โดย o_MaKKaPaN » พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2006 11:27 am
จิมทอมป์สันเร่งปรับดีไซน์สินค้า ผุดช้อปเพิ่ม5แห่งเร่งดูดเงินคนไทย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 ธันวาคม 2549 09:37 น.
อุตสาหกรรมไหมไทยเผยแผนการตลาดจิม ทอมป์สันรับปีหมู เตรียมโฟกัสกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มหลังพบว่ามีสัดส่วนน้อยอยู่ที่ 5% เล็งปรับดีไซน์สินค้ากลุ่มแฟชั่น เครื่องประดับและของตกแต่งบ้านให้ดูทันสมัย พร้อมเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีก 5 แห่งเน้นทำเล กรุงเทพฯ ปีนี้ปรับราคาเนคไทขึ้น 6% เหตุราคาน้ำมันแพง ส่วนการเมืองกระทบต่อลูกค้าญี่ปุ่นในระยะสั้นเท่านั้น ล่าสุดเตรียมจัดงาน "จิม ทอมป์สัน เฟสติวัล" มั่นใจดันยอดขายรวมสิ้นปีนี้โต 10-15% ด้านตลาดต่างประเทศปีหน้าเล็งเปิดชอปและขยายเอเยนต์เพิ่ม คาดยอดปีหน้าเพิ่มอีก 15%
นางชุติมา ดำสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าไหมไทย ภายใต้แบรนด์ "จิม ทอมป์สัน" เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้าของจิม ทอมป์สัน บริษัทฯเตรียมมุ่งเน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าที่เป็นคนไทยยังมีน้อยอยู่หรือคิดเป็น 5% และที่เหลือ 95% เป็นลูกค้าต่างประเทศ ปีหน้าคาดว่าสัดส่วนลูกค้าคนไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน10%
จากการที่บริษัทฯเตรียมปรับแผนการทำตลาดใหม่บางส่วน ไม่ว่าจะเป็นการปรับการดีไซน์สินค้ากลุ่มแฟชั่น, เครื่องประดับหรือแอสเซสซอรี่ และของตกแต่งบ้านให้มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและโดนใจผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น รวมถึงจะมีการประชาสัมพันธ์สินค้าจิม ทอมป์สันไปยังผู้บริโภคคนไทยผ่านสื่อต่างๆเพิ่มขึ้น ภายใต้งบเฉพาะในส่วนประชาสัมพันธ์ที่คาดว่าต้องใช้เพิ่มขึ้นอีก10% จากปีนี้ที่ใช้ไป50ล้านบาท(รวมตลาดทั้งในและต่างประเทศ)
ประกอบกับปีหน้าบริษัทฯเตรียมขยายสาขาจิม ทอมป์สันเพิ่มเติมอีก 4-5 แห่ง โดยเน้นในกรุงเทพฯเป็นหลัก ภายใต้งบลงทุนสาขาละประมาณ40-50 ล้านบาท จากปัจจุบันจิม ทอมป์สันมีสาขาทั้งหมด 30 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 10 สาขา ซึ่งมีทั้งรูปแบบแฟคทอรี่ เอาต์เล็ทที่มีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ที่สุรวงศ์และสุขุมวิท 93 และแบบขายปลีก ส่วนสาขาที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่จะเปิดร่วมกับโรงแรม ปัจจุบันมีประมาณ 20 แห่ง
สำหรับสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้ ได้แก่ ที่คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งเปิด 2 สาขาพบว่าได้รับการตอบรับดี แต่สาขาที่ทำรายได้ให้บริษัทฯมากที่สุด คือ สยามพารากอนที่เปิดตัวไปช่วงเดือนเมษายน 2549 ภายใต้งบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท
นางชุติมากล่าวสรุปถึงภาพรวมปี 2549 นี้ว่า จากปัจจัยลบทางเรื่องน้ำมันส่งผลให้บริษัทฯได้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าบางกลุ่ม ได้แก่ เนคไท ซึ่งมีการปรับเพิ่ม6% หรือจากเดิมราคา 1,600บาทปรับขึ้นเป็น 1,700 บาท เนื่องจากเทคไนเป็นสินค้าที่ขายดีมากและบริษัทฯต้องแบกรับภาระต้นทุนขึ้นไว้นานแล้ว โดยเริ่มปรับไปในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ส่วนปัญหาทางการเมืองก็ส่งผลกระทบต่อลูกค้าบ้างในช่วง 4-5 วัน โดยเฉพาะชาวญี่ป่นที่มีกว่า 60% จะนิยมมาซื้อมาสินค้าที่หน้าร้าน
ล่าสุดบริษัทฯเตรียมจัดงานแสดงสินค้า "จิม ทอมป์สัน เฟสติวัล" ขึ้น ในระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคมนี้ที่ไบเทค บางนา โดยงานดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรกว่า 100 ราย อาทิ บริษัทวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ในการร่วมจัดงาน รวมถึงพันธมิตรต่างๆ อาทิ เวอร์จิ้น เรดิโอ,บริษัท เอซีที เครื่องหนัง(ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในส่วนสินค้าของจิม ทอมป์สันที่จะนำมาจำหน่ายในงาน อาทิ เสื้อยืด ,พวงกุญแจ และการ์ตูนหลงกรุง 4 ภาษา เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทฯคาดหวังยอดรายได้จากงานจะมีมากกว่า 50 ล้านบาทและจำนวนผู้เข้าร่วมงานกว่า 5 หมื่นราย
ปัจจุบันสินค้าของจิม ทอมป์สัน แบ่งออกเป็น กลุ่มเครื่องประดับหรือแอสเซสซอรี่ มีสัดส่วนสินค้า 70% ผ้าตกแต่งบ้านมีสัดส่วน 20% และกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน 10% โดยระดับราคาสินค้ามีตั้งแต่ 200 บาทไปจนถึงหลักหมื่นบาท
นางชุติมา กล่าวต่อว่า แผนการทำตลาดในส่วนตลาดต่างประเทศในปีหน้าบริษัทฯเล็งขยายตลาดเพิ่มในรูปแบบเอเยนต์ในอีก 2 ประเทศ เช่น เยอรมันและญี่ป่น จากปัจจุบันมีเอเยนต์กว่า 30 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในรูปแบบเอเยนต์นี้สินค้าของจิม ทอมป์สันจะเข้าไปอยู่ตามร้านขายผ้าเป็นหลัก นอกจากนี้บริษัทฯยังมีชอปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน 10 แห่ง ได้แก่ที่มาเลเซีย 5 แห่ง,สิงคโปร์ 4 แห่งและดูไบ 1 แห่ง ปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มชอปอีก 4-5 สาขา ภายใต้งบลงทุนอย่างต่ำแห่งละ 40-50 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนยอดรายได้ในต่างประเทศขณะนี้อยู่ที่ 35-40% ปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 10-15%
สำหรับยอดรายได้รวมสิ้นปีบริษัทฯคาดหวังการเติบโตที่ 10-15% จากยอดรายได้ปีก่อนที่มีประมาณ 2,420 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นยอดขายปลีก 1,700 ล้านบาท และยอดส่งออก 453 ล้านบาท รายได้อื่นๆอีก 268 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าบริษัทฯคาดหวังยอดรายได้จะมีอัตราการเติบโตขึ้น 10-15%