กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหนูตัวหนึ่ง ได้แอบไปกัดกินข้าวสารอาหารแห้งของชาวบ้าน จนได้รับความเสียหายไปทั่ว
ชาวบ้านที่เดือนร้อนจนทนไม่ไหว จึงรวมตัวกันร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้จับหนูตัวนั้นไปลงโทษซะ
เจ้าหน้าที่คนนั้นก็รีบรุดไปจับหนู แล้วก็จับได้ขณะที่หนูตัวนั้นกำลังกินข้าวสารของชาวบ้านอยู่จังๆ หลักฐานเต็มไปหมด
จึงนำตัวไปส่งให้เจ้าเมืองตัดสินโทษ ต่อพอเจ้าเมืองเห็นหนูตัวนั้นเท่านั้น จึงได้ใช้องครักษ์ให้แอบไปกระซิบเจ้าหน้าที่จับหนูไปว่า
"หนูตัวนี้เป็นของเจ้าเมืองเอง เลี้ยงมาตั้งแต่เป็นหนูตัวแดงๆ เจ้าเมืองรักมาก"
แต่เนื่องด้วยชาวบ้านที่มาร้องทุกข์ และรอให้หนูตัวนั้นถูกลงโทษเป็นจำนวนมาก
ด้วยความกลัวว่าชาวบ้านจะไม่ศรัทธาจึงได้นำหนูตัวนั้นไปขังไว้ก่อนเพื่อรอตัดสิน
แต่ด้วยเป็นหนูของเจ้าเมือง จึงได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีขณะที่ถูกขังอยู่ในกรง
ชาวบ้านทราบดังนั้น จึงได้รีบมาร้องเรียนเจ้าเมืองว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะหนูตัวนั้นสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ต้องถูกลงโทษเยี่ยงนักโทษ
เจ้าเมืองก็ทำเป็นหูทวนลม เพราะยังไงก็รักหนูตัวนี้มากกว่าชาวบ้านอยู่แล้ว
จนชาวบ้านมาร้องทุกข์มากเข้าๆ จนเจ้าเมืองเห็นว่าตำแหน่งเริ่มสั่นคลอน จึงต้องรีบจัดฉากกำหนดการตัดสินโทษเจ้าหนูตัวนั้นให้ชาวบ้านเห็น
ก่อนวันตัดสินนั้น เจ้าเมืองได้ป่าวประกาศถึงความน่ารัก ความดี ความมีประโยชน์ของหนูตัวนั้น
ทั้งๆที่หนูตัวนั้นไม่เคยเป็นเช่นนั้น ทั้งยังอ้างว่า ชาวเมืองส่วนใหญ่รักหนูตัวนี้ ไม่อยากให้ถูกลงโทษ
อีกทั้งสั่งให้คนในจวนเจ้าเมืองออกมาปกป้องเจ้าหนูตัวนั้น ทุกวิถีทาง เพื่อยืดเวลาตัดสินโทษหนูตัวนั้น
แต่ความจริงก็คือความจริง ชาวบ้านเริ่มออกมาร้องทุกข์มากขึ้นทุกวัน เจ้าเมืองทนแรงกดดันต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงต้องตัดสินโทษซะที
เจ้าเมืองได้สั่งให้นำหนูที่ถูกขังในกรง ไปตั้งไว้กลางเมือง เพื่อดูเหมือนว่าหนูตัวนั้นกำลังจะถูกลงโทษร้ายแรง
เย็นก่อนวันตัดสินให้นำผ้าไปคลุมกรงไว้ โดยอ้างว่ากันไม่ให้คนมาทำร้ายหนูก่อนได้รับการตัดสินลงโทษอย่างถูกต้อง
คืนก่อนวันตัดสิน เจ้าเมืองได้สั่งให้เจ้าหน้าที่คนที่จับเจ้าหนูตัวนี้มาขัง ให้ไปเลื่อยซี่กรงขังให้เปราะพอที่หนูตัวสุดที่รักของเจ้าเมืองจะหนีออกไปได้
แล้ววันตัดสินก็มาถึง เจ้าเมืองจัดฉากการตัดสินโทษหนูสุดที่รักอย่างขึงขัง ทั้งยังแต่งตั้งคณะตัดสินด้วยตนเอง
ชาวบ้านต่างคิดว่าเจ้าหนูไม่รอดถูกลงโทษแน่แล้ว คราวนี้
สุดท้ายหัวหน้าคณะตัดสินได้กล่าวคำตัดสินมาจนถึงวรรคสำคัญว่า
"อันความผิด หนูในกรง นั้นหนักแสน
ชาวบ้านแค้น ให้ตัดสิน ด้วยเดชศาล
ดังนั้นให้ หนูในกรง ผู้ระราน
ถูกประหาร ณ กรงขัง โดยเร็วพลัน"
แล้วจึงให้เจ้าหน้าที่เปิดผ้าคลุมออกมาเพื่อประหารหนู ณ กรงนั้น
ปรากฏว่า ไม่มีหนูในกรงแล้ว ชาวบ้านถึงกับตกตะลึง ในขณะที่ชาวบ้านตกตะลึงนั้น หัวหน้าคณะจึงได้ตัดสินทันทีว่า
"คำตัดสิน ให้ประหาร ณ กรงขัง
แต่หนูพัง ซี่กรง ลงดั่งฝัน
จึงไม่อาจ เอาผิด หนูโดยทัณฑ์
เพราะหนูนั้น อยู่นอกกรง ปลงชีวิน
ให้ชาวราษฎร์ ยอมรับ ฎีกาศาล
เพราะจัดการ โดยผู้ทรง ด้วยธรรมศีล
ให้ความผิด หนูนั้น หายจมดิน
โมฆะสิ้น เพราะตัดสิน หนูในกรง"
ชาวบ้านได้แต่มองตาปริบๆ แต่ชาวบ้านก็คือชาวบ้านไม่สามารถทำอะไรได้
เจ้าหนูตัวสุดที่รักของเจ้าเมืองก็หลุดรอดไปกัดกินทำลายข้าวของของชาวบ้านต่อไป จนมันตายตามอายุขัย เอวัง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หนูของใคร ใครก็รัก จะให้ถูกลงโทษได้ยังไง