ความรักเกิดขึ้นได้ทุกที่ แม้แต่ในกระป๋องดีๆ ก็มีความรักบรรจุอยู่..... เมื่อกระแสแพร่สะพัดของเชื้อสายความรัก ที่เรียกว่า 'รักษ์' เกิดขึ้นกับโลก และทวีความสำคัญมากขึ้นในสายตาและหัวใจของคนทั่วไป ก็ส่งผลให้แนวทางปฏิบัติต่อโลกสะท้อนออกมาอย่างเข้าใจและอ่อนโยนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าสิ่งแวดล้อมคือฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวาย่อมหนีไม่พ้นฟากอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนว่าจะจ้องทำลายฝ่ายแรกตลอดเวลา หากไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลับฉายภาพใหม่ในอีกมุม ที่เพิ่มบทบาทเป็น 'มิตร' กับสิ่งแวดล้อม อีกนัยหนึ่งยังเป็นปัจจัยบวกที่ตอบสนองภาคการตลาด ภายใต้ 'ซีเอสอาร์ (Corporate Social Responsibility)' กลยุทธ์ยอดฮิตสู่การรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่โตมาพร้อมๆ กับลูกค้ากลุ่มรักษ์โลกที่ยอดสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และ 'บรรจุภัณฑ์กระป๋อง' หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่าเป็นอาชญากรทางธรรมชาติ เพราะข้อมูลจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวอ้างว่า การผลิตกระป๋องเครื่องดื่มมีผลต่อสิ่งแวดล้อมเพราะการผลิตกระป๋องเครื่องดื่มซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยผลิตจากอะลูมิเนียมนั้น ต้องใช้แร่อะลูมิเนียมบริสุทธิ์จากธรรมชาติ มาเป็นวัตถุดิบถึง 5 ตัน ใช้พลังความร้อนจากไฟฟ้าถึง 18,000 กิโลวัตต์ เพื่อให้ได้อะลูมิเนียมเพียง 1 ตัน และในกระบวนการผลิตยังก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แพร่กระจายออกสู่อากาศอีกถึง 18 ตัน ข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้อุตสาหกรรมในสายตาผู้บริโภคกลายเป็นตัวการสำคัญในการทำลายสิ่งแวดล้อม
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกระแสความสะดวกสบายในไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ถูกตีเป็นโจทย์หลักที่ภาคธุรกิจมุ่งตอบสนอง ส่งผลให้การใช้กระป๋องบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อจำหน่ายผ่านตู้หยอดเหรียญและร้านค้าทั่วไป ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อนโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และไทย ไหล่ของภาคธุรกิจจึงหนักอึ้งไปด้วยภารกิจรักษ์สิ่งแวดล้อมกับสนองความสะดวกสบายให้ผู้บริโภค
แต่เมื่อคนในภาคอุตสาหกรรมถูกแนะนำให้รู้จักรักษ์โลก เฉกเช่นกับผู้บริโภคในวันนี้ ทำให้เกิดมีนวัตกรรมการผลิตที่เพิ่มประสิทธิภาพใหม่ในการจัดการกับสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม แต่ประโยชน์ใช้สอยยัง 'เก่า' เหมือนเดิม
'กระป๋องบรรจุรักษ์' ชื่อ 'ทัลค์' เป็นผลพลอยได้จากสายพานการผลิตของ บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง ที่สืบเชื้อสายจาก บริษัท โตโยไซกัน ไกชา จำกัด เจ้าของแชร์อันดับหนึ่งในสายการผลิตกระป๋องประมาณ 4 พันล้านกระป๋องต่อปีในประเทศญี่ปุ่น
ดูเผินๆ ทัลค์ คือกระป๋องหน้าตาธรรมดาๆ แต่ถ้าลงลึกในรายละเอียดแล้ว ชื่อภาษาอังกฤษTULC ย่อมาจาก Toyo Ultimate Lightweight Can เป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกและกำลังถูกจับตามองจากหลากหลายประเทศ เพราะความสามารถในการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิต พลังงานและมลพิษที่ทำลายธรรมชาติให้เห็นผลได้อย่างชัดเจน
เมื่อหยิบยกไลน์การผลิต ทัลค์ มาเปรียบเทียบกับวิธีผลิตกระป๋องยอดฮิตในปัจจุบัน แบบ ADI ซึ่งเป็นการผลิตแบบเปียก (Wet Process) จะพบว่า ทัลค์ สามารถลดการใช้พลังงานในการผลิต 26 เปอร์เซ็นต์, ลดการใช้น้ำในการผลิตจาก 150 มิลลิลิตรต่อกระป๋องเป็นไม่ใช้น้ำเลย, ลดของเสียจากการผลิต จากปกติ 40 ตันต่อเดือน เหลือเพียง 120 กิโลกรัม และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่อากาศ จาก 20.3 กรัมต่อกระป๋อง เหลือ 6.1 กรัมต่อกระป๋อง หรือลดลงกว่า 3 เท่า และเทคโนโลยีดังกล่าวยังทำให้การรีไซเคิลกระป๋อง...ง่ายขึ้น
ชาโตชิ นิชิโนะ ประธานบริษัท เลคเชอร์ 'ทัลค์' ในแนวลึกให้ฟังว่า จากเทคโนโลยีการผลิตรูปแบบใหม่ที่ช่วยสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก ทำให้ด้านในของกระป๋องทัลค์ ไม่ได้เคลือบด้วยแล็กเกอร์ ที่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากและใช้น้ำมหาศาลทำความสะอาด แต่ทดแทนด้วยการใช้ 'ฟิล์มเพ็ท' เคลือบรอบกระป๋องชั้นในและชั้นนอก โดยไม่ต้องเคลือบหรืออบสีเหมือนกระป๋องทั่วไป ลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และในขั้นตอนการรีไซเคิลด้วยการเผาไหม้ ฟิล์มเพ็ทก็ไม่ได้สร้างก๊าซพิษ คงเหลือแต่ คาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน เท่านั้น
ด้วยกระบวนการผลิตกระป๋องทัลค์ที่สั้นกว่ากระป๋องทั่วไป คิดเป็น 1.5 พันกระป๋องต่อนาที ยังช่วยลดการใช้พลังงาน ทรัพยากรและขยะอุตสาหกรรม อีกทั้งคุณสมบัติของเพ็ทยังช่วยให้กระป๋องแข็งแรงทนทานยิ่งขึ้น หลังจากความอ่อนแอของกระป๋องเคยเป็นปัญหาบรรจุภัณฑ์สำคัญในสหรัฐอเมริกา ทั้งยังคงรักษารสชาติของอาหารและเครื่องดื่มได้ดีกว่าเดิม
อร่อยถึง 'ใจ'
ไม่เพียงมูลเหตุของเทคโนโลยีซีเอสอาร์ที่จูงใจเจ้าของสินค้าให้หันมาโกกรีนมากขึ้น จุดแข็งเรื่องฟิล์มเพ็ท ยังสามารถเอื้อให้การผลิตกระป๋องมีความยืดหยุ่น โดยสามารถนำเหล็กมาใช้ผลิตแทนอะลูมิเนียมได้ ส่งผลให้ต้นทุนกระป๋องเหล็กถูกกว่ากระป๋องอะลูมิเนียม 5-10 เปอร์เซ็นต์ จากปกติเฉลี่ยกระป๋องละ 2-3 บาท จึงถือเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังปวดหัวกับต้นทุนซึ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะด้วยกระแสแก้โลกร้อนหรือปัญหาเรื่องต้นทุนสูงลิ่ว ก็ทำให้วันนี้มีลูกค้าเก่าและใหม่ของบางกอกแคนสนใจเปลี่ยนมาใช้กระป๋องทัลค์แล้ว 15 ล้านกระป๋องต่อเดือน นิชิโนะคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงานและน้ำอัดลม จากที่ผ่านมามีกำลังการผลิตกระป๋อง 45-50 ล้านกระป๋องต่อเดือน
บางกอกแคน มีเป้าหมายที่จะใช้จุดขายเรื่องสิ่งแวดล้อมดึงให้ผู้ประกอบการเลือกใช้กระป๋องทัลค์แทนกระป๋อง ADI และเชื่อว่าหลังจากนี้ จะต้องมีผู้ประกอบการที่เข้าใจซีเอสอาร์ มาร์เก็ตติ้ง นำเรื่องบรรจุภัณฑ์นี้ขึ้นมาเป็นจุดขาย จึงต้องจับตาลูกค้ายักษ์ใหญ่ของบางกอกแคนไม่ว่าจะเป็น โคคา-โคลา, ไทยน้ำทิพย์, กระทิงแดง, เสริมสุข หรือ บุญรอด บริวเวอรี่ ว่าใครจะชิงโอกาสการตลาดเจาะคนรุ่นใหม่หัวใจสิ่งแวดล้อมได้ก่อนกัน
กระป๋องรักษ์โลกใบนี้ ใช้เงินลงทุนกว่า 800 ล้านบาท และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตกระป๋องให้บริษัทเพิ่มจาก 1,000 ล้านกระป๋องต่อปีที่ผ่านมา เป็น 1.5 พันล้านกระป๋อง
"ถ้าตลาดกระป๋องในเมืองไทยยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า เราก็จะมีโอกาสเพิ่มไลน์การผลิตในปี 2552 และยังพร้อมที่จะขายเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการอื่นๆ เพื่อสร้างแนวร่วมใหม่ในภารกิจลดโลกร้อน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเกมธุรกิจ" นิชิโนะว่าอย่างนั้น
สายพานกระป๋องทัลค์ที่เริ่มวิ่งตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา และใกล้จะได้ฤกษ์วางตลาดเร็วๆ นี้ ประธานนิชิโนะยังเชื่อว่า ใน 1 ปี ถัดจากนี้ บางกอกแคนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดกระป๋องจาก 30 เปอร์เซ็นต์ มาเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์
อิทธิพลของ 'คุณค่าทางจิตใจ' และ 'ความรับผิดชอบต่อสังคม' เสมือนเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต 'ความรักษ์อัดกระป๋อง' ที่ดื่มแล้วไม่เพียงอร่อยลิ้น แต่ยังอร่อยไปถึง 'ใจ' ซึ่งก็เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างความพยายามของมนุษย์ที่จะเรียนรู้คำว่า 'รัก' ให้มากขึ้น และรู้จักการบริโภคอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด ทำนอง เราอิ่ม โลกอิ่ม เราสบาย โลกสบาย เพราะเราคือโลก และโลกก็คือเรา...
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_02958.php
