Mary-Assistant Manager) ผู้ช่วยผู้จัดการที่ดูจะเคร่งขรึมทีเดียว สองคนมีเอกสารในมือคนละปึก อ่อไม่สิ แมรี่มีชุดเดียวหน้าตาเหมือนใบสมัครงานที่เราพึ่งกรอกไป..มาสังเกตทีหลังถึงรู้ว่า..มันคือใบประเมินการสัมภาษณ์..


หลังจากแนะนำตัวกันแล้วคำถามแรกก็เริ่มขึ้น..
'You have worked with Starbucks. Tell me about Shift Supervisor'
'What do you think about superior product?'
'What is your plan in 2 or 5 years time?'
'How many people did you manage in total and in one shift?'
'How did you manage or plan on your peak hours?' ...etc..


คำถามมากมายพรั่งพรู แต่เราก็รู้สึกว่าเราพรั่งพรูกว่า (ฮา) เรารู้สึกเหมือนเราพูดไม่หยุด ภาพวันทำงานที่สตาร์บัคส์ในวันวานฉายย้อนกลับมาเหมือนน้ำไหลบ่า..เราบรรยายสิ่งที่เราทำ ไอเดียการทำงานของเรา บรรยากาศการทำงาน ที่มาที่ไป ทั้งหลายทั้งปวง..เราพูด พูด และพูด จนเราเองยังรู้สึกว่า..โห..ณ วันนั้นเราทำอะไรไปเยอะจริงๆ ..ที่น่าประทับใจและภูมิใจตัวเองมากกว่าสิ่งที่พูดออกไปก็คือ ระดับความคล่องแคล่วในการพูดภาษาอังกฤษของเรา (แหะ แหะ) เราดีใจที่ทั้งสองคนไม่มีซักโมเมนท์ที่ขมวดคิ้วแล้วทำท่าฟังเราไม่เข้าใจ (ภาษาอังกฤษเรา) ..เฮ่ออ รอดไป


เชนแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องงานไม่ว่าจะเป็นค่าจ้าง เวลาทำงาน การทำงานกะยาว เงื่อนไขการทำงาน โอกาสก้าวหน้าในการทำงาน การพัฒนาไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า ฯลฯ จนมาจบที่คำถามว่า "มีอะไรสงสัยไหม?" เราเลยถามไปว่า..แล้วเราจะรู้ผลได้เมื่อไหร่..Hmm.. Let I get around my head a bit, then I will let you know about tomorrow afternoon. โอ้..good พรุ่งนี้บ่าย..ไม่นานเท่าไหร่..บางทีอาจจะเป็นเพราะงี้มั้งที่ทำให้เรายังตื่นเต้นอยู่..เพราะผลลัพธ์มันจะรู้ในวันรุ่งขึ้น..ชีวิตเราจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนหลังจากนั้น มันใกล้แค่เอื้อมแค่นี้เอง..เฮ้อ..ว่าแล้วก็ยังตื่นเต้นอยู่นะเนี่ย..


เราจบการสัมภาษณ์ก่อนเที่ยงห้านาที ..โห..บริหารเวลาดีจริงๆ เพราะเราแอบชำเลืองเห็นนัดสัมภาษณ์คนต่อไปตอนเที่ยงวันนี้..อืมจะเป็นเขาหรือเรานะที่ได้งานทำ ???


เราเดินออกมาแบบตัวลอยๆ เหมือนยังอยู่ในภาพฝันของการทำงานที่สตาร์บัคส์ ยัง(แอบ) รู้สึกได้ถึงวันวิ่งวุ่นตอนทำงานในวันนั้น..อ่ะนั่น..เทรฟยืนรอรับพร้อมรอยยิ้มอยู่นั่นแล้ว..เราวิ่งไปกอดสามีเรา..


"How is it?" เทรฟทักมาแต่ไกล..จากนั้นเราก็เริ่มต้นพ่น บรรยายความตื่นเต้นทั้งหมด (ที่เล่ามา)..ให้เทรฟฟัง...
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:46 pm

29Jan2010..โอ๊ยยย เครียดดดด?

บ่ายสองโมง วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2010 @ flat


ทั้งๆ ที่สัมภาษณ์งานเสร็จไปตั้งแต่เที่ยงแล้ว แต่เรายังคงคิดวนเวียนเรื่องงานที่สัมภาษณ์ไปไม่หยุด ...ในขณะที่ใบสมัครงานอีกที่วางรอให้กรอกอยู่ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน .. เราเริ่มกรอกข้อมูลมาตั้งแต่บ่าย มาติดแหงกที่คำถามสุดท้าย..ม่ายย หวายยแล้ว เอาไว้ก่อนแล้วกัน


จนกินข้าวเสร็จ ..อืม..น่าจะโอเคแล้วนะ งั้นกรอกต่อแล้วกัน..เราบอกตัวเองอย่างนั้น..แต่พอเริ่มต้นกรอก เริ่มต้นคิดเรื่องงานอีกครั้ง..โอ่ยยย..ม่ายย หวายย..เครียด..เทรฟหันมาทำหน้างงๆ ..Darling, are you ok? เราส่ายหน้า..ไม่อ่ะ เราเครียด..แล้วเราก็ระบายความอัดอั้นตันใจให้ที่รักฟัง..เทรฟ..โปร่งเครียดอ่ะ ไม่ใช่เครียดเรื่องผลสัมภาษณ์หรอกนะ แต่เครียดว่าถ้าหากไม่ได้งานนี้ ก็แปลว่าโปร่งต้องเริ่มต้นหางานใหม่อีกอ่ะดิ..ไม่อยากแล้วอ่ะ..เบื่อ..เครียด..เซ็ง! เทรฟหันมาทำหน้าเข้าอกเข้าใจ ปลอบเราว่า..โอเค งั้นกรอกอันนี้ให้เสร็จแล้วพอ พักอันอื่นไว้ก่อนแล้วกัน..ใจดีจัง..กระซิกๆๆ (..อย่ามาบังคับกันตอนนี้นะ..ไม่งั้นกระโดดกัดคอจริงๆ ด้วย..เราแอบคิด)


คืนนั้นนอนหลับไม่เป็นสุขเลย..ขนาดในฝันก็ยังมีแต่เรื่องงาน..ฮือๆๆ


ตอนเช้าเรามีสภาพเหมือนคนนอนไม่พอ..ในหัวยังวิ่งวน..ได้งาน ไม่ได้งาน ได้งาน ไม่ได้งาน...อึ๊ยยยย เครียยดดด.. บ่ายนี้เขาจะโทรมาบอกผลการสัมภาษณ์..ใจเริ่มตื่นเต้น วิตกกังวล..พยายามคิดถึงเรื่องอื่น ใจจะได้ไม่จดจ่อกับเรื่องนี้มากเกินไป..งั้นคิดเรื่องเตรียมกับข้าวเย็นนี้ดีกว่า..เอ้..ทำอะไรกินดีน้า..ไส้กรอกกับเกรวี่หัวหอม (onion gravy) งั้นหาสูตรเกรวี่ทางเน็ตดีกว่า..อ๋อๆๆ ยิ่งทิ้งซอสให้เคี่ยวนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี..อืม งั้นเตรียมตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า พอเที่ยงๆ เราจะได้ทำอะไรกินกลางวัน..แล้วพอบ่ายก็จะได้ดูรายการประจำของเรา พอบ่าย..พอบ่ายย.. อ๊ายยย คิดถึงเรื่อง "ตอนบ่าย" เมื่อไหร่จิตใจก็เต้นระส่ำทุกที..บ่าย บ่าย บ่าย เดี๋ยวเขาจะโทรมา.. เราแอบมองโทรศัพท์เป็นระยะๆ จนในที่สุด..


..เสียงโทรศัพท์ดัง พร้อมโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้น..
'Hello!' เราทัก
'Hi Sawittree, I'm Shane.'
'Hi Shane, how are you?'
'How are you? เชนทักเรากลับแล้วเงียบไปติ๊ดนึง..เราแอบระทึก
..I would like to offer you a job.'
'Sorry!' อะไรนะคะ..เราถามกลับไปเพราะฟังไม่ถนัด
'We would like to offer you a job!' เย้.... เราได้งานแล้ว! เราได้งานแล้ว! Yeahhhhhh!
แล้วเชนก็พูดรายละเอียดอื่นๆ มาอีกนิดหน่อย..


เรายอมรับอย่างไม่อายว่า เราดีใจจนน้ำตาไหล...ในที่สุด เราก็ไม่ต้องกลับไปหางานแล้ว ในที่สุดเราก็ไม่ต้องทนทำสิ่งที่กล้ำกลืนฝืนใจอีกต่อไป..นี่ต่างหากที่เราดีใจอย่างที่สุด


เรารีบกดโทรศัพท์ไปบอกสามีอันเป็นที่รักให้ร่วมดีใจไปกับเราด้วย..แล้วก็โทรไปบอกพ่อกับแม่..อิอิ..จะได้โล่งใจไปกับลูกสาว


ในที่สุด ในที่สุดความพยายามก็บังเกิดผล..ที่สำคัญมันได้ผลดีเกินคาดเสียด้วยซ้ำ เพราะเชนเสนองานให้เราเป็น "ซุปเปอร์ไวเซอร์ประจำกะ" (Shift Supervisor) แทนที่จะเป็นพนักงานประจำทีมตามที่ประกาศรับสมัคร...เริ่มงานวันจันทร์นี้ เจ็ดโมงเช้า..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 11:48 pm

30Jan2010 โปร่งกับเทรฟ..เพราะเรารักกัน..?

'5 a day' เป็นหนึ่งในข้อควรปฏิบัติของคู่เรา..กินผลไม้ให้ได้ 5 หน่วยต่อวัน ..ฮ่าฮ่า ไม่มีปัญหาสำหรับเรา ปกติก็กินเป็นกิโลอยู่แล้วตอนอยู่เมืองไทย..แต่ที่นี่..ผลไม้แพงมาก มีให้กินก็ไม่กี่อย่าง ในบ้านจะมีกล้วย ส้ม แอปเปิ้ล แพร์ เป็นหลัก เราชอบแอปเปิ้ลแดงกรอบๆ ..
"..แหวะ.." เราเบ้หน้า หลังจากกัดแอปเปิ้ลคำโต
"..เป็นไร.." เทรฟหันมาถาม ทำหน้างง
"มันไม่อร่อยอ่ะ มันเป็นแป้งๆ ไม่กรอบๆ เหมือนทุกที" เราอรรถาธิบาย
" (- -') " เทรฟ..
"อ่ะ..ให้.." เราว่าพร้อมยื่นแอปเปิ้ลให้เทรฟหน้าตาเฉย..


(..ก็เพราะเรารักกัน..มะใช่เหรอ??.. อิอิ)


- - -


เตียงขนาด double bed (กว้างห้าฟุต) ในห้องนอนเรามีผ้านวมขนาดคิงส์ไซส์ปกคลุม..กว้างพอขนาดเหลือห้อยข้างเตียงลงมาได้ข้างละคืบ
"เทรฟอ่ะ..เอาผ้าห่มคืนมา" เราโวยวายท่ามกลางความมืด
"โอ๊ย..อะไรเนี่ย..ผมจะไม่เหลือผ้าห่มแล้ว" เทรฟว่าแล้ว โคมไฟหัวเตียงก็สว่างเพื่อยืนยันหลักฐาน
เทรฟมีผ้าห่มคลุมแค่ขนาดพอดีตัว..ในขณะที่เรา..มีผ้าห่มเหลือข้างตัวกว้างราวฟุตนึง!
"...ก็..ก็..โปร่งต้องพันตัวเองให้เหมือนปอเปี๊ยะอ่ะ จะได้อุ่นๆ ไง.." !!! ( - .-')


(..ก็เพราะเรารักกัน..มะใช่เหรอ??..อิอิ)


- - -


ลองนึกถึงส้มในท้องตลาด มันจะมีหลายแบบใช่มะ ทั้งส้มเขียวหวาน โชกุน ส้มจีน ฯลฯ ที่นี่ก็คล้ายๆกัน หลักๆที่กินก็มี Tangerine, Satsuma, Clementine เรากินได้หมดขอให้เป็นส้ม แต่ส่วนใหญ่เวลาซื้อจะเลือกเปลือกตึง ไม่เละ เพราะมันแปลว่าเนื้อมันไม่ช้ำระหว่างเวลาขนส่ง
"เทรฟ..ทำไมส้มลูกนี้มันเป็นอย่างงี้อ่ะ" เปลือกมันยวบๆ
"อืม..มันก็ปลอกง่ายดีนี่นา" เทรฟว่า
"ถ้ามันเป็นอย่างนี้ส่วนใหญ่เนื้อมันจะช้ำนา" เราตั้งข้อสังเกต "โปร่งชอบแบบเปลือกแน่นๆอ่ะ ..." เรายังแอบบ่นไม่เลิก
"งั้น..ทิ้งไอ้ลูกที่คุณไม่กินไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวผมกินเอง ผมไม่เรื่องมาก" (เฮ้อ..) เอ๊ะ แอบได้ยินเทรฟถอนหายใจ
"ขอบคุณนะที่รัก" เราว่าแล้วก็วางส้มลูกนั้นไว้นอกถาด..เป็นการบอกให้รู้ว่า..ลูกนี้ของเทรฟนะจ๊ะ


(..ก็เพราะเรารักกัน..มะใช่เหรอ??..อิอิ)


- - -


อยู่ที่นี่ไม่มีมะม่วงเปรี้ยวกะฝรั่งของโปรดให้กิน ก็เลยกินแอปเปิ้ลเขียวไปพลางๆ เพราะมันกรอบเหมือนฝรั่งและมันเปรี้ยวเหมือนมะม่วง..(เอ๊ะ มันเกี่ยวกันไหมเนี่ยะ??)
แต่วันนี้ไม่อยากกินแอปเปิ้ลเขียว อยากกินแอปเปิ้ลแดง
เราเดินเข้าครัวหมายตาแอปเปิ้ลแดงลูกสุดท้าย..เอ๊ะ ไม่มี ถาดนี้ก็ไม่มี ถาดนั้นก็ไม่มี..
"ดาร์ลิ่ง แอปเปิ้ลของโปร่งหายไปไหน??"
"แอปเปิ้ลอะไร เห็นมีตั้งเยอะนั่นไง ไม่ใช่เหรอ?" เทรฟหมายถึงบรรดาแอปเปิ้ลเขียวที่นอนนิ่งอยู่ในถาด
"ไม่ใช่ แอปเปิ้ลสีแดงลูกสุดท้ายของโปร่งอ่ะ..อย่าบอกนะว่าเทรฟเอาใส่กระเป๋าเตรียมไว้กินกลางวันพรุ่งนี้" (เทรฟเตรียนแซนวิช ผลไม้ ขนมและโยเกิร์ตไปกินที่ทำงานทุกวัน)
"ใช่ ก็ผมไม่ชอบแอปเปิ้ลเขียว มันเปรี้ยวนี่นา" เทรฟตอบทั้งยังทำหน้างงว่า..มันเป็นปัญหาตรงไหนเหรอ??..
"อันนั้นของโ..ป..ร่..ง เอาคืนมาน้าาา" ว่าแล้วเราก็วิ่งเอาแอปเปิ้ลเขียวไปสลับกับแอปเปิ้ลแดงในกระเป๋าเป้เทรฟมากินหน้าตาเฉย..
'Unbelievable!' ("ไม่อยากจะเชื่อ!") เราว่า..เราสัมผัสได้ว่าเทรฟส่งสายตาพร้อมคำพูดนั้นลอยมากลางอากาศนะ..อืม..


(..ก็เพราะเรารักกัน..มะใช่เหรอ??..อิอิ)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน