เป๊ปซี่ซื้อกิจการเสริมสุข

[PAO]

สุรัชฏา สว่างเนตร
Positioning Magazine22 เมษายน 2553 0 Comments
Added on: 21/4/2553

หมดยุคบุลสุขในเป๊ปซี่ หลังจากเป๊ปซี่ โค บริษัทแม่ เตรียมปรับสัดส่วนถือครองหุ้นในเสริมสุข ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของเสริมสุข วางแผนก้าวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ฮิว กิลเบิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เป๊ปซี่โค ในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ บริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง เป๊ปซี่โค และผู้บริหารของบริษัทย่อยของเป๊ปซี่ในประเทศไทย ได้แก่ นายปริญญา กิจจาธนพันธ์ และดร.ทรงยศ เรืองสกุลราข ได้ประกาศเจตนารมย์ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการของเสริมสุข เพื่อเพิ่มศักยภาพในทรัพย์สินที่มีอยู่เดิม ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 5,000 ? 6,000 ล้านบาท และลงทุนสร้างโรงงานใหม่

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเป๊ปซี่โค ที่มองเห็นศักยภาพในตลาดเครื่องดื่มบรรจุขวดของประเทศไทย ซึ่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยมีผู้เล่นหน้าใหม่ และมีเครื่องดื่มประเภทใหม่ๆเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก

เป๊ปซี่จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสของผู้บริโภค และสภาพตลาดให้ทัน ความคล่องตัวในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนอกจากการเข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพ เสริมความความแข็งแกร่งทางด้านต่างๆให้กับเสริมสุขแล้ว ทางฮิว ยังคาดหวังว่าการปรับสัดส่วนถือหุ้นครั้งนี้ ยังช่วยให้คณะผู้บริหารของเป๊ปซี่โค และเสริมสุขมีโอกาสทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
หากการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จ ฮิว กล่าวต่อว่า ทางสมชาย บุลสุข ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอ ของบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ยังคงทำหน้าที่เดิมต่อไปจนกว่าเกษียณอายุการทำงาน และทางเป๊ปซี่โคไม่มีแผนถอนเสริมสุขออกจากตลาดหลักทรัพย์

ปัจจุบัน โครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย เป๊ปซี่โค 42% และ Independent Share Holder 52% โดยตระกูลบุลสุขมีหุ้นอยู่ทั้งหมด 7%

[PAO]

เทกโอเวอร์เสริมสุข พลิกโฉมเป๊ปซี่(23 เม.ย. 53)



บริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) จำกัด และ เป๊ปซี่โค เปิดวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธิ์ในการสนับสนุนธุรกิจของบริษัทเสริมสุข จำกัด (มหาชน) มุ่งบำรุงและพัฒนาเครื่องจักร และเครื่องอำนวยความสะดวกในโรงงาน รวมถึงการจัดสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มใหม่ของ เสริมสุขภายในเวลา 18 เดือน


สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง เป๊ปซี่โค และผู้บริหารของบริษัทย่อยของเป๊ปซี่ในประเทศไทย ประกาศเจตนาในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการของเสริมสุขอาทิตย์นี้ โดยมีนายปริญญา กิจจาธนพันธ์ และ ดร.ทรงยศ เรืองสกุลราช นักลงทุนชาวไทยซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด เข้าร่วมทุนในครั้งนี้ด้วย


ผู้แทนของ สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) และเป๊ปซี่โค ได้อธิบายถึงยุทธศาสตร์ในการสร้างความเติบโตที่ปูทางให้เสริมสุขดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจที่มีงบประมาณการลงทุนมูลค่ากว่าหกถึงเจ็ดพันล้านบาทในระยะเวลาสามถึงห้าปีข้างหน้าว่า โครงการพัฒนาขีดความสามารถดังกล่าวหมายรวมถึง การยกระดับคุณภาพโรงงานและเครื่องจักรกล การลงทุนทางด้านไอที และการพัฒนาคณะผู้บริหารของเป๊ปซี่โค และเสริมสุขให้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น


ภายหลังการประกาศแผนการลงทุน นายปริญญา กิจจาธนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย)เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ?ในตลาดภายในประเทศที่มีสภาวะการแข่งขันสูง เรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายในระยะสั้นที่สำคัญหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตามเรามุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในระยะยาวให้กับบริษัทเสริมสุข และเพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี เราจะต้องเตรียมแผนการลงทุนทางยุทธศาสตร์ไว้สำหรับการนี้?


?ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญของเป๊ปซี่มากว่าหลายปี เป๊ปซี่ถือเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมระดับโลกที่อยู่ในระดับแนวหน้าในบ้านเรา และเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างการดำเนินธุรกิจที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภค และแนวโน้มตลาดในประเทศเปลี่ยนไป เราจึงแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการลงทุนคิดค้นนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ และนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้ เพื่อให้เป๊ปซี่โคยังยืนหยัดเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของผู้บริโภคชาวไทยต่อไป? นายปริญญา กล่าว


ดร. ทรงยศ ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ด้วยนั้นได้กล่าวว่าแผนยุทธศาสตร์นี้จะสอดรับกับความท้าทายที่เกิดจากพัฒนาการใหม่ของตลาดและอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม


?ปัจจุบันมีกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาเครื่องดื่มที่มีรูปแบบ และรสชาติหลากหลายให้เลือก ด้วยแผนยุทธศาสตร์ และความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในตลาดไทย เราจึงมั่นใจว่าเสริมสุขจะสามารถต่อยอดจาก ความสำเร็จในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาได้ในระยะยาว?


มร. ซาด อับดุล-ลาตีฟ ซีอีโอ ของเป๊ปซี่โค แห่งทวีปเอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา แสดงความคิดเห็นต่อความมุ่งมั่นในการลงทุนของเป๊ปซี่โคในประเทศไทยต่อไปว่านับเป็นข่าวดีซึ่งการลงทุนนี้จะช่วยให้กิจการของบริษัทเสริมสุขแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต ?เรามีฐานผู้นำองค์กรและบุคคลากรที่มีคุณภาพในทุกระดับและคาดการณ์ว่าการทำคำเสนอซื้อในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ ในขณะที่เรากำลังเตรียมแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต พนักงานของเสริมสุขทุกคนสามารถวางใจได้ว่าการทำงานของทุกฝ่ายจะยังคงดำเนินไปตามปกติ และเมื่อแผนธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับเสริมสุข พนักงานของเสริมสุขจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ และมีส่วนร่วมในการเติบโตในอนาคตดังกล่าว?


สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ราคาเสนอซื้อหุ้นในบริษัทเสริมสุขจะอยู่ที่29 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคานี้จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางประการในคำเสนอซื้อ โดยราคานี้เป็นราคาที่สูงกว่าราคาปิดที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันศุกร์ที่ 16 เมษายนอยู่ 44 เปอร์เซ็นต์ และสูงกว่าราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯเฉลี่ยย้อนหลัง 90 วันอยู่ 61 เปอร์เซ็นต์ ราคาเสนอ ซื้อนี้เป็นราคาที่ยังไม่รวมเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 2 บาท ซึ่งผ่านการพิจารณาและอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทเสริมสุขเมื่อวันอังคารที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา


ภายหลังจากการประกาศเจตนาในการทำคำเสนอซื้อหุ้นโดย สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย)สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) จะต้องยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นทั้งหมดของเสริมสุขภายในเวลาเจ็ดวันทำการ

http://www.marketeer.co.th/marketeertoday_detail.php?marketeertoday_id=2357

[PAO]

ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์19 เมษายน 2553

เป๊ปซี่ปรับโมเดลธุรกิจ ดึงบรรจุขวดมาบริหาร


แม้ว่าจะเป็นกิจการเครื่องดื่มที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากบริษัท โคคา-โคลา แต่ผลประกอบการล่าสุดที่เพิ่งประกาศออกมาของบริษัทเป๊ปซี่ดูเหมือนว่าจะดีกว่าคู่แข่ง แถมยังมีการปรับเปลี่ยนโมเดลการทำธุรกิจจากเดิมด้วยการซื้อกิจการ 2 กิจการคือ เป๊ปซี่ บอทเทิลลิง กรุ๊ป และเป๊ปซี่ อเมริกาเข้ามาด้วยเงินกว่า 7,800 ล้านดอลลาร์ จนสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดไปตามๆ กัน


การซื้อกิจการบรรจุขวดน้ำดื่มที่เคยใช้การว่าจ้างดำเนินการโดยบริษัทภายนอกเข้ามาเป็นกิจการในเครือข่ายของเป๊ปซี่เอง เป็นการเปลี่ยนลักษณะการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลมในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา และที่สำคัญไม่ใช่เพียงเป๊ปซี่เพียงกิจการเดียวที่ตัดสินใจปรับเปลี่ยนโมเดลของวงการการดำเนินธุรกิจดังกล่าว เพราะ โคคา-โคลา ก็ได้ประกาศซื้อกิจการของบริษัทที่รับช่วงการบรรจุขวดน้ำอัดลมชื่อโคคา-โคลา เอนเตอร์ไพรส์ ด้วยเช่นเดียวกัน


มองจากสภาพการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลมในกรณีของบริษัทชั้นนำของโลกอย่างโคคา-โคลา หรือเป๊ปซี่แล้ว จะเห็นว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่กล้าขยับราคาขายของเครื่องดื่มน้ำอัดลมขึ้นไปอีก ทั้งที่มีแนวโน้มว่าวัสดุหรือวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมได้ขยับราคาสูงขึ้นมาตามลำดับ ดังนั้น หากปล่อยให้สถานการณ์ทางด้านต้นทุนเป็นอยู่อย่างนี้ ความสามารถในการทำกำไรก็จะค่อยๆ ลดลง จนกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายของกำไรได้


หนทางที่ต้องนำมาใช้ในขณะนี้อย่างเร่งด่วน ก็คือ หาทางปรับลดต้นทุนของการผลิตลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


ประเด็นที่น่าจะเป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาฤดูร้อนแล้ว และเครื่องดื่มน้ำอัดลมจะขายดีที่สุดของปี กระบวนการในการกระจายและนำส่งสินค้าให้ออกไปตามจุดขายปลีกมากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อพร้อมจะรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ตลอดเวลา


โมเดลเดิมในการดำเนินธุรกิจของเป๊ปซี่คือ การใช้ระบบแฟรนไชส์ คือการแยกขั้นตอนของการบรรจุขวดออกไปให้บริษัทภายนอกเครือข่ายดำเนินการแทน


นักวิเคราะห์เชื่อว่า แรงขับเคลื่อนทางการตลาดที่สำคัญน่าจะมาจากเป้าหมายในการยกระดับของการแข่งขันทางธุรกิจในตลาดสหรัฐฯ ให้มีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนเพิ่มมากขึ้น และเป๊ปซี่สามารถรักษาสถานะของผลกำไรเอาไว้ แต่โมเดลของการแยกธุรกิจบรรจุขวดยังคงเป็นรูปแบบที่ใช้ในตลาดนอกสหรัฐฯ อื่นๆ


นอกจากนั้นการที่โคคา-โคลาเองก็หันมาใช้วิธีการซื้อกิจการของธุรกิจบรรจุขวดเหมือนกัน จึงน่าจะช่วยยืนยันได้ว่ากลยุทธ์ของทั้ง 2 บริษัทมาถูกทางแล้ว สำหรับการบริหารจัดการตลาดในอเมริกาเหนือ และเป๊ปซี่ก็มีความพร้อมที่จะดำเนินการด้านการบรรจุขวดเองด้วย


การรวมธุรกิจบรรจุขวดน่าจะทำให้เป๊ปซี่เชื่อมั่นในการทำกิจกรรมการตลาดในช่วงฤดูซูเปอร์โบว์ลที่กำลังย่างกรายเข้ามาถึงอีกไม่นานนี้ เพราะจะมีสินค้ารอพร้อมส่งออกไปสู่จุดขายภายใน 24 ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 4-5 สัปดาห์ในการสั่งดำเนินการบรรจุขวดล่วงหน้า ส่วนที่เหลือที่ทีมงานการตลาดของเป๊ปซี่จะต้องพยายามหาทางออกต่อไปก็คือ ปัญหาภาวการณ์ว่างงานที่ยังสูงและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมภายนอกที่ไม่ใช่ปัญหาจากภายในอีกต่อไป

http://gotomanager.com/news/details.aspx?id=86400

[PAO]

เป๊ปซี่อเมริกาทุ่ม4.5พันล้านกลืน"เสริมสุข"

เศรษฐกิจ22 เมษายน 2553 - 00:00

นายฮิว กิลเบิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เป๊ปซี่โค ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า บริษัทแม่ของเป๊ปซี่ที่สหรัฐได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) จากบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายน้ำอัดลมเป๊ปซี่ในตลาดไทยมานาน 56 ปี จากผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งมีสัดส่วน 58% หรือประมาณ 2,000-3,000 คน ในราคาหุ้นละ 29 บาท ส่วนที่เหลืออีก 42% เป็นการถือหุ้นของบริษัทเป๊ปซี่โค โดยราคาเสนอซื้อ 29 บาท สูงกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 16 เม.ย.40% คาดใช้เงินซื้อหุ้นทั้งหมด 4,500 ล้านบาท และต้องการให้กระบวนการทั้งหมดแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน

สำหรับเหตุผลสำคัญ คือ ตลาดน้ำอัดลมในไทยเติบโตรวดเร็วมาก โดยบริษัทต้องการเปิดตลาดเครื่องดื่มทั้งอัดลมและไม่น้ำอัดลม รวมถึงขนมขบเคี้ยว และมีแผนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ 5,000-7,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทได้หารือกับนายสมชาย บุลสุข ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข ซึ่งก็เห็นด้วย โดยนายสมชายจะดำรงตำแหน่งประธานบริษัทต่อไปจนเกษียณอายุ ขณะนี้จึงไม่มีแผนปรับโครงสร้างองค์กร แต่จัดตั้งบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาถือหลักทรัพย์ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 66 ล้านบาท โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเป๊ปซี่โค ถือหุ้น 49% และผู้ถือหุ้นไทย 2 ราย 51% ได้แก่ นายปริญญา กิจจาธนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม และนายทรงยศ เรืองสกุลราช ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด

ปัจจุบัน เสริมสุขมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง 24.94% SEVEN-UP NEDERLAND,B.V. 16.60% กลุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ 15% ตระกูลบุลสุข 7% ส่วนนายสมชาย บุลสุข ถือหุ้น 1.61% ซึ่งเสริมสุขอยู่ในตลาดไทย 56 ปี ผลิตและจัดจำหน่ายเป๊ปซี่ในตลาดไทยเพียงรายเดียว มีสินทรัพย์รวมกว่า 5,000 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากบริษัทเสริมสุขกล่าวว่า นายสมชายไม่ทราบเรื่องการจัดตั้งบริษัทสตราทีจิคฯ และขอให้ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเอสพี ห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของเสริมสุข (เอสเอสซี) เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะมีผู้ยื่นข้อเสนอหลักทรัพย์ทั้งหมดแบบครอบงำกิจการก่อนมาซื้อขายตามปกติในวันที่ 21 เม.ย.หลังจากทราบว่าบริษัทสตราทีจิคฯ ต้องการซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด

ราคาหุ้นเอสเอสพีเมื่อวันที่ 21 เม.ย.นี้ ปรับตัวขึ้นแรงทันทีและพุ่งขึ้นไปถึง 30.25 บาท เพิ่มขึ้น 49.75% สูงกว่าราคาของสตราทีจิคฯ.

http://www.thaipost.net/news/220410/21134

[artong007]

ข่าวนี้มีมานานเกือบจะเดือนแล้วครับ แต่ว่าขั้นตอนการเทคโอเว่อร์ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นะครับ จริงๆแล้วอาจจะมีการพลิคกันอยู่ได้ทุกเมื่อ 2 ฝ่ายกำลังไล่เก็บหุ้นให้ได้เยอะกว่ากันอยู่ แต่ผมคาดว่าด้วยเม็ดเงินของบ.แม่ น่าจะทำสำเร็จอยู่ดีแหละ

[artong007]

สรุปแล้วนะครับ ดีลนี้ยกเลิกแล้วครับ ซื้อหุ้นไม่ครบ ยกเลิกไปแล้ว

[PAO]

อ้าว สงสัยมีเบื้องหลัง

[artong007]

คือซื้อหุ้นไม่ครบ เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่เค้าขายหุ้นให้กับผู้บริหารไทยไปจำนวนมาก ฝรั่งเลยซื้อไม่ครบ เลยยังไม่สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่าฝรั่งจะเลิกไปเลยหรือเปล่า เพราะถ้าจะเอาจริงก็ไปไล่เก็บเอาในตลาดไปเรื่อยๆ ก็ยังพอได้ ท่าจะอีกนาน

[PAO]

ถ้าเสริมสุขไม่ให้เป๊ปซี่มายึด ก็ไล่ซื้อหุ้นเก็บไปได้เรื่อยๆสิครับ
ผมว่ามันแปลกๆ ออกข่าวขนาดนี้เหมือนคุยกันรู้เรื่องแล้ว

[artong007]

จริงๆแล้ว ข่าวแบบนี้คาดว่าปล่อยมาเพื่อทำให้ราคาหุ้นขึ้นครับ เพราะใช้เงินไปเยอะในการซื้อหุ้นจากกลุ่มโอสถานุเคราะห์ตั้ง 12 %กว่า

[gakemarake]

ขายไปแล้วยังไล่ซื้อคืนไม่ได้เลย